กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 379
“พวกเขาเพิ่งบอกว่าทางตะวันออกเฉียงใต้มีสัตว์ดุร้ายไม่ใช่หรือ? และทางทิศตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีคนน้อย หากว่าพวกตงฟังเจ๋อไล่ตามมาทันแล้วจะทำเช่นไร?”
ชูหน่วนยิ้มะร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยการคิดคำนวณ
เซี่ยวอวี่เซวียนและคนอื่นๆรู้สึกเย็นชาอย่างประหลาด หญิงสาวผู้นี้กำลังคิดการณ์ใดอยู่อีกแล้ว
“หลิ่วเย่ว์ อวี๋ฮุย พวกเจ้าสองคนเก็บสมุนไพรต่อไปโดยที่ไปเก็บในสถานที่ที่คนมากๆ เซี่ยวอวี่เซวียนเจ้าไปกับข้า”
“ห๊า……พวกเราเก็บได้มากมายเช่นนี้แล้ว ยังจะเก็บอยู่อีกหรือ?”
“ก้ใช่หน่ะสิ พวกเรามาที่เขาเสวียนหลงเพื่อค้นหาสมบัติ เก็บเช่นนี้ต่อไปพวกเราก็จะไม่มีเวลาค้นหาสมบัติแล้ว”
“สมบัติล้ำค่ามีอยู่ทุกหนแห่งไม่ใช่หรือ? พวกเขาไม่รู้จักของ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าต้องรู้จักเป็นแน่ เมื่อข้ากลับมาพวกเจ้าคนหนึ่งอย่างน้อยต้องเก็บให้ได้สองกระสอบใหญ่ หากว่าเก็บไม่ถึงผลที่ตามมารุนแรงยิ่งนัก” กู้ชูหน่วนยิ้มซึ่งเป็นรอยยิ้มที่แฝงด้วยการข่มขู่
ไม่รอให้หลิ่วเย่ว์อวี๋ฮุยเห็นด้วยกู้ชูหน่วนได้ดึงเซี่ยวอวี่เซวียนจากไปเสียแล้ว
เซี่ยวอวี่เซวียนได้มาถึงขั้นที่เจ็ดของจุดเส้นวรยุทธ์แล้ว เพียงแค่ทะลุผ่านขั้นที่เก้าได้ก็จะสามารถเข้าสู่ระดับที่หนี่งได้ การได้ยินไม่ผิดอยู่แล้ว ด้านหนึ่งเขาเดินอยู่และอีกด้านหนึ่งกระซิบว่า “แม่สาวอัปลักษณ์มีคนตามหลังพวกเราอยู่มารวมทั้งมีเจตนาจะสังหารด้วย”
“วางใจเถอะ มีความสัมพันธ์ชั้นนั้นของเทพเจ้าแห่งสงครามอยู่ พวกเลวเหล่านั้นไม่กล้าลงมือพละการณ์ พวกเราสนใจเพียงแค่เดินหน้าต่อไปก็พอ”
นี่คือหุบเหวลึกที่มีภูมิประเทศที่อันตราย มีแม่น้ำสองฝั่งซึ่งเดินได้ลำบากยิ่งนักและโดยรอบก็ล้อมรอบไปด้วยหมอกพิษ
กู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี่เซวียนกินยาสลายพิษแล้วถึงสามารถเดินไปมาอยู่ในหุบเขาได้อย่างเป็นอิสระ
“แม่สาวอัปลักษณ์ พวกเราผ่านไปผ่านมาในหุบเหวนี้ที่แท้จะไปที่ใดกัน?”
นางจะรู้ได้อย่างไรว่าไปที่ใด?
นางรู้เพียงแค่ว่าระฆังวิญญาณสะบั้นในอกนั้นนำทางไปด้านหน้าตลอดทาง
“ไม่ได้ หากไปต่อก็จะเป็นหุบเหวแล้ว ในนั้นต้องมีสัตว์ดุร้ายมากมายเป็นแน่ ด้วยพละกำลังของเราไม่สามารถจัดการได้อยู่แล้วและทางด้านหลังยังมีทหารไล่ล่าอีกด้วย”
“พวกเราไปไม่ได้แล้ว”
“อะไรนะ?”
เซี่ยวอวี่เซวียนยังไม่ทันตอบสนองมู่หรงเฉินกับตงฟังเจ๋อได้ล้อมรอบพวกเขาหน้าคนหนึ่งหลังคนหนึ่งเอาไว้แล้ว
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? นางเป็นถึงพระชายาหานเชียวนะ” เซี่ยวอวี่เซวียนกล่าวอย่างเย็นชาอยู่ตรงหน้าที่กำลังปกป้องคุ้มครองนางอยู่
“รู้ว่านางเป็นพระชายาหาน ไม่เช่นนั้นพวกเราจะสะกดรอยตามมานานเช่นนี้ทำไมกัน? กู้ชูหน่วน สิ่งของที่อยู่ในอกของเจ้าคือระฆังวิญญาณสะบั้นสินะ?”
“ใช่แล้วอย่างไร?
กู้ชูหน่วนหยิบระฆังวิญญาณสะบั้นออกมาอย่างเปิดเผยแล้วส่ายไปมาอยู่ตรงหน้าพวกเขา
แสงสีทองระยิบระยับของระฆังวิญญานสะบั้นยิ่งอยู่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆราวกับว่ากำลังดึงดูดสิ่งใดอยู่
ซูหรงเฉินกับตงฟังเจ๋อมองหน้ากันโดยที่แววตานั้นเป็นเส้นตรงไปแล้ว ดวงตาทั้งคู่ของโจรเต็มไปด้วยความโลภ แทบรอไม่ไหวที่จะแย่งระฆังวิญญาณสะบั้นมาไว้ในมือ
ริมฝีปากของกู้ชูหน่วนยิ้ม “อยากได้หรือ? เช่นนั้นก็ต้องดูว่าพวกเจ้าจะมีความสามารถแย่งชิงไปได้หรือไม่”
เซี่ยวอวี่เซวียนจับหน้าผาก
หญิงผู้นี้นางแทบรอไม่ไหวที่จะบอกคนทั้งโลกว่านางมีระฆังวิญญาณสะบั้นหรือ?
เดิมทีมู่หรงเฉินกับตงฟังเจ๋อต้องการสังหารกู้ชูหน่วน แต่ในเวลานี้ในตัวนางมีระฆังวิญญาณสะบั้นอยู่ด้วย พวกเขาปรากฏกลิ่นไอสังหารจากนั้นยกฝ่ามือขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่กู้ชูหน่วนไปโดยตรง
พวกเขาลงมืออย่างโหดเหี้ยม ไม่เหลือที่ว่างเลยแม่แต่น้อยซึ่งแต่ละท่านั้นหมายเอาชีวิต
กู้ชูหน่วนหัวเราะเยาะจากนั้นคว้าเอวของเซี่ยวอวี่เซวียนแตะปลายเท้าแล้วกระโดดลงหน้าผาไปเลย
เซี่ยวอวี่เซวียนตกใจ “แม่สาวอัปลักษณ์เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”
“จะตายก็ตายด้วยกันพวกเรากล่าวขณะที่สาบานกันแล้ว” กู้ชูหน่วนยิ้มเจ้าเล่ห์และผิวปากไปยังผู้ที่อยู่ด้านบน “พวกเจ้าทั้งสองมีปัญญาก็กระโดดลงมาด้วยสิ ระฆังวิญญาณสะบั้นอยู่ในมือของข้านะ”
มู่หรงเฉินและคนอื่นๆวิ่งไปยังขอบหน้าผา จากนั้นยื่นศีรษะไปมอง เบื้องล่างเป็นทะเลหมอกอันกว้างใหญ่ซึ่งไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดได้ และก็ไม่รู้ว่ามันลึกเพียงใดแล้วพวกเขาจะกระโดดลงไปอย่างง่ายดายได้เช่นไร
ในขณะที่พวกเขาสงสัยว่าเหตุใดกู้ชูหน่วนถึงได้กระโดดลงไปก็มีเสียงก้องกังวานดังขึ้นมาจากที่ไม่ไกลนัก แม้แต่พื้นดินก็สั่นสะเทือนไปหมด
มู่หรงเฉินหันกลับมาอย่างสั่นเทา กลับมองเห็นกลุ่มเสือและเสือดาวสีดำสนิทกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า พวกมันแต่ละตัวอ้าปากอันเต็มไปด้วยเลือดพร้อมแววตาดุร้ายโดยที่มองพวกเขาสองคนเป็นอาหาร