กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 536
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ ตอนที่ 536
“ขออภัยด้วย ข้าจะนำงูตัวนี้ออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”
กู้ชูหน่วนหยิบเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ขึ้นมาและหันหลังเดินออกจากห้องไป มิอยากสร้างปัญหาใด ๆ อีก
แต่ฮวาฉี่หลัวกลับขัดขวางนางไว้ “แต่ทว่างูกับสตรีมิอาจชิดใกล้ และมันก็มองข้าจักทำเช่นไรดี?”
“แล้วเจ้าต้องการอันใดล่ะ? มองกลับไปหรือว่าแต่งงานกับมันกัน?”
ฮวาฉี่หลัวชะงัก เพียงแค่งูตัวหนึ่งจะมีอะไรน่ามองกัน สัตว์เลี้ยงอสุรกายของท่านพี่ธิดาศักดิ์สิทธิ์งดงามกว่านัก ทั้งยังสูงส่งกว่าด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นคือ นางมิแต่งงานกับงูเป็นอันขาด
กู้ชูหน่วนหยิกแก้มกลม ๆ ของนาง กล่าวอย่างขำขันว่า “อย่างมากก็รอให้มันฟื้นขึ้นมา แล้วข้าจักจัดการมันแทนเจ้าแล้วกัน”
ฮวาฉี่หลัวดึงมือของนางออก มือเท้าสะเอว กล่าวเชิงตักเตือนว่า “ข้าคือผู้ส่งสารฉี่หลัวที่เป็นหนึ่งในสี่ผู้ส่งสารศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าน้ำแข็งเชียวนะ หากเป็นท่านพี่ธิดาศักดิ์สิทธิ์หยิกนั้นก็ว่าไปอย่าง แต่เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาหยิกแก้มของข้ากัน”
“ก็เพราะแก้มของเจ้าทั้งลื่นทั้งนุ่มทั้งกลม มิว่าใครหน้าไหนต่างก็อดมิได้ที่จะหยิกมัน”
หลังจากที่พูดคำนี้ออกไป ฮวาฉี่หลัวก็ตะลึง
เหตุใดคำพูดนี้…ถึวได้คุ้นหูมากเพียงนี้กัน?
ใช่สิ ดูเหมือนท่านพี่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็เคยพูดคำนี้มาก่อนเช่นกัน
“เจ้าเป็นใครกัน?”
“หึ ผ่านไปนานเพียงนี้แล้วถึงจะถามชื่อข้า เจ้ามิรู้สึกว่ามันสายไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
กู้ชูหน่วนส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะ รู้สึกเศร้ากับความฉลาดทางสติปัญญาแทนนาง
หนึ่งในสี่ผู้ส่งสารศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นรึ?
ตำแหน่งของนางฟังดูสูงส่งเหมือนกัน
แต่ทว่ามิรู้ว่าเผ่าน้ำแข็งนั้นไร้คนมีความสามารถแล้วหรืออย่างไรกัน ถึงได้เลือกสาวน้อยมึนงงคนหนึ่งเป็นผู้ส่งสารศักดิ์สิทธิ์ได้
ขณะที่กู้ชูหน่วนกำลังจะก้าวเท้าออกจากห้องนั้น ก็ถูกแสงสว่างจากตะเกียงไฟน้ำมันหลากสีดึงดูดเข้า
ตะเกียงไฟนี้ทำมาจากกระจก รูปทรงงดงาม ละเอียดอ่อนและประดับด้วยลวดลายของดอกบัว
เพียงแค่เปลวไฟบนตะเบียงกลับมีแสงสีแดง แสด เหลือง เขียว ฟ้า คราม ม่วงส่องสว่างสลับกันไป
นางแน่ใจว่าบนตะเกียงไม่มีปุ่มควบคุมใด ๆ ทั้งนั้น มิรู้ว่าเหตุใดเปลวไฟนี้ถึงได้มีแสงสีรุ้งส่องสว่างออกมาได้
เมื่อเห็นว่านางเผยสายตาอันอยากรู้ออกมา ฮวาฉี่หลัวก็รีบพุ่งเข้าบังไว้ตรงหน้าตะเกียงไฟกระจก และกล่าวอย่างจริงจัง “เรื่องที่งูบ้าแอบดูข้าอาบน้ำ ข้าจะไม่ถือสาแล้วกัน เจ้ารีบออกไปจากที่นี่ได้แล้วและห้ามบอกใครเป็นอันขาดว่าเจ้าเคยเห็นตะเกียงไฟนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ห้ามสืบหาเรื่องของมันด้วย ได้ยินหรือไม่”
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว
เพียงแค่ตะเกียงไฟเท่านั้น แม้นว่าสีที่ส่องสว่างออกมาจะสวยงามมากเพียงใด แต่มันก็เป็นเพียงแค่ตะเกียงไฟเท่านั้น จะตื่นเต้นถึงเพียงนั้นทำไมกัน?
ฮวาฉี่หลัวย่ำเท้าอยู่กับพื้น ลนลานจนใบหน้าและหูแดงก่ำไปหมด “เถิดน่า ข้าอธิบายต่อเจ้ามิเข้าใจหรอก อย่างไรก็ตามเจ้ารีบออกจากที่นี่ไปเสียเถิด หากไม่รีบออกไป อีกประเดี๋ยวท่านพี่ฮวาจิ่นก็กลับมาแล้ว ท่านมิปล่อยเจ้าไว้แน่ คนที่เคยมองตะเกียงไฟนี้ ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตเลยสักคน”
“แฟลบ ๆ ๆ…”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ที่ฟังจนเมาและมิรู้ว่ามันเป็นอะไรขึ้นมา จู่ ๆ ก็พุ่งออกมา จากหนึ่งหัวกลายเป็นสามหัว เป็นหกหัว และเป็นเก้าหัว สุดท้ายหัวอันใหญ่มหึมาก็สะบัดอย่างมึนงง ทำให้กระจกแตกสลาย
เสียงดัง “เพล้ง” ทำให้ตะเกียงหลากสีแตกสลายออกเป็นหลายชิ้น
กู้ชูหน่วนตกใจ มีภาพที่ไม่ดีนักปรากฏออกมา
ฮวาฉี่หลัวเบิกตากว้างและมองซากตะเกียงไฟบนพื้นอย่างมิน่าเชื่อ
แตก…แตกสลายแล้ว…
ตะเกียงไฟกระจกหลากสีแตกสลายแล้ว…
ตะเกียงแตกสลายไปแล้ว เช่นนั้น ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกนางจะกลับมาได้อย่างไร?
ฮวาฉี่หลัวที่เดิมทีคิดอยากจะไว้ชีวิตนาง โกรธขึ้นมากะทันหัน จิตสังหารของสาวน้อยอายุสิบกว่าปีที่ไร้เดียงสาแพร่กระจายออกมา
“เจ้าบังอาจทำตะเกียงหลากสีแตกสลายงั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตะเกียงหลากสีนี้มีความหมายกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของเราอย่างไรกัน”
“ปัง ๆ ๆ ๆ …”
เดิมทีหน้าต่างที่เปิดออกอยู่มิรู้ว่าเพราะเหตุใดถูกปิดขึ้นอย่างกะทันหัน จิตสังหารอบอวลไปทั่วห้อง
กู้ชูหน่วนควบคุมสติของตนเอง
จิตสังหารรุนแรงมาก
กำลังภายในลึกล้ำมาก
ดูแล้วนางดูถูกนางเกินไปจริง ๆ พลังของสาวน้อยคนนี้แข็งแกร่งกว่าที่นางคาดไว้นัก
ฟื้ว ๆ ๆ …
ผ้าต่วนฉี่หลัวสีขาวราวกัยใบมีดที่บางราวกับปีกของจักจั่น พุ่งเข้าหานางอย่างตั้งใจพร้อมกับจิตสังหารที่รุนแรง
สีหน้าของกู้ชูหน่วนเปลี่ยนเล็กน้อย ร่างกายหายไปทันทีราวกับลมพัด ผ้าต่วนพุ่งชนเก้าอี้พระสนมเอก และเก้าอี้พระสนมเอกก็ถูกตัดขาดเป็นสองท่อนโดยทันที
แม้กระทั่งแจกันดอกไม้รวมทั้งอาวุธเหล็กกล้าต่างก็ถูกตัดขาดเป็นสองท่อนทันทีเช่นกัน
หากมิใช่ว่ากู้ชูหน่วนวิ่งเร็ว มิเช่นนั้นคงถูกสับละเอียดแล้ว
“แม่นางน้อย แม้นว่างูของข้าจะทำตะเกียงหลากสีแตกสลายก็ตาม แต่เจ้าก็มิจำต้องลงมือฆ่ากันเพียงนี้หรอก ตะเกียงนี้จะให้ข้าชดใช้อย่างไร ข้าจะชดใช้ให้เจ้า”
“ชดใช่งั้นรึ? เจ้าชดใช้ไหวอย่างนั้นรึ? นี่เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าน้ำแข็งเชียวนะ แม้นว่าเจ้าจักเอาทั้งแผ่นดินนี้มาแลกก็ตาม ก็มิอาจเทียบเทียมแม้แต่ปลายเส้นผมเส้นหนึ่งของมันได้”
“นี่มันตะเกียงไฟ ตะเกียงไฟไม่มีเส้นผมนะ”
ฮวาฉี่หลัวอับอายจนโกรธ ท่าทางบนมือยิ่งอยู่ยิ่งเร็วขึ้น ผ้าต่วนที่บางราวกับใบมีดบางก็ยิ่งเยอะขึ้น รวมทั้งจิตสังหารก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นด้วย
ระหว่างสงครามอันดุเดือดทั้งสองต่างก็ตะลึงใจ
สตรีนางนี้เป็นใครกันแน่? อายุน้อยเพียงนี้ก็บรรลุถึงระดับสามแล้ว?
มิเพียงบรรลุถึงระดับสามเท่านั้น แต่นางยังสามารถรับมือกับท่าไม้ตายฉี่หลัวของนางได้
กู้ชูหน่วนตะลึงใจยิ่งกว่า
หากมิใช่ว่าวิชาตัวเบาของตนแข็งแกร่ง นางคงตายไปมิรู้กี่หนภายใต้ท่าไม้ตายอันพิถีพิถันนี้แล้ว หากรู้เช่นนี้ นางเองก็มิง่ายเช่นกัน
“แม้นเจ้าจะสังหารข้าอย่างไร ตะเกียงไฟนี้ก็มิอาจคืนกลับสภาพเดิมได้ แทนที่จะทำเช่นนี้ เจ้าไปคิดหาวิธีทูลบอกเรื่องนี้ต่อเผ่าน้ำแข็งมิดีกว่าหรือ?”
“ข้ายังต้องให้เจ้าสอนอีกอย่างนั้นหรือ?”
มีเสียงสะอื้นปนอยู่ในน้ำเสียงของฮวาฉี่หลัว นางจ้องมองกู้ชูหน่วนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“หากเจ้ายังมิหยุดอีก อย่าหาว่าข้าใจร้ายแล้วกัน”กู้ชูหน่วนที่เกือบจะตกอยู่ในอันตรายมาหลายครั้ง ก็อดมิได้ที่จะโกรธ
“หึ ทำตะเกียงหลากสีแตกสลาย วันนี้เจ้าต้องตายสถานเดียว ไม่มีใครช่วยเจ้าได้”
เมื่อเห็นว่าพูดกันอย่างสันติมิเป็นผล กู้ชูหน่วนเองก็รู้สึกผิดและมิอยากฆ่าคน จึงทำได้เพียงใช้วิธีเบามือเท่านั้นคือพุ่งชนกับหน้าต่างแล้วกระโดดออกไป
การเคลื่อนไหวที่นี่รุนแรงนัก คนของหุบเขาตันหุยต่างตกใจ
เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์หลายคนก็ตามมาที่นี่กันหมด
แต่ทว่ากู้ชูหน่วนมิอาจคาดคิดว่าคนแรกที่ปรากฏตัวออกมา มิใช่ใครหน้าไหน แต่กลับเป็นสตรีชุดขาวนางหนึ่ง
สตรีชุดขาวนั้นมีโฉมหน้าที่งดงาม มีดวงตาที่สดใสและฟันที่ขาวสะอาด นางงดงามและสง่างามนัก แม้นจะยิ้มอยู่แต่กลับดูน่าเกรงขามนัก
ในความน่าเกรงขามยังมีเสน่ห์ปนอยู่ด้วยเล็กน้อย
ร่างของนางยังมิมาถึงก็มีท่าไม้ตายทำลายล้างพุ่งเข้าหากู้ชูหน่วนก่อนแล้ว
กู้ชูหน่วนมึนงง
แข็งแกร่งมาก…
กำลังภายในนี้คงมิด้อยไปกว่าจอมมารเท่าไรสินะ
บริเวณที่ถูกฝ่ามือของนางควบคุมนั้น ทำให้กู้ชูหน่วนมิสามารถหลุดพ้นได้ชั่วขณะหนึ่ง
หากมิสามารถขยับได้ คงต้องตายสถานเดียว กู้ชูหน่วนกำหมัดแน่นด้วยความตื่นตระหนก ร่างกายของนางปลดปล่อยพลังมหาศาลออกมาและมีบัวหิมะที่ใสราวกับผลึกงอกออกมาจากศรีษะของนาง จากนั้นก็หายไปอย่างเร็วไว หลุดพ้นจากการควบคุมของฝ่ามือนั้นไปได้
นางเพิ่งจะหนีออกไปได้ ท่าไม้ตายฉี่หลัวของฮวาฉี่หลัวก็โจมตีนางอีกครั้ง ก่อตัวเป็นรูปดอกไม้ปกคลุมร่างกายนางไว้ และมีผ้าต่วนที่มีพลังราวกับใบมีดพุ่งเข้าไปอย่างไม่หยุดหย่อน
ทุกอย่างเกิดขึ้นไวนัก
รวมทั้งวรยุทธ์ของสตรีโฉมงามทั้งสองนั้นแข็งแกร่งเกินไป เหล่าผู้อาวุโสแห่งหุบเขาตันหุยที่ตามมาทีหลังก็มิอาจหยุดยั้งได้แล้ว
กู้ชูหน่วนถูกพวกนางโจมตีอย่างต่อเนื่องและมิทันตั้งตัว เมื่อนางกำลังคิดว่าจะหลุดพ้นอย่างไรดีนั้น ก็เห็นสตรีชุดขาวคนนั้นยกชายเสื้อขึ้น ก็มีชั้นผ้าซ้อนทับกันอย่างไม่รู้จบ กำลังต่อกรกับท่าไม้ตายฉี่หลัวอยู่ด้านหน้านาง ทำให้ท่าไม้ตายฉี่หลัวนั่นถูกหลอมละลายไปในพริบตา
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในพริบตาเดียวเท่านั้น หากมิใช่ว่ามีเศษผ้าต่วนฉี่หลัวตกอยู่บนพื้น และหน้าต่างที่ชำรุด เกรงว่าผู้คนรอบ ๆ คงยังตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝันมิอาจดึงสติกลับมาได้
“ท่านพี่ไป๋จิ่น สตรีนางนี้ทำตะเกียงกระจกหลากสีแตกนะเพคะ เหตุใดท่านจึงไปช่วยนางล่ะเพคะ”ฮวาฉี่หลัวกล่างตักเตือน
สตรีชุดขาวมีความสง่างามที่มิอาจมีใครเทียบเทียมได้ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็สามารถดึงดูดสายตาของทุกคนได้
ดวงตาสีขาวดำที่ชัดเจนของนางกำลังตรวจสอบกู้ชูหน่วนอยู่
ตะเกียงกระจกหลากสีเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าน้ำแข็ง เมื่อตะเกียงแตกสลาย มิว่านางจะเป็นใครก็สมควรตาย
ทันใดนั้น…
เหตุใดดวงตาคู่นั้นของนางจึงคล้ายกับนางมากนัก?
และบัวหิมะที่งอกขึ้นบนศรีษะของนางเมื่อครู่ด้วย?
นอกจากหัวหน้าเผ่าและธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว บนโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดที่สามารถเรียกบัวหิมะออกมาในยามขับขันและปลดปล่อยพลังที่น่าเกรงกลัวออกมา
บัวหิมะนี้ นอกจากเผ่าน้ำแข็งแล้วเผ่าอื่น ๆ ก็มิสามารถทราบได้อย่างแน่นอน
หัวหน้าเผ่าล่วงลับไปนาน เพียงแค่ผู้คนบนโลกมิทราบเท่านั้น แม้กระทั่งคนในเผ่าน้ำแข็งเองก็มิทราบเช่นกัน
แต่ทว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์…
ธิดาศักดิ์สิทธิ์หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน จนบัดนี้ก็มิอาจรู้ว่านางยังอยู่หรือตายไปแล้ว
ตะเกียงหลากสีนั่นเป็นตะเกียงวิญญาณของธิดาศักดิ์สิทธิ์
เมื่อใดที่ตะเกียงวิญญาณไม่ดับสูญ ก็แสดงว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ยังคงมีชีวิตอยู่
แต่ครั้งนี้ที่พวกเขานำตะเกียงวิญญาณมาที่หุบเขาตันหุยนั้นก็เพราะตะเกียงวิญญาณมีการเคลื่อนไหวแล้วชี้แนะให้พวกเขามาที่หุบเขาตันหุย
นางเป็นใครกันแน่?
ใช่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกนางหรือไม่?
หากเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดสายตาคู่นั้นถึงได้เย็นชาเพียงนี้ล่ะ?
“ข้าชื่อไป๋จิ่น มิทราบว่าแม่นางคือ…”
“กู้ชูหน่วน”
กู้ชูหน่วนตอบสั้น ๆ ได้ใจความ
เหตุใดกลิ่นหอมจากผ้าบนตัวสตรีคนนี้จึงได้คุ้นมากเพียงนี้กัน?
นางเคยได้กลิ่นจากที่ใดมาอย่างนั้นหรือ?
และสายตาของนางคู่นั้นอีก…
เหตุใดนางถึงได้รู้สึกสงสารเพียงนี้ล่ะ?
“กู้ชูหน่วน…ท่านคือคุณหนูสามแห่งจวนอัครเสนาบดี พระชายาของเยี่ยจิ่งหานเทพแห่งสงครามอย่างนั้นรึ?”
“หึ ดูท่าแล้วเจ้าคงรู้เรื่องมิน้อย แล้วเจ้าล่ะเป็นหนึ่งในสี่ผู้ส่งสารผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าน้ำแข็งรึ?”
“แม่นางกู้มีชื่อเสียงล้ำลือกันมาก ไป๋จิ่นทราบก็มิแปลกหรอกเพคะ”
ฮวาฉี่หลัวมึนงง
ท่านพี่ไป๋จิ่นเป็นห่วงเป็นใยตะเกียงหลากสีอย่างมากมาโดยตลอดมิใช่หรือ? ท่านพกติดตัวไว้ตลอดโดยอดหลับอดนอน เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับตะเกียงหลากสี
คืนนี้ หากมิใช่ว่าตะเกียงหลากสีเกิดแสงสว่างที่แปลกไป ท่านพี่ไป๋จิ่นมีใจที่จะไปสืบหา แต่ก็กังวลว่าการเชิญผู้คนของหุบเขาตันหุยในครั้งนี้ซับซ้อนนัก จึงพกตะเกียงหลากสีมิสะดวก เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับตะเกียงหลากสี เพราะเช่นนี้จึงได้นำตะเกียงหลากสีไปไว้ในห้องของนาง มิเช่นนั้นนางก็คงพกติดตัวไว้แล้ว
ท่านพี่ไป๋จิ่นต้องโกรธมิใช่หรือ?
เหตุใดท่านถึงหัวเราะออกมาได้กัน?
ทั้งยังสันติและเป็นมิตรต่อกู้ชูหน่วนมากเพียงนี้ด้วย?
ช่วงเวลาที่พูดคุยกัน คนของหุบเขาตันหุยก็ตามกันมาถึงแล้ว
หนึ่งในนั้นมีผู้อาวุโสเจี่ยและน่าหลานหลิงลั่วด้วย
น่าหลานหลิงลั่วปกป้องกู้ชูหน่วนอยู่ข้างกายอย่างมีเงื่อนไข่ และยิ้มอย่างอบอุ่น “ผู้ส่งสารไป๋จิ่น มิทราบว่าแม่นางกู้ทำอะไรผิดต่อท่านอย่างนั้นหรือ ข้าจักชดใช้แทนนางให้เอง”
ฮวาฉี่หลัวหัวเราะแห้ง และกล่าวอย่างไม่พอใจนัก “ชดใช้อย่างนั้นรึ? จะชดใช้อย่างไร นางทำของศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าน้ำแข็งจนเสียหาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าตะเกียงหลากสีนั่นเป็น…”
ไป๋จิ่นไอแห้ง ๆ ฮวาฉี่หลัวก็หยุดพูดอย่างทราบดี มิกล้าเปิดเผยข่าวสารเกี่ยวกับธิดาศักดิ์สิทธิ์ออกไปอีก
ไป๋จิ่นกล่าวเบา ๆ “เพียงแค่ตะเกียงไฟเท่านั้น แตกก็แตกไปเสีย วันนี้ได้รู้จักกับแม่นางกู้นั้น ไป๋จิ่นดีใจมากเพคะ”