กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 289
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดของวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งหุบเขามืดก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ โดยเฉพาะประมุขหุบเขามืดของวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งหุบเขามืด ซึ่งวิทยายุทธนั้นถึงยังจุดที่ภูตผีปีศาจก็มิอาจคาดเดาได้และแทบจะเท่าทันกับผู้นำกองธงกล้วยไม้แล้ว
ในเวลานี้ทั้งสามคนปรากฏตัวอยู่ที่นี่พร้อมกัน แค่คิดก็รู้แล้วว่าไม่ได้มาดี
ทหารอารักขาคุ้มกันกู้ชูหน่วนและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พวกเราเป็นคนของเทพแห่งสงครามหานอ๋อง ท่านไม่ใช่คนของเผ่าเพลิงฟ้าและก็ไม่ใช่คนของเผ่าปีศาจเช่นนั้นไว้หน้ากันหน่อยได้หรือไม่?”
สวีซานเหนียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ตาทั้งคู่จ้องไปยังรอยแผลเป็นมากมายของเยี่ยเฟิง บังเกิดทั้งความชอบและความโกรธซึ่งซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้
“ไว้หน้าพวกเจ้าหรือ? ตอนนั้นในขณะที่เจ้าเด็กผู้นั้นและเจ้าหนุ่มคนนั้นสังหารพี่ชายของข้าได้ไว้หน้าพวกเราบ้างไหม”
สวีเจิ้นตาบอดทั้งสองข้างแล้วและมองไม่เห็นรูม่านตา เขากล่าวขึ้นอย่างไร้ความปราณี “ยังมีดวงตาของข้า ตาทั้งสองของข้าถูกควักก็เกิดจากพวกเจ้าทั้งสิ้น บัญชีนี้ในวันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องได้รับการสะสางให้กระจ่าง”
แม้ว่าสวีเจิ้นจะตาบอดไปแล้วแต่การได้ยินของเขานั้นยอดเยี่ยมนัก ทันทีที่เขายกเคียวในมือขึ้นก็ต้องการจะสังหารกู้ชูหน่วน
ประมุขวิญญาณมืดจ้องไปที่สวีเจิ้นและให้สัญญาณเขาว่าอย่าได้ผลีผลาม
เขามองไปรอบๆที่นั้น
เยี่ยเฟิงและยายเฒ่าผู้นั้นไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
ที่สำคัญคือเจ้าเด็กผู้นั้น
ความรักใคร่และปกป้องที่จอมมารมีต่อนางในวันนั้นเขาเห็นอยู่ในสายตาทั้งสิ้น
และนางก็ยังเป็นผู้หญิงของเทพแห่งสงคราม สังหารนางก็เท่ากับทำให้จอมมารและเทพแห่งสงครามขุ่นเคือง ทั้งสองคนนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเขาก็ไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้
“พวกเจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคู่หมั้นของเทพแห่งสงครามก่อนที่พวกเจ้าจะสังหารข้าจะต้องชั่งน้ำหนักให้ดีก่อน หลังจากที่พวกเจ้าได้สังหารข้าแล้วเทพแห่งสงครามจะตามไล่ล่าสังหารพวกเจ้าจนสุดหล้าฟ้าเขียวหรือไม่”
ประมุขวิญญาณมืดยืนนิ่งไม่ขยับ
สวีเจิ้นรู้สึกกังวล “พี่ใหญ่ ท่านคงจะไม่ปล่อยผู้หญิงคนนี้ไปอีกใช่ไหม? ตอนนี้เทพแห่งสงครามไม่ได้อยู่ที่นี่ เพียงแค่พวกเราสังหารพวกเขาให้หมดใครจะรู้ว่าเป็นฝีมือของพวกเรา”
“เจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับจอมมาร?” ราวกับว่าประมุขวิญญาณมืดไม่ได้ยินคำพูดของสวีเจิ้นเพียงแค่ถามกู้ชูหน่วนทีละคำทีละประโยค
กู้ชูหน่วนกระพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์ น้ำเสียงอันไพเราะค่อยๆกล่าวขึ้นอย่างช้าๆโดยที่กล่าวไม่จริงจังเท่าใดนัก “จอมมารหรือ เป็นสาวกน้อยของข้าซึ่งก็คือน้องชายของข้า ความสัมพันธ์กับข้านั้นดียิ่งนัก”
“พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้ฟังนางพูดเรื่องไร้สาระ จอมมารเป็นผู้ใดจะเป็นน้องชายของนางได้อย่างไร หญิงผู้นี้ก็ไม่ดูว่าตนเองมีค่าเพียงใด”
ทั้งสวีซานเหนียงและสวีเจิ้นนั้นไม่เชื่อ
ประมุขวิญญาณมืดกลับเชื่อ
เนื่องจากในวันนั้นจอมมารซุกอยู่ในอ้อมแขนของนางและเรียกนางว่าพี่สาวอย่างอ่อนหวาน
เมื่อมองดูงูพิษและค้างคาวพิษมากมายเช่นนั้นบนพื้น ประมุขวิญญาณมืดสามารถมองออกได้เลยว่านี่เป็นผลงานอันเยี่ยมยอดของผู้อาวุโสตงเผ่าเพลิงฟ้า
เพียงแค่ไม่รู้ว่าผู้ใดช่วยนางจึงทำให้สัตว์มีพิษถอยออกไป
ประมุขวิญญาณมืดกล่าวอย่างเย็นชาว่า “มอบระฆังวิญญานสะบั้นออกมา เพียงแค่เจ้ามอบระฆังวิญญาณสะบั้นมา ข้าสามารถพิจารณาปล่อยพวกเจ้าให้รอดชีวิตไป”
“อะไรนะ พี่ใหญ่ พวกนางสังหารพี่น้องของเราแล้วยังควักลูกตาของข้า พวกเราจะปล่อยนางไปง่ายๆเช่นนี้ไม่ได้”
“เจ้าหุบปากไปซะ”ประมุขวิญญาณมืดโกรธจัดจากนั้นกำหมัดก้อนหินข้างกายก็แหลกเป็นผุยผงและหายไปกับสายลม
กำลังภายในช่างแข็งกล้ายิ่งนัก
ทุกคนต่างตกตะลึง
เผชิญหน้ากับเขาพวกเขาไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย
สวีเจิ้นหดคอถอยไปทางด้านหลังโดยสัญชาตญาณ ส่วนสวีซานเหนียงนั้นจ้องมองไปยังกู้ชูหน่วนราวกับเป็นเหยื่อ
ไม่ว่านางจะเป็นใครก็ตาม พี่ใหญ่ของพวกนางกลัวแต่นางไม่กลัว อย่างมากก็ทำลายศพไม่ให้เหลือร่องรอย
ประมุขวิญญาณมืดกล่าวย้ำว่า “มอบระฆังวิญญาณสะบั้นออกมา หากไม่มอบระฆังวิญญาณสะบั้นมาที่นี่ก็คือที่ที่พวกเจ้าจะหลับใหลไปตลอดกาลและข้าจะไม่พูดเป็นครั้งที่สาม”
“ข้าก็ต้องการมอบระฆังวิญญาณสะบั้นออกมาแต่ว่าระฆังวิญญาณสะบั้นถูกผู้นำกองธงกล้วยไม้ขโมยไปแล้ว ที่ข้ามาภูเขาพิศวิญญาณในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการนำระฆังวิญญาณสะบั้นกลับคืนมา”