กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 50
เซี่ยวอวี่เซวียนเริ่มหวั่นไหว
เขาหยิบตั๋วเงินสองแสนตำลึงออกมาจากแขนเสื้อและโยนให้กู้ชูหน่วน “เอาไปสิ ถึงยังไงมันก็เป็นเงินของเจ้าอยู่แล้ว”
“ขอบใจ” กู้ชูหน่วนโยนจี้หยกในมือคืนให้เขา
ในการชุมนุมแข่งขันวิชาการรอบชิงชนะเลิศแต่ละครั้ง ตั้งแต่เหล่าขุนนางลงไปจนถึงประชาชนของรัฐเยี่ยต่างก็ลงพนันกันบ้างไม่มากก็น้อยเพื่อความบันเทิง แม้แต่ในสำนักศึกษาวังหลวงก็ยังจัดตั้งแท่นแข่งขันไว้ด้วย
สิ่งที่เรียกว่าแท่นแข่งขันคือบ่อนพนันขนาดเล็ก ซึ่งจะมีคนจากสำนักศึกษาวังหลวงเป็นคนรับผิดชอบจัดการ เรียกเก็บค่าธรรมเนียมและทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ไม่ว่าใครในสำนักศึกษาก็ไปลงเดิมพันที่แท่นแข่งขันได้เพื่อพนันว่าใครจะชนะได้อันดับหนึ่ง
หากมีใครเดิมพันกันเป็นการส่วนตัว เหล่าอาจารย์ที่แท่นแข่งขันจะทำหน้าที่เป็นผู้รับรองความถูกต้องให้
หากคนแพ้ไม่ทำตามสัญญา ถ้าเป็นผู้ชายจะถูกตัดสิทธิ์การเข้าสอบไปตลอดชีวิตและไม่มีสิทธิ์เป็นขุนนางในราชสำนัก
ถ้าเป็นผู้หญิงจะถูกดูหมิ่นและประจาน ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลจะด่างพร้อยจนไม่มีใครในรัฐเยี่ยอยากแต่งงานด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้าบิดพลิ้วการเดิมพันที่เดิมพันในสำนักศึกษาวังหลวง
หลิ่วเย่ว์และคนอื่นๆ พยายามเกลี้ยกล่อมแต่ไม่เป็นผล กู้ชูหน่วนมาถึงแท่นแข่งขันแล้ว นางนำเงินของตนเองสองแสนตำลึงและเงินที่ยืมจากเซี่ยวอวี่เซวียนอีกสองแสนตำลึงลงเดิมพันเป็นที่เรียบร้อย
“น้องห้า ถ้าข้าชนะ ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งล่ะ”
“ไว้รอให้เจ้าชนะก่อนเถิดค่อยพูด”
กู้ชูหลานมือไม้สั่นและหัวใจเต้นตึกตักขณะวางเดิมพัน
วันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่นางจะได้อยู่ในสำนักศึกษาวังหลวง ในนครหลวงมีข่าวลือมากมายและนางคงจะไม่ได้เรียนต่อที่สำนักศึกษาวังหลวงอีกแล้ว
นี่เป็นโอกาสเดียวที่นางจะได้เงินสองแสนตำลึงที่เสียไปก่อนหน้านี้กลับคืนมา
กู้ชูหลานกัดฟันกรอด ในที่สุดนางก็เดิมพันกับกู้ชูหน่วนอย่างเป็นทางการ
นางทนไม่ได้ที่ทุกคนมองนางด้วยสายตารังเกียจและถึงขนาดโจมตีนางด้วยวาจา ดังนั้นจึงทำได้เพียงจากไปอย่างคับข้องใจและหวังว่าจะได้เงินสี่แสนตำลึงนั่น
องค์หญิงตังตังไม่รู้ว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไร เมื่อเห็นเช่นนี้ก็อดถากถางไม่ได้ว่า “หัวขี้เลื่อยอย่างไรก็เป็นหัวขี้เลื่อย นางคิดว่าแค่หลับไป ตำแหน่งอันดับหนึ่งในการแข่งขันรอบชิงก็จะตกลงมาบนหัวงั้นหรือ”
ดวงตาประหนึ่งหงส์ของกู้ชูหน่วนหรี่ลงเล็กน้อย นางยกยิ้มมุมปาก “ทำไม องค์หญิงดูถูกข้างั้นหรือ”
“ไร้สาระ ถ้าเจ้าคว้าที่หนึ่งมาได้ ข้าก็คงไม่ใช่องค์หญิงแล้วล่ะ หรือว่า… เราจะมาพนันกันอีกสักที”
“ข้ามีติดตัวแค่สองแสนตำลึงและเพิ่งเดิมพันลงไปเมื่อครู่นี้ ไม่มีเงินมาพนันกับองค์หญิงแล้วล่ะ”
“จะเป็นไรไป ข้าไม่ได้ต้องการเงินของเจ้า ถ้าเจ้าแพ้ ข้าจะปลิดชีวิตของเจ้า”
กู้ชูหน่วนเลิกคิ้ว “พนันความเป็นความตายงั้นหรือ”
“อย่างนั้นละ เจ้ากล้าพนันหรือไม่ล่ะ”
“ท่านคือองค์หญิง หากท่านแพ้ ข้าคงไม่กล้าเอาชีวิตของท่าน เช่นนั้นถ้าท่านแพ้ ข้าขอเงินห้าล้านตำลึงก็แล้วกัน”
“ชีวิตอันต่ำต้อยของเจ้ามีค่าห้าล้านตำลึงเชียวหรือ” องค์หญิงตังตังเอ่ยอย่างมีโทสะ นางรู้หรือไม่ว่าเงินห้าล้านตำลึงมีค่าแค่ไหน
กู้ชูหน่วนกะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา “เป็นองค์หญิงเองนะที่อยากพนันกับข้า ไม่ใช่ข้าที่อยากพนันกับท่าน ถ้าองค์หญิงไม่พนัน งั้นเราก็หยุดอยู่แค่นี้ดีกว่า”
องค์หญิงตังตังลังเลเล็กน้อย
ห้าล้านตำลึงไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อย ถ้านับที่จวนองค์หญิงทั้งหมดคงมีไม่ถึงห้าล้านตำลึงและคงจะต้องยืมจากเสด็จแม่
แต่ว่า…
เมื่อนึกถึงความโง่เขลาไร้ความสามารถของกู้ชูหน่วนในวันนั้น องค์หญิงตังตังจึงกัดฟันเอ่ยว่า “ก็ได้ ข้าจะพนัน”
“แม่สาวอัปลักษณ์ การเดิมพันด้วยชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ เจ้าอย่าบ้าน่า”
“เสี่ยวเซวียนเซวียน เหตุใดวันนี้เจ้าจึงได้จู้จี้เหมือนชิวเอ๋อร์ฮึ รีบหลีกไป อย่ามาขวางทางข้า”
หลิ่วเย่ว์และอวี๋ฮุยคิดจะเกลี้ยกล่อม ทว่ากู้ชูหน่วนลงเดิมพันไปแล้ว
พวกเขาโกรธมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกระวนกระวายอยู่ในใจ
องค์หญิงตังตังเดินจากไปอย่างลำพองใจหลังจากวางเดิมพัน นางเยาะเย้ยว่า “แม่สาวอัปลักษณ์ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่ว่าอะไรก็กล้าเดิมพัน แต่นี่คือการเดิมพันที่สำนักศึกษาวังหลวงรับรอง ข้าจะคอยดูว่าเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะกล้าสละชีวิตของเจ้าหรือไม่”
ทุกคนต่างวิจารณ์กันว่ากู้ชูหน่วนเป็นคนโง่เขลา
“น้ำท่วมสมองคุณหนูสามตระกูลกู้หรืออย่างไร นางคงไม่คิดจริงๆ หรอกนะว่าตัวเองจะชนะที่หนึ่ง”
“ฝันกลางวันแท้ๆ ถ้านางคว้าที่หนึ่งมาได้ข้าก็คงไม่เหมาะจะเป็นคนแล้ว คงเป็นได้แค่หมา”