กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 260
ฝูกวงพลิกฝ่ามือ ทันใดนั้นพุลโปร่งใสก็ดีดตัวขึ้นไปในอากาศและเป็นประกายวาบอยู่บนนั้น
พลุไร้สีไร้กลิ่น ไม่มีให้เห็นแม้แต่ช่วงเวลาที่ระเบิดออก นี่คือสัญญาณขอความช่วยเหลือระดับสูงสุดของนิกายเทพอสูร และคนของนิกายเทพอสูรที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ จะรีบมาช่วยเหลือทันที
ฝูกวงหัวเราะเยาะ
ถ้าคิดจะฆ่าผู้นำนิกายของพวกเขาก็มีแต่จะต้องข้ามศพพวกเขาชาวนิกายเทพอสูรทั้งหมดเสียก่อน
“อวดดี วันนี้ข้าจะเอาชีวิตของเจ้าเป็นคนแรก”
ตูม!
พลังอันมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมาอย่างฉับพลัน เหล่าภิกษุที่อยู่ใกล้ๆ พากันคุกเข่าลงบนพื้น บ้างก็ถูกลมพัดออกไปทันที
จิตสังหารแผ่ออกมาเป็นวงกว้างและม้วนตัวเข้าหากู้ชูหน่วน
ฝูกวงชักดาบคู่ออกมาและรวบรวมกำลังภายในเข้ากับดาบทั้งสอง เตรียมพร้อมพุ่งตรงเข้าไปกำจัดเป้าหมายด้วยกำลังภายในของเขา
กู้ชูหน่วนส่งเสียงฮึเบาๆ และยิ้มอย่างไม่แยแส นางเผชิญหน้ากับความตายและไม่คิดจะถอยกลับแม้แต่ก้าวเดียว สองมือที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกพิษรอที่จะฉวยโอกาสตอบโต้
ตูม!
จิตสังหารแห่งความตายถูกพัดพาหายไปจนสิ้นก่อนจะมาถึงตัวกู้ชูหน่วน
ไม่ไกลจากตรงนั้น เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูเอาแต่ใจและยากจะขัดขืนดังขึ้นมาอย่างเนิบช้า
“ใครกล้าฆ่าว่าที่เจ้าสาวของข้า”
ทุกคนเงยหน้ามองและเห็นชิงเฟิงกับเจี้ยงเสวี่ยค่อยๆ เข็นรถเข็นเข้ามา
บุรุษบนรถเข็นสวมหน้ากากผีเอาไว้ทำให้มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง มีริมฝีปากบางที่ปรากฏให้เห็นในสายตา ร่องรอยระหว่างริมฝีปากแสดงให้เห็นถึงความไม่แยแส ดวงตาเต็มไปด้วยความเฉียบแหลม เย็นชา ราวกับเป็นหลุมลึกที่ไร้ก้นบึ้ง ไม่มีใครมองออกหรือเดาได้เลยว่าแท้จริงแล้วบุรุษผู้นั้นเป็นคนแบบไหน
เขามีเรือนร่างที่งดงาม แต่งกายด้วยอาภรณ์สีม่วงซึ่งดูหรูหรา เข็มขัดหยกปีกกว้างที่อยู่รอบเอวยิ่งขับให้รูปร่างอันสมบูรณ์แบบของเขาดูโดดเด่นยิ่งขึ้น
ทั้งที่นั่งอยู่ตรงนั้น บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความโอหังยังแผ่ออกมาจากตัวเขาจนทำให้ทุกคนไม่กล้าประมาท
ราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก สูงส่งจนคนอื่นมิอาจเข้าถึง
“เทพแห่งสงครามเยี่ยจิ่งหาน” ผู้นำกองธงกล้วยไม้ค่อยๆ พ่นคำพูดออกมาและดูแปลกใจเล็กน้อยกับการมาถึงของเขา
เยี่ยเฟิงถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าเสื้อผ้าของเขาเปียกชื้นไปทั้งหลัง
เทพแห่งสงครามอยู่นี่แล้ว
เพียงเท่านี้กู้ชูหน่วนและอัครมเหสีฉู่ก็จะปลอดภัย
ดีเหลือเกิน…
อัครมเหสีฉู่ถอนหายใจอย่างโล่งพระทัย พระองค์ทรงก้มมองและพบว่าฝ่ามือของตนเองเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
เยี่ยจิ่งหานหมุนแหวนหยกบนนิ้วหัวแม่มืออย่างเกียจคร้านและไม่แม้แต่จะมองผู้นำกองธงกล้วยไม้ตรงๆ เขาเพียงแค่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“ได้ยินมาว่า มีคนคิดจะฆ่าว่าที่เจ้าสาวของข้า”
“ที่แท้นางก็เป็นว่าที่เจ้าสาวของเจ้านี่เอง ถึงว่าทำไมจึงกล้าดีขนาดนี้… เทพแห่งสงคราม คู่หมั้นของเจ้าพาคนไปบุกหุบเขาพิศวิญญาณของข้า สังหารลูกน้องกองธงของข้า ทั้งยังชิงตัวผู้ปรนนิบัติของข้าไป เจ้าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้”
“อาหน่วนของข้าทั้งตาขาวและอ่อนแอ ผู้นำกองธงกล้วยไม้พามหาราชาผู้พิทักษ์ทั้งสี่ที่ทั้งน่ากลัวและดุดันมาเช่นนี้ หากคู่หมั้นของข้าตกใจกลัวขึ้นมา เจ้าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้”
มุมปากของฝูกวงกระตุก
นายท่านน่ะหรือตาขาวและอ่อนแอ? ถูกทำให้ตกใจกลัว?
เขาใช้ตาข้างไหนมองกันแน่
กู้ชูหน่วนอดยิ้มไม่ได้
น้ำเสียงที่ฉาบไปด้วยความอำมหิตมีส่วนเหมือนนางเล็กน้อย
แต่เรียกว่าอาหน่วน… ไม่ดูสนิทสนมเกินไปหน่อยหรือ
“ไม่คิดเลยว่าเทพแห่งสงครามผู้มีชื่อเสียงไปทั่วหล้าจะเป็นพวกที่ชอบถือหางพวกตัวเอง”
“ไม่ให้ข้าปกป้องภรรยา เช่นนั้นจะให้ข้าปกป้องเจ้างั้นหรือ” เยี่ยจิ่งหานมองเหมือนเขาเป็นพวกปัญญาอ่อน
และคำพูดประโยคนี้ทำให้สถานการณ์กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
เพียงแต่คราวนี้ผู้นำกองธงกล้วยไม้กังวลขึ้นเล็กน้อย
เทพแห่งสงครามเยี่ยจิ่งหาน ยอดฝีมือชั้นสูงสุดระดับหก เล่าลือกันว่าเขาก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ดได้ด้วยขาเพียงข้างเดียว ขอเพียงแค่ต้องการจะบุกทะลวงเขาย่อมทำได้ทุกเมื่อ
นอกจากนี้… ระดับเจ็ดยังเป็นระดับสูงสุดของทักษะในการต่อสู้
แม้ว่าขาของเขาจะพิการทั้งสองข้าง แต่ศิลปะการต่อสู้ของเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรมองข้าม
นอกจากยังมีชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยอีกสองคนที่เป็นยอดฝีมือระดับสี่
ทั้งยังมี… ฝูกวง
ไอ้บ้าซึ่งเป็นผู้คอยอารักขาใกล้ชิดของผู้นำนิกายเทพอสูร
ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาไม่มีทางได้เปรียบในการต่อสู้เลย