กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 574
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 574
กู้ชูหน่วนยกกำปั้นขึ้นและหันไปทางผู้เฒ่าที่ปกปิดใบหน้าและยิ้ม “ข้าน้อยกู้ชูหน่วน ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่เข้ามาช่วยเหลือ ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสคือ……”
“ข้าน้อยคารวะท่านผู้นำนิกายขอรับ”
เสียงที่เป็นระเบียบเรียบร้อยและทรงพลังดังก้องกังวาน
กู้ชูหน่วนโซเซเกือบจะยืนไม่มั่นคงและมองไปอย่างสับสนงุนงงที่ชายปกปิดใบหน้าที่คุกเข่าลง
“ผู้นำ……ผู้นำนิกาย……”
ผู้นำนิกายอะไร?
ผู้นำนิกายเทพอสูรหรือ?
ผู้เฒ่าที่ปกปิดใบหน้าถอดผ้าคลุมใบหน้าออกและเผยให้เห็นใบหน้าที่เป็นมิตร เขาน่าจะอายุเกินหกสิบปี แต่ร่างกายยังแข็งแรงดี การเคลื่อนไหวก็คล่องแคล่วฉับไวและกิริยาท่าทางของเขาก็ดีสง่างาม เมื่อเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นยอดฝีมือและยังเป็นหัวหน้าในตำแหน่งสูงมาเป็นเวลานาน
ผู้เฒ่ายิ้มและกล่าวว่า “ท่านผู้นำนิกาย ท่านลืมไปแล้วหรือ ข้าคือผู้เฒ่าสวี ประมุขชิงแห่งนิกายเทพอสูร ข้าและประมุขชิงเป็นหนึ่งในประมุขที่ที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอด”
จอมมารที่เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยปรากฏตัวออกมา “ท่านมีกี่สถานะตัวตนกันแน่?”
ถึงแม้ว่าเยี่ยจิ่งหานจะไม่สามารถพูดออกมาได้ แต่เขากลับใช้สายตาส่งสัญญาณจ้องมองไปที่นาง ราวกับเขากำลังถามนางด้วยความสงสัยว่ายังมีอีกกี่สถานะตัวตน บอกมาให้หมด
กู้ชูหน่วนรู้สึกเกร็ง “ข้าสาบานได้ นอกเหนือจากอีกหนึ่งสถานะตัวตนที่ข้ามีอยู่นั้น ก็ไม่มีอีกแล้ว”
“สถานะตัวตนอะไรหรือ?”
“เอ่อ……สถานะตัวตนนี้ ข้าไม่อาจบอกได้ พวกเจ้ารู้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
เยี่ยจิ่งหานและจอมมารต่างก็สงสัย
ไม่อาจบอกได้?
สถานะตัวตนมากมายต่างก็เปิดเผยออกมาแล้ว ยังมีสถานะตัวตนไหนที่ไม่อาจเปิดเผยได้?
หรือว่าสถานะตัวตนที่นางบอกจะหมายถึงพระชายาของเขา (นายหญิงของจอมมาร)?
เยี่ยจิ่งหานและจอมมารยิ่งคิดก็รู้สึกว่ายิ่งมีความเป็นไปได้
มีเยี่ยจิ่งหาน (จอมมาร) อยู่ ฉะนั้นนางจึงไม่กล้าพูดออกมาโดยตรง
คำพูดของจอมมารค่อนข้างจิกกัด “พี่หญิง ท่านปกปิดข้าจนน่าสงสาร”
กู้ชูหน่วนเบะปากและเบื่อหน่ายที่จะสนใจพวกเขาทั้งสองคน และไม่สนใจที่จะไปคาดเดาว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังคิดอะไร นางเพียงแค่ประคองผู้เฒ่าสวีลุกขึ้นยืน
“ก่อนหน้านี้สมองของข้าได้รับการกระทบกระเทือน มีหลายเรื่องราวที่ข้าจำไม่ได้แล้ว หากพวกเจ้าจำคนผิดละก็ เช่นนั้นอย่าโทษข้าก็แล้วกัน” ในขณะเดียวกันกู้ชูหน่วนก็หันไปมองไป๋จิ่นและสีชิ่น
“ท่านผู้นำนิกายพูดเหลวไหล บนโลกนี้นอกจากท่านแล้ว ใครยังจะสามารถมาเป็นผู้นำนิกายของนิกายเทพอสูรของพวกเราได้อีก”
“ท่านหัวหน้าเผ่า ไป๋จิ่นไม่มีทางจำคนผิดอย่างแน่นอน ท่านวางใจได้”
ถึงแม้ว่าสีชิ่นจะไม่พูดอะไร แต่มุมปากของนางก็เผยถึงรอยยิ้มและเห็นว่ากู้ชูหน่วนเป็นราวกับเทพเจ้า
“ในเมื่อพวกเจ้าเป็นคนของนิกายเทพอสูร เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าปรากฏตัวขึ้นที่เผ่าเพลิงฟ้าได้อย่างไรหรือ?”
“ท่านผู้นำนิกาย ข้าน้อยปกปิดชื่อแซ่จริงและใช้ชีวิตอยู่ในเผ่าเพลิงฟ้ามากว่าห้าสิบปีแล้ว คนเหล่านี้ก็อยู่ในเผ่าเพลิงฟ้ามาตั้งแต่เกิด เมื่อสิบปีก่อน พวกข้าบังเอิญมาพบกับเส้นทางลับนี้ขึ้น จากนั้นจึงแอบส่งคนมาจัดการเพื่อให้ใช้งานได้ เพื่อเกรงว่าจะมีสักวันหนึ่งที่ท่านผู้นำนิกายแอบบุกรุกเข้ามายังเผ่าเพลิงฟ้าและไม่สามารถหลบหนีออกไปได้ โชคดีที่เส้นทางลับนี้ถึงเวลาได้ใช้ประโยชน์เสียที”
“ปกปิดชื่อแซ่จริงมากว่าห้าสิบปี?”
“ใช่ เผ่าเพลิงฟ้าและนิกายเทพอสูรของพวกเรามีความเกลียดแค้นที่ไม่อาจประนีประนอมกันได้ ตอนที่อดีตท่านผู้นำนิกายอายุยังน้อยนั้นก็ได้สั่งการวางแผนเรื่องทั้งหมด”
“เช่นนั้นแล้วพวกเจ้ารู้เรื่องของเผ่าเพลิงฟ้ามากน้อยเพียงใด?”
“เผ่าเพลิงฟ้ามีความลับมากมาย ถึงแม้ว่าข้าจะอยู่อาศัยที่นี่มากว่าห้าสิบปี มีสถานที่หลายแห่งที่ข้าไม่อาจเข้าไปได้ หากต้องการกำจัดเผ่าเพลิงฟ้า เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควร”
ผู้เฒ่าสวีกวาดสายตาไปยังเยี่ยจิ่งหานและจอมมาร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เพียงแค่พูดออกมาว่า “ท่านผู้นำนิกายวางใจได้ หากเดินตรงไปจากตรงนี้ก็จะสามารถออกจากเผ่าเพลิงฟ้าได้ ยอดฝีมือของนิกายเทพอสูรจำนวนมากของเราต่างก็รอรับอยู่ข้างนอก”
ทันใดนั้น จอมมารก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง “เดี๋ยวก่อน ท่านเป็นผู้นำนิกายเทพอสูร เช่นนั้นเราก็เป็นศัตรูเก่ากันน่ะสิ? ท่านไม่ได้ถูกข้าฆ่าตายไปแล้วหรือ?”
ทุกคนต่างพากันจ้องมองไปยังจอมมารและแววตาก็เต็มไปด้วยความโกรธ
กู้ชูหน่วนไม่สามารถรักษาความสงบได้อีกต่อไปและกล้ามเนื้อบนใบหน้าของนางก็กระตุก
เจ้าหมอนี่
เขาเพิ่งจะนึกออกอย่างนั้นหรือ?
“ไม่สิ ตอนนั้นท่านตายไปแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าเห็นกับตาตัวเอง ท่านไม่สามารถฟื้นกลับมาได้อีก เป็นไปได้อย่างไร……”
กู้ชูหน่วนพูดขึ้นมาด้วยความโมโห “เช่นนั้นแล้วเจ้าคิดว่าตอนนี้ข้าคือผีอย่างนั้นหรือ?”
“คงไม่ถึงกับเป็นผี เพียงแต่พวกท่านทั้งสองช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง กิริยาท่าทางก็ไม่เหมือนกัน และแววตา แววตาของนางดูโศกเศร้า เห็นเข้าก็รู้สึกหม่นหมองและสงสาร แต่ท่านกลับเต็มไปด้วยพลังและดวงตาที่เฉียบคม มีเพียงความดุดันและไม่มีความสิ้นหวังเลย ในตัวของท่าน ข้ากลับไม่เห็นเงาของนางเลยแม้แต่นิดเดียว”
จอมมารเกาศีรษะที่ดกดำของเขาและขมวดคิ้วกล่าวว่า “และยังมีศิลปะการต่อสู้ของพวกเจ้าทั้งสองคน ช่างแย่เสียเหลือเกิน”
กู้ชูหน่วนโมโหแต่ก็หัวเราะออกมา “เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องการจะฆ่าข้าอีกครั้งใช่หรือไม่?”
“เอ่อ……หากท่านเป็นนาง เช่นนั้นข้าคงจำเป็นต้องฆ่าอีกครั้ง แต่……แต่ท่านกลับกลายเป็นพี่หญิงของข้าได้อย่างไร? เช่นนั้นแล้วตอนนี้ข้าควรฆ่าท่านหรือไม่ควรฆ่าท่านล่ะ?”
ชายผู้ปกปิดใบหน้าที่ยืนอยู่ข้างกู้ชูหน่วนกล่าวว่า “ท่านผู้นำนิกาย คนคนนี้เป็นคนที่ปลอมตัวเป็นจอมมารหรือไม่? เหตุใดถึงดูโง่เขลาราวกับคนเสียสติเหลือเกินขอรับ?”
ทุกคนต่างพากันกลอกตาใส่
จะเป็นตัวปลอมได้อย่างไรกัน?
ฝีมือการต่อสู้ของเขา หากพวกเขาที่นี่รวมกัน ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ คนปกติทั่วไปจะมีความสามารถวิทยายุทธที่สูงส่งเช่นนั้นได้อย่างไร?
แต่บอกว่าเขาเป็นคนโง่เขลา ก็ดูค่อนข้างเหมาะสม
“เจ้าหมาน้อย ข้าถามเจ้า เหตุใดเจ้าถึงต้องการฆ่าผู้นำนิกายเทพอสูร?”
“เพราะทุกคนต่างพากันร่ำลือว่าวิทยายุทธของนางสูงส่งกว่าข้า”
“เพียงแค่นี้หรือ? นี่นับว่าเป็นศัตรูเก่าหรือ?”
“ข้าพยายามติดต่อนางเพื่อประลองกำลังกับนางหลายครั้ง แต่กลับถูกนางปฏิเสธไม่ก็บอกปัด จึงทำให้ข้ารู้สึกรำคาญใจ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีชิ่นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“นายหญิงของข้ามีเรื่องสำคัญต้องทำ แต่เจ้ากลับทำตัวเป็นกอเอี๊ยะหนังสุนัขที่คอยตามยื้อไปวันๆ เพื่อต้องการให้นางประลองฝีมือด้วย คิดว่าคนอื่นจะว่างเหมือนกับเจ้าอย่างนั้นหรือ? ยังกล้ารำคาญคนอื่นได้”
“บังอาจ เจ้าเป็นใครกันถึงกล้าด่าว่าข้า หากไม่เห็นแก่ที่เจ้าเป็นลูกน้องของพี่หญิง เช่นนั้นข้าฆ่าเจ้าไปนานแล้ว”
“หรือข้าพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ? หากไม่ใช่เป็นเพราะเจ้าที่วันๆ เอาแต่ตามตอแยนายหญิงของข้า เช่นนั้นแล้วนายหญิงของข้าก็สามารถจัดการเรื่องสำคัญสำเร็จไปนานแล้ว หากไม่ใช่เป็นเพราะเจ้าทำให้นายหญิงของข้าต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นแล้วนายหญิงของข้าจะสูญเสียความทรงจำและสูญเสียฝีมือวิทยายุทธในการต่อสู้ไปได้อย่างไร”
“พอได้แล้ว ทะเลาะอะไรกัน หุบปากได้แล้ว แม้ว่าที่นี่จะปลอดภัยเพียงใด ถึงอย่างไรคนของเผ่าเพลิงฟ้าก็สามารถหาเจอได้ไม่ช้าก็เร็ว เรื่องต่างๆ ในอดีต ออกไปจากที่นี่ให้ได้เสียก่อนค่อยว่ากัน” กู้ชูหน่วนพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
สีชิ่นและทุกคนต่างรับคำสั่ง
จอมมารกำหมัดแน่นและยังคงคิดอยู่ว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าดี เขาคิดมากจนขมวดคิ้ว
กู้ชูหน่วนเหลือบไปมองเยี่ยจิ่งหานที่บาดเจ็บสาหัส และมองไปยังผู้เฒ่าสวีและคนอื่นๆ “จักรพรรดินีฉู่ยังอยู่ในเผ่าเพลิงฟ้า ข้าไม่อาจปล่อยพระองค์ไว้เพียงลำพังได้ ตัวตนของพวกเจ้าได้เปิดเผยไปแล้วและไม่มีเหตุผลจะอยู่ต่อแล้ว ข้ารบกวนให้ท่านผู้เฒ่าสวีพาเยี่ยจิ่งหานออกไปพร้อมกับพวกท่านด้วย ไป๋จิ่น สีชิ่น พวกเจ้าทั้งสองก็ออกไปก่อน”
“นายหญิง ท่านออกไปก่อน เรื่องของจักรพรรดินีฉู่ให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
“ไป๋จิ่นและสีชิ่นก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย หากยังต่อสู้ต่อไป เกรงว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ประมุขสวีอาศัยอยู่ในเผ่าเพลิงฟ้ามานานหลายสิบปี ทุกคนในเผ่าเพลิงฟ้าต่างคุ้นเคยกับท่าน หากมีท่านคอยออกหน้า ก็คงไม่เหมาะ ถึงแม้ว่าข้าจะได้รับบาดเจ็บบ้าง แต่ก็เป็นบาดแผลเล็กๆ และผู้คนของเผ่าเพลิงฟ้าก็ไม่ค่อยมีคนรู้จักหน้าตาของข้า หากมีข้าเป็นคนไปตามหาจักรพรรดินีฉู่ เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด”
“นายหญิง ท่านพูดอะไรเช่นนั้น ตำแหน่งของท่านสูงส่ง อีกทั้งยังแบกรับภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าข้อน้อยจะต้องตาย เช่นนั้นก็ไม่อาจปล่อยให้ท่านเข้าไปในเผ่าเพลิงฟ้าคนเดียวได้”
“ข้าเพียงคนเดียวที่ไหน ยังมีเขาอีกคน”
กู้ชูหน่วนพูดขึ้นและลากจอมมารออกมา จากนั้นยิ้มและกล่าวว่า “อาม่อจะไปกับข้า ใช่หรือไม่?”