กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 380
ของมู่หรงเฉินและตงฟังเจ๋อหวาดกลัว มีเสือสิงห์มากเกินไปและยังดูเหมือนเป็นอสุรกายระดับหนึ่งอีกด้วย เหตุใดภูเขาสวินหลงจึงมีอสุรกายมากเพียงนี้กัน?
ทางข้างหน้าเป็นหน้าผาอันสูงชะโงกเงื้อม กู้ชูหน่วนกล้าโดดลงไป แต่พวกเขามิกล้าหรอกนะ ทั้งสองหาโอกาสวิ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ฝีเท้าของพวกเขาไวมาก แต่ฝีเท้าของเสือสิงห์ไวยิ่งกว่า แต่โชคไม่ดีนักที่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็มีฝูงเสือสิงห์กำลังพุ่งเข้ามาอีกฝูงหนึ่ง สีหน้ามู่หรงเฉินเปลี่ยนแล้วผลักตงฟังเจ๋อออกไปราวกับว่าคิดมาแล้ว จากนั้นก็หันตัวกลับไปอีกทางหนึ่งและเริ่มวิ่ง
ตงฟังเจ๋อผู้น่าสงสารถูกมู่หรงเฉินผลักไปเช่นนั้น คิดจะหนีอย่างไรก็มิทันเสียแล้ว จึงถูกอสุรกายกลุ่มนั้นฉีกกินเสียอย่างนั้นเลย
“ตูมตาม…”
ฝูงเสือสิงห์วิ่งไล่ไปทางมู่หรงเฉิน พื้นดินสั่นสะท้านราวกับแผ่นดินไหวอย่างไรอย่างนั้น
ใต้หน้าผาของครึ่งทางภูเขา
กู้ชูหน่วนใช้มือจับไม้เถาไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งโอบเอวของเซี่ยวอวี่เซวียนไว้ จ้องมองทุกสิ่งเหนือทะเลเมฆอย่างเย็นชาและนัยน์ตามีความรู้สึกเย็นชาซ่อนอยู่
หัวใจของเซี่ยวอวี่เซวียนเต้นรัว
ยอดฝีมือระดับหนึ่ง ถูกอสุรกายกลืนกลินไปอย่างง่ายดายเช่นนั้นเลยหรือ…
เกรงว่าทางมู่หรงเฉินก็มิดีไปกว่าเท่าไรนัก
กลยุทธ์ยืมดาบฆ่าคน
“แม่สาวอัปลักษณ์ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าใต้หน้าผานี้มีไม้เถาให้จับ และรู้ได้อย่างไรว่าจะมีฝูงอสุรกายพุ่งออกมามากเพียงนี้? หรือว่าเจ้าเคยมาที่นี่แล้วงั้นรึ?”
กู้ชูหน่วนส่ายหัวที่กำลังปวดอยู่
นางเองก็กำลังสับสนอยู่เช่นกัน ร่างเดิมก็เป็นเพียงคุณหนูสามแห่งจวนอัครเสนาบดีผู้มิเป็นที่โปรดปรานคนหนึ่ง แต่ทว่าในหัวของนางมิรู้ว่าเป็นอะไรถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้นัก
ราวกับว่า…นางจะเคยมาที่นี่จริง ๆ…
“เป็นเพียงการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่เท่านั้นแหละ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าจะมีไม้เถาและอสุรกาย และพวกเราก็เดิมพันกันถูกใช่หรือไม่?”
“เป็นเพียงการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่อย่างนั้นรึ? เจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร หากเดิมพันผิดขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
“หากเดิมพันผิดก็มีหนุ่มงามขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกัน ข้าก็ไม่เสียเปรียบเท่าไรนะ”
“……”ขึ้นสวรรค์อะไรกัน นางมีแผนการในใจอันแยบยลมากมายเสียอย่างนั้น ลงนรกล่ะสิมิว่า
แต่เมื่อเห็นกู้ชูหน่วนออกแรงโอบเอวเขาไว้และขึ้นไปบนหน้าผาอย่างง่ายดายเช่นนั้น
เซี่ยวอวี่เซวียนตะลึงอีกครั้ง
“เจ้าบรรลุจุดเส้นวรยุทธ์แล้วอย่างนั้นหรือ? อย่างน้อยก็ถึงขั้นสองแล้ว แม่สาวอัปลักษณ์ เจ้ายังมีเรื่องอันใดปิดบังข้าไว้อีก?”
“เพิ่งบรรลุเมื่อครู่น่ะ แต่กำลังภายในในร่างกายยังมิสามารถควบคุมได้เท่าไรนัก ไปกันเถิด พวกเราไปกันทางนี้”
หุบเขาคดเคี้ยวและสูงชัน ภูเขาทั้งสองฝั่งราวกับเป็นดาบที่สร้างขึ้นสูงตระหง่านอยู่ในก้อนเมฆอย่างไรอย่างนั้น
พวกเขาเดินทางตามที่ระฆังวิญญาณสะบั้นชี้แนะ เดินอ้อมอยู่ในหุบเขาเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามก็ยังไม่ถึงที่หมาย
เซี่ยวอวี่เซวียนเช็ดเหงื่อตัวเองถาม “ระฆังวิญญาณสะบั้นนี้มีวิญญาณอยู่จริงหรือไม่? เดินทางมานานเพียงนี้แล้วยังมิพบสมบัติใด ๆ เลย”
“ใครว่ามิมีสมบัติกัน ดูสิ นั่นเกล็ดหิมะมิใช่หรือ”
เซี่ยวอวี่เซวียนเงยหน้าขึ้นมอง อดมิได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมา “เป็นเกล็ดหิมะชิ้นใหญ่เสียด้วย อายุราวพันปีได้แล้วสินะ นี่เป็นวัตถุดิบขั้นสูงสำหรับการกลั่นอาวุธเชียวนะ ข้าจะไปหยิบมา”
“รอเดี๋ยว ตรงนั้นยังมีงูสองหัวที่กำลังหลับใหลอยู่ตัวหนึ่งนะ” กู้ชูหน่วนหยุดเขาไว้กะทันหันและค่อย ๆ เดินไปทางขวา
เซี่ยวอวี่เซวียนตกใจจนถอยหลังไปสองสามก้าว สนใจแต่เกล็ดหิมะพันปี จนมิเห็นว่ามีงูสองหัวอยู่ที่นี้ด้วย
“แม่สาวอัปลักษณ์ ดูเหมือนจะมิใช่งูธรรมดานะ นี่มันงูเหลือมสองหัวขั้นสองเชียวนะ พลังโจมตีของมันแกร่งกล้ามาก”
กู้ชูหน่วนหลับตา
อย่าว่าแต่ขั้นสองเลย แม้นว่าจะขั้นสามขั้นสี่ นางก็จะชิงเกล็ดหิมะพันปีให้ได้เสียก่อน
อีกอย่าง…