กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 299
เยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋ที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดกระตุกที่มุมปากทีละคนๆ
การแสดงนี้……
ในฐานะจอมมารก็ไร้ยางอายได้เช่นนี้หรือ?
โดยเฉพาะเหวินเส่าอี๋ในใจนั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก
ต่อสู้กับเยี่ยจิ่งหานมานานหลายปีเช่นนั้นก็ยังไม่รู้ผลมาโดยตลอด
ไม่ง่ายเลยที่ในวันนี้สามารถทำลายเขาได้ เหลือเพียงแค่กระบวนท่าสุดท้าย เพียงแค่จอมมารร่วมมือกับเขาลงมือกระบวนท่าที่แกร่งกล้าที่สุดแม้ว่าเยี่ยจิ่งหานจะจะไม่ตายก็ต้องพิกลพิการ
แต่ว่าในกระบวนท่าสุดท้ายจอมมารกลับเก็บฝ่ามือเข้าไป
จอมมารถอนฝ่ามือแรงกดดันของเยี่ยจิ่งหานก็บรรเทาลงไปไม่น้อยในทันใด
“บึม……”
ฝ่ามือทั้งสองปะทะกันภูเขาลูกเล็กลูกหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปก็ถูกพวกเขาทำลายจนราบเรียบไปเลย
เหวินเส่าอี๋ไม่สามารถโจมตีได้เป็นเวลานานจึงได้เปลี่ยนกลยุทธ์และโจมตีที่ตั้งของเยี่ยจิ่งหาน
กำลังภายในของเหล่าทหารอารักขานั้นน้อยกว่าจอมมารมากจึงไม่ได้ยินเสียงตะโกนของกู้ชูหน่วนซึ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆจอมมารถึงได้ถอนฝ่ามือออก ทว่าพวกเขาก็โล่งใจและชี้ยังเหวินเส่าอี๋พร้อมกับด่าทอ
“หัวหน้าน้อยของเผ่าเพลิงฟ้าก็ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก ร่วมมือกับจอมมารกำลังมากรังแกกำลังน้อยก็ช่างเถอะแต่ยังรังแกเจ้านายที่มีอาการป่วยที่ขาอีกด้วย”
“ก็ใช่หน่ะสิ เช่นไรก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในใต้หล้าแต่กลับใช้กลอุบายเช่นนี้”
จอมมารนั้นไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะแพ้หรือชนะ จะเป็นหรือตาย ดวงตามองได้ไกลราวกับหงส์คู่นั้นจ้องมองไปยังเบื้องหน้าและก็จัดระเบียบเสื้อผ้าสีแดงเปลวเพลิงให้เรียบอยู่เป็นครั้งคราว
รออยู่ครู่ใหญ่ๆ ร่างประกายสีเหลืองอ่อนอันงดงามนั้นก็ไม่ได้ปรากฏตัวจอมมารจึงได้ลังเลว่าจะวิ่งไปหานางดีหรือไม่
เยี่ยจิ่งหานกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “รีบลงเขาไปรับพระชายาทันที เร็วเข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ นายท่าน”
ชู่ว์……
ร่างสีดำสนิทก็หายไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
ที่ไม่ไกลนัก
กู้ชูหน่วนวิ่งอยู่ตลอดทาง
ผู้นำกองธงกล้วยไม้และวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งหุบเขามืดไล่ตามอย่างใกล้ชิด ความเร็วของทั้งสองฝ่ายได้เร็วขึ้นจนถึงที่สุดแล้ว
เมื่อเห็นว่ากำลังจะถูกไล่ตามทันกู้ชูหน่วนจึงทำได้เพียงตะโกนเรียกเยี่ยจิ่งหาน ประการแรกหวังว่าจะทำให้ตกใจจนถอยออกไป ประการที่สองหวังว่าเยี่ยจิ่งหานจะเร่งมาถึงจริงๆ
เสียงร้องของนางไม่ได้ดึงดูดเยี่ยจิ่งหานมาแต่ดึงดูดซูมู่ชายในชุดสีฟ้าครามทั้งร่างมา
ทันทีที่ชายผู้นั้นปรากฏตัวก็ได้ขวางผู้นำกองธงกล้วยไม้และวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งหุบเขามืดพร้อมคนอื่นๆเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่วรยทธ์ของผู้นำกองธงกล้วยไม้และคนอื่นๆแข็งแกร่งเกินไป เขาพยายามอย่างสุดความสามารถก็เพียงแค่ขวางผู้นำกองธงกล้วยไม้และสองผู้พิทักษ์เอาไว้ได้
พี่ใหญ่หุบเขามืดและคนอื่นๆแทบทนรอให้มีดเป็นหมื่นพันเล่มเชือดเฉือนกู้ชูหน่วนไม่ไหว
หญิงผู้นี้เกิดปีจอหรือ?
เห็นได้ชัดว่าไม่มีวรยุทธ์แต่วิชาตัวเบานั้นกลับแกร่งกล้านัก?
เมื่อเห็นว่าทิศตะวันตกเฉียงใต้ยิ่งอยู่ยิ่งใกล้ ในใจของประมุขวิญญาณมืดก็ยิ่งไม่เป็นสุขขึ้นเรื่อยๆ
ด้านหนึ่งเขาได้ไล่ตามขณะที่อีกด้านหนึ่งมือทั้งคู่ได้ผนึกกำลัง จากนั้นกำลังฝ่ามืออันแรงกล้าก็พุ่งกำลังไปที่กู้ชูหน่วนทีละฝ่ามือๆ
ภายใต้ฝ่ามือของเขาแม้แต่ยอดฝีมือที่ไม่มีใครเทียบได้ก็ยากที่จะบินไปได้ แต่นางเป็นเสมือนปลาไหลตัวหนึ่งที่หลบไปทางซ้ายขวาและก็ถูกนางหลบพ้นไปได้หมด
ไม่ง่ายเลยที่จะถูกฝ่ามือคลื่นพายุพุ่งเข้าไปถึง แต่ก็เพียงแค่ก้าวเท้าไม่กี่ก้าวก็วิ่งทะยานไปด้านหน้าต่อไป
“หากไม่ฉีกนางออกเป็นชิ้นๆข้าจะไม่ใช่ตระกูลสวี” สวีซานเหนียงกัดฟันกรอด
ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
พวกเขาวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งหุบเขามืดออกมาพร้อมกันแต่กลับไม่สามารถไล่ตามเจ้าเด็กโสโครกได้ทัน หากพูดออกไปจะไม่เป็นการทำให้ผู้คนหัวเราะจนฟักหักหรอกหรือ
ที่น่าโมโหที่สุดคือหญิงผู้นี้ด้านหนึ่งวิ่งหนีด้านหนึ่งก็โทษพวกเขาเสียๆหายๆ แม้ว่าจะไม่มีคำหยาบแม้แต่ประโยคเดียวแต่ว่าทุกประโยคบรรณาพร่ำบ่นทำให้พวกเขาโกรธจนเลือดลมนั้นไหลย้อน
“ไม่ได้ ไล่ตามต่อไม่ได้แล้ว” ประมุขวิญญาณมืดเหลือบมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้พร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยคำเตือน
“พี่ใหญ่ ที่นี่ห่างทางทิศตะวันตกเฉียงใต้อยู่ระยะหนึ่ง นางได้ถูกหัตถ์โลหิตและได้รับบาดเจ็บจากฝ่ามือคลื่นพายุของท่านไม่สามารถหลบหนีได้ไกลนักหรอก”
“ถูกต้อง ไม่สังหารนางในเวลานี้ รอให้นางฟ้องเทพแห่งสงครามแล้วถึงเวลานั้นเทพแห่งสงครามจะปล่อยพวกเราไปได้อย่างไร”