กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 557
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 557
เยี่ยจิ่งหานเข้าไปในถ้ำเล็กๆ นั้นก่อน หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงสัตว์ร้ายดังคำรามมาจากในถ้ำ มีเสียงของการต่อสู้ดังขึ้นเรื่อยๆ จนน่าหนวกหู
กลิ่นเลือดลอยคลุ้งไปทั่วทั้งหน้าผา แม้แต่ในสายลมก็ยังมีแต่กลิ่นคาว
กู้ชูหน่วนกำมือแน่น หัวใจบีบรัดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นในนั้นใช่หรือไม่”
จอมมารลูบเส้นผมสีดำขลับอย่างมีเสน่ห์ ทำท่าเกียจคร้านราวกับไม่สนใจการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในนั้น
เมื่อได้ยินที่กู้ชูหน่วนพูด เขาก็แค่ตอบอย่างเรียบเฉย “เขาคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งมาตลอดมิใช่หรือ หรือว่าแค่ฆ่าสัตว์ร้ายไม่กี่ตัวก็ยังทำไม่ได้”
กู้ชูหน่วนจ้องเขาเขม็ง
นั่นเรียกว่าไม่กี่ตัวรึ
นั่นมันเรียกว่านับพันนับหมื่นชัดๆ
ไม่เห็นหรือว่าหน้าผาสั่นไหวไปหมด
หากมีเพียงไม่กี่ตัวอย่างที่พูด หน้าผาทั้งหน้าผาจะสั่นคลอนได้อย่างไร
“เจ้าเข้าไปช่วยหน่อยสิ”
“เขาตายอยู่ที่นี่จะเป็นการดีที่สุด ข้าไม่ไปช่วยหรอก”
กู้ชูหน่วนหมดคำจะพูดและก้าวออกไปเสียเอง ตรงเข้าไปในถ้ำอย่างระมัดระวัง
“พี่หญิง รอข้าด้วย ข้างในมันอันตราย ข้าจะช่วยเปิดทางให้ท่านเอง”
กู้ชูหน่วนก้าวไปข้างหน้าและคร้านที่จะสนใจคำพูดใดๆ
ในถ้ำคับแคบแห่งนี้มีแต่ซากศพของสัตว์ กลิ่นเลือดคาวคลุ้งจนนางอยากจะอาเจียน
จอมมารเอ่ยอย่างรังเกียจว่า “จะอ้วก มีแต่เศษซากแขนขา แม้แต่การฆ่า เยี่ยจิ่งหานก็ยังไม่มีศิลปะ ถ้าเป็นข้า ข้าจะทำให้พวกนี้ไม่เหลือแม้แต่ซากกระดูก พี่หญิงตัวน้อยของข้าจะได้ไม่ต้องอึดอัดเช่นนี้”
“หุบปากเถอะน่ะ”
ก็แค่พวกดีแต่พูด เมื่อครู่นี้ตอนบอกให้เขาเข้ามาทำไมเขาไม่เข้า
กู้ชูหน่วนยังคงเดินต่อไป
นางเกือบจะเหยียบซากศพระหว่างทาง
สุดท้ายจอมมารก็ทนมองต่อไปไม่ไหว เขาคว้าเอวของนางไว้และบินตรงเข้าไป
ในที่สุดพวกเขาก็หยุดเพราะเห็นชายคนหนึ่งที่เนื้อตัวแทบจะเต็มไปด้วยเลือด
คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเยี่ยจิ่งหาน
ดวงตาของเยี่ยจิ่งหานแดงก่ำ ความโกรธของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาและตีแสกหน้าจอมมารด้วยฝ่ามือ
“ปล่อยพระชายาของข้า”
ปึ่งๆๆๆ
เยี่ยจิ่งหานและจอมมารต่อสู้กันอีกครั้ง
กู้ชูหน่วนกุมขมับอย่างปวดหัวและเริ่มคุ้นชินกับปฏิกิริยาของพวกเขา
นางมองดูทุกอย่างภายในถ้ำอย่างระมัดระวัง
ซากศพที่อยู่บนพื้นส่วนใหญ่เป็นอสุรกายระดับหนึ่งหรือไม่ก็ระดับสอง เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าเยี่ยจิ่งหานสังหารอสุรกายจำนวนมากเหล่านี้ด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร
ตอนเข้ามาแรกๆ ถ้ำแห่งนี้แคบมาก ทว่าภายในกลับเหมือนโลกอีกใบที่โอ่อ่าและกว้างขวาง
บนกำแพงหินมีโพรงเล็กๆ อยู่หลายโพรง และแต่ละโพรงดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับโพรงถัดไป
กู้ชูหน่วนหยุดอยู่หน้ากำแพงหิน
ตรงหน้ากำแพงหินมีประตูหินอยู่บานหนึ่ง ประตูนั้นหนักราวๆ ห้าพันกิโลกรัม หนักมากจนแรงของมนุษย์ทำอะไรไม่ได้เลย
บนประตูหินมีช่องเว้าของหุบเขาทรงกระบี่
กู้ชูหน่วนเกิดความคิดบางอย่างและดึงดาบสั้นของหุบเขาทรงกระบี่ออกมาจากแขนเสื้อ
ดาบสั้นเล่มนี้เป็นดาบที่ได้มาจากท่านปู่ที่พระราชวังชิวเฟิง ในตอนนั้นนางคิดแค่ว่าดาบนี้รูปร่างเหมือนหุบเขาทรงกระบี่
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งนี้อาจจะเป็นกุญแจสำหรับเปิดประตูหินบานนี้
สวบๆๆ
คนของเผ่าเพลิงฟ้าไล่ตามมาและเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด “นางเด็กโสโครก เจ้าบังอาจสังหารผู้อาวุโสเผ่าเพลิงฟ้าของพวกเข้า เอาชีวิตของเจ้ามาเดี๋ยวนี้”
ผู้อาวุโสหลายคนของเผ่าเพลิงฟ้าปรากฏตัวและใช้กระบวนท่าฝ่ามือสังหารเป็นชุดๆ
แววตาของกู้ชูหน่วนเยียบเย็น ก่อนที่เยี่ยจิ่งหานและจอมมารจะลงมือ นางก็บิดปุ่มที่นูนขึ้นมาไปเรียบร้อย
หลังจากบิดลงไป ถ้ำทั้งถ้ำก็สั่นไหวเสียงดังครั่นครืน สั่นจนทุกคนทรงตัวอย่างยากลำบาก
ในไม่ช้าโพรงเล็กๆ บนกำแพงหินในถ้ำก็เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนมนุษย์แต่ไม่ใช่มนุษย์ ดูเหมือนผีแต่ก็ไม่ใช่ผี ทั้งยังไม่สัตว์ร้ายด้วย
ทันทีที่สัตว์ประหลาดเหล่านี้ปรากฏตัว พวกมันก็พุ่งเข้าไปกัดเหล่าผู้อาวุโสจากเผ่าเพลิงฟ้าทันที พวกมันเร็วมากจนมองแทบไม่ทัน
ผู้อาวุโสเผ่าเพลิงฟ้าตกตะลึง
พวกเขาจะเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาจัดการกู้ชูหน่วนถ้ายังต้องรับมือกับสัตว์ประหลาดเหล่านี้
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหวินเส่าอี๋ สีชิ่นและไป๋จิ่นก็เร่งรุดมาถึงและถูกโจมตีโดยสัตว์ประหลาดเหล่านี้เช่นกัน
ในตอนนั้นกู้ชูหน่วนวางดาบสั้นลงบนกำแพงหินที่เว้าลงไป จากนั้นจึงเรียกเยี่ยจิ่งหานและจอมมาร
“เร็วเข้า”
ประตูหินเปิดออกและทั้งสามคนก็ผ่านประตูเข้าไปอย่างรู้กัน
ดวงตาที่อ่อนละมุนของเหวินเส่าอี๋เป็นประกายราวกับเดาได้อยู่แล้วว่ากู้ชูหน่วนมีแผนอื่น เขาเคลื่อนไหวหลอกๆ เพื่อสลัดให้หลุดจากเหล่าสัตว์ประหลาด จากนั้นจึงตามกู้ชูหน่วนและคนอื่นๆ เข้าไปทั้งที่รู้ว่าเสี่ยงอันตราย
ปึ่ง!
ประตูหินปิดลงในชั่วพริบตาและตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
กู้ชูหน่วนเผชิญหน้ากับเหวินเส่าอี๋ ดวงตาของนางเยียบเย็นจนน่ากลัว
เหวินเส่าอี๋กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางกู้ ดูเหมือนท่านจะไม่ลงรอยกับเผ่าเพลิงฟ้าของข้าเอามากๆ”
“เฮอะ… กี่ครั้งแล้วที่เผ่าเพลิงฟ้าของพวกท่านพยายามจะฆ่าข้า หรือท่านคิดว่าข้าควรรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของพวกท่าน?”
“ท่านอยากฆ่าเขาใช่หรือไม่พี่หญิง ถ้าท่านต้องการ ข้าจะฆ่าเขาให้ท่านเดี๋ยวนี้” จอมมารยิ้มอย่างมีเสน่ห์และแบกความสง่างามไว้ทุกรูปแบบ
เยี่ยจิ่งหานเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “มีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา”
แฮ่กๆๆ
ทุกคนตั้งสมาธิมั่น
ครั้นแล้วพวกเขาก็พบว่าตนเองเข้ามาอยู่ในสถานที่ที่เวิ้งว้าง
พวกเขาเงยหน้ามองไปรอบๆ และไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่าและความมืดมิด มืดขนาดที่ว่ามองไม่เห็นนิ้วของตัวเอง เหมือนท้องฟ้ายามค่ำที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีผิด
ทว่าในสถานที่ว่างเปล่าเช่นนี้กลับมีเสียงหายใจอันเลือนรางดังแว่วมา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าแปลกมาก
“ดูเหมือนจะใกล้เข้ามาแล้ว” จอมมารกล่าว
“กลิ่นอายที่น่าสลด” เหวินเส่าอี๋สูดลมหายใจเข้าอย่างกะทันหัน
กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ต่อให้เป็นเขาตอนที่อยู่ในจุดสูงสุดก็ยังไม่ใช่คู่มืออยู่ดี
เป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวนี้จะอยู่ในระดับเจ็ด?
ทุกคนพากันตกตะลึงเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้