กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 588
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 588
ทางเข้าขั้วโลกเหนืออยู่ไม่ไกลนัก
เหวินเส่าอี๋ทนไม่ไหวแล้วจึงนอนพักอยู่ด้านข้างของภูเขาหิมะ
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์วิ่งกลับไปกลับมาอย่างเหน็ดหนื่อยจนซบอยู่กับข้อมือของกู้ชูหน่วนและนอนหลับไปอย่างเงียบๆ
มีเพียงกู้ชูหน่วนเท่านั้นที่ยังอยู่ในสภาพการที่ดีอยู่บ้าง
กู้ชูหน่วนหยิบเสื้อผ้าตัวหนึ่งจากวงแหวนอวกาศแล้วสวมใส่ลงบนตัวของเหวินเส่าอี๋
“ใส่ๆไปก่อนเถอะ ในวงแหวนอวกาศของข้าเหลือเสื้อผ้าผู้ชายเพียงตัวเดียวแล้ว”
เหวินเส่าอี๋รวบเสื้อผ้าและถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “เจ้าพาข้ามาทำสิ่งใดที่นี่?”
กู้ชูหน่วนกางมือทั้งคู่ออก “ไม่รู้ก็พามาด้วยเลย ตอนนี้ดูๆแล้วเสมือนตัวภาระ”
เหวินเส่าอี๋ “……”
กู้ชูหน่วนจัดการฟืนในมือและก่อกองไฟกองหนึ่ง
“ท่านพักที่นี่ครู่หนึ่งข้าจะออกไปสักครู่”
กล่าวจบก็ไม่สนใจว่าเหวินเส่าอี๋จะได้ยินคำพูดของนางหรือไม่กู้ชูหน่วนก็จากไปเลย ทิ้งเหวินเส่าอี๋ให้ผิงไฟอยู่บนพื้นหิมะเพียงลำพัง
คิ้วดำสนิทดังภูเขาอันไกลโพ้นขมวดเล็กน้อยโดยที่ไม่เข้าใจว่ากู้ชูหน่วนทำอันใดกันแน่
นางร้อนร้นที่จะได้ไข่มุกมังกรลูกที่หกมา เมื่อมาถึงทางเข้าขั้วโลกเหนือก็ไม่ใช่ว่าควรเข้าไปตรวจดูก่อนหรอกหรือ?
นางทิ้งเขาไว้ที่นี่ก็ไม่กลัวว่าเขาจะหนีไปหรือ?
ก็ใช่……
ที่นี่เป็นจุดชมหิมะที่งดงามสมคำร่ำลือนอกจากหิมะแล้วก็เป็นน้ำแข็ง เขาจะหนีไปที่ใดได้?
กู้ชูหน่วนจากไปเป็นเวลานานก็กลับมา
ขณะที่กลับมาหนาวเย็นจนริมฝีปากซีดเซียวและร่างกายก็เต็มไปด้วยหิมะน้ำแข็ง
ดูในมือนางถือกระต่ายหิมะสองสามตัวจากนั้นก็จัดการกับอวัยวะภายในอย่างชำนาญ และในที่สุดก็ย่างบนกองไฟ
ที่ด้านล่างของภูเขาต้องการจะหาของป่าเล็กน้อยก็อาจจะสามารถหาได้อยู่บ้าง
แต่บนยอดของภูเขาน้ำแข็งนี้โดยพื้นฐานแล้วไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่
นางล่ากระต่ายป่าหลายตัวนี้น่าจะใช้พละกำลังไปไม่น้อยสินะ
กลิ่นหอมของกระต่ายย่างพุ่งเข้าจมูกพร้อมกับเสียงซู่ซ่าในกองไฟ
ท้องของเหวินเส่าอี๋ร้องเสียงดังขึ้นมา
หิวมาเป็นเวลาสี่วันแล้ว เขาอยากกินอาหารมากกว่าผู้ใด
แต่ศักดิ์ศรีของเขาบอกกับเขาว่า เขาจะไม่เปิดปากอ่อนน้อมต่อกู้ชูหน่วน
กู้ชูหน่วนย่างของป่าในเวลานี้ก็เพียงเพื่อต้องการทรมานเขา
“อืม……หอม ดมจนอยากกินเสียแล้ว กระต่ายหิมะของขั้วโลกเหนือไม่เหมือนกับกระต่ายหิมะในที่ราบตอนกลางของเรา”
เหวินเส่าอี๋ไม่ตอบ
“อา เสียงอะไรที่ร้องอยู่ตลอดนะ ดูเหมือนว่าจะเป็นท้องของท่านนะ”
“อยากกินไหม?”
เหวินเส่าอี๋เบือนหน้าออก
“ไม่อยากกินหรือ หากท่านไม่อยากกินสักครู่เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาสองตัวนี้ยังไม่เพียงพอที่จะอุดฟันมันได้เลย”
เหวินเส่าอี๋มองไปยังข้อมือของนางด้วยความสงสัย
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ตะกละอยู่ตลอด เป็นไปไม่ได้ที่ได้กลิ่นของเนื้อแล้วจะไม่ตื่นขึ้น
ตอนนี้เหตุใดถึงยังนอนหลับสนิทอยู่ได้?
เป็นไปได้หรือไม่ว่ากู้ชูหน่วนทำบางสิ่งบางอย่างกับมัน
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของกู้ชูหน่วนคืออะไร แต่เหวินเส่าอี๋ก็ประจักษ์เรื่องหนึ่งซึ่งก็คือเป็นไปไม่ได้ที่กู้ชูหน่วนจะมอบกระต่ายย่างให้เขากิน
นางเพียงแค่หยามเขา
สิ่งที่เหวินเส่าอี๋ไม่เคยคาดคิดก็คือกู่ชูหน่วนส่งกระต่ายย่างตัวหนึ่งมายังตรงหน้าเขา
กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ไม่ได้กินมาหลายวันหลายคืนแล้วรีบกินซะเถอะจะได้ไม่อดตายในภูเขาหิมะนี้ ไม่มีผู้ใดช่วยเก็บศพท่านได้”
เหวินเส่าอี๋ตกตะลึง
“ให้ข้า?”
“ที่นี่นอกจากท่านแล้วยังมีผู้อื่นอยู่อีกหรือ?”
กู้ชูหน่วนวางกระต่ายย่างไว้ในมือเขาแล้วก็หยิบอีกตัวขึ้นมา “ที่นี่ยากนักที่ล่าของป่าได้และข้าก็ล่าได้เพียงสามตัวเท่านั้น อีกไม่นานจะมีการต่อสู้ ใหญ่ขึ้นข้าก็ต้องเติมพลังงานด้วย ตัวหนึ่งให้ท่าน ตัวหนึ่งข้ากินเอง อีกตัวหนึ่งเก็บไว้ให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์”
“ดูสิ่งใด พวกเราเสียเวลามากแล้ว ในเวลาชาหนึ่งหากท่านกินไม่หมดข้าก็จะไม่รอท่านอีกแล้ว”
มุมปากของเหวินเส่าอี๋ปรากฏรอยยิ้มที่แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ และกินกระต่ายย่างด้วยท่าทางงามสง่า
นี่เป็นภาพที่งดงามยิ่งนักภาพหนึ่ง
ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง แดงหนึ่งขาวหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างกองไฟและกินกระต่ายย่างอย่างเงียบๆราวกับภาพทิวทัศ์อันงดงามท่ามกลางหิมะอย่างไร้ที่เปรียบ
ชายหญิงคู่นี้ลักษณะท่าทางอันโดดเด่น สูงส่งงามสง่าพร้อมกับหน้าตาอันสวยงาม ผู้ใดเห็นเข้าก็รู้สึกจมดิ่งลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เหตุใดเจ้าถึงได้เกลียดชังคนของเผ่าเพลิงฟ้า เช่นนั้น?”
น้ำเสียงของเหวินเส่าอี๋ช่างเบานักราวกับว่าบ่นพิมพำกับตนเอง
ท่าทางที่กินกระต่ายย่างของกู้ชูหน่วนหยุดชะงักแล้วก็กินต่อขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นกระซิบกลับเขาประโยคหนึ่วว่า “ท่านคาดเดาได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
“ดังนั้นเจ้าเป็นคนของเผ่าหยกจริงๆหรือ?”
คนเผ่าหยกมีสัญลักษณ์ที่หลังใบหูแต่นางไม่มี
วันที่สิบห้าพระจันทร์เต็มดวงก็ไม่ได้กำเริบ
คำสาบเช่นนั้นไม่มีผู้ใดสามารถรอดพ้นไปได้ และกู้ชูหน่วนก็ไม่มีความสามารถเช่นนั้นเหมือนกัน
สถานะของนางดูสูงส่งและน่าสงสัย
เขาก็เคยสงสัยว่านางเป็นคนของเผ่าหยก แต่สัญญาณทั้งหมดทำให้เขายากที่จะเชื่อได้
หากว่านางไม่ได้เป็นคนของเผ่าหยก เหตุใดถึงได้พูดแทนอยู่ในฝ่ายของเผ่าหยก
กู้ชูหน่วนเงียบ
บรรยากาศตึงเครียดอยู่ครู่หนึ่งนอกจากเสียงลมหนาวที่เกิดเสียงก็มีเพียงเสียงกินกระต่ายย่าง ซึ่งเงียบเสียจนทำให้คนรู้สึกหนาวเหน็บ
เป็นเวลานานกู้ชูหน่วนก็เอียงศีรษะและมองเหวินเส่าอี๋ด้วยสายตาเข้ม “เหตุใดเผ่าเพลิงฟ้าถึงได้สาปเผ่าหยก?”
“เรื่องนี้กล่าวแล้วซับซ้อนนัก”
“งั้นก็เล่าเรื่องให้กระชับ”
“เผ่าเพลิงฟ้าแต่ก่อนเป็นรัฐเฉิน เผ่าหยกเป็นรัฐอวี้ ทั้งสองรัฐเป็นพันธมิตรกันเกี่ยวดองกัน พวกเขาหมั้นหมายทารกไว้ตั้งแต่เด็ก แต่จักรพรรดิแห่งรัฐอวี้มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมอุบายเข้าหาองค์หญิงของรัฐเฉินของพวกเราเพียงเพื่อต้องการได้ดินแดนของรัฐเฉิน เขาวางหลุมพรางเอาไว้มากมาย ไม่เพียงแต่แย่งชิงรัฐเฉินไปแล้วยังเจ้าชู้หลายใจอีกด้วย ทำลายหน้าตาขององค์หญิงรัฐเฉินตัดเอ็นร้อยหวายของนางออกและท้ายที่สุดก็ทิ้งลงไปในหน้าผาลึก”
“ที่โชคดีคือองค์หญิงได้ผจญภัยที่ก้นหน้าผาไม่เพียงแต่ไม่สิ้นพระชนม์และยังได้เรียนรู้ทักษะมากมาย หลังจากองค์หญิงออกมาถึงได้รู้ว่าพ่อแม่พี่น้องของตนเองถูกรัฐอวี้สังหารหมดไม่เหลือญาติมิตรแม้แต่คนเดียว ภายใต้ความกราดกริ้วองค์หญิงได้นำทหารที่เหลืออยู่ของรัฐเฉินและใช้ตนเองเป็นเครื่องสังเวยเพื่อสาปแช่งคำสาปโลหิตอันชั่วร้ายที่สุดทั่วทั้งใต้หล้าต่อเผ่าหยก”
กู้ชูหน่วนหัวเราะเยาะซ้ำแล้วซ้ำเล่า “กล่าวดังกับว่าองค์หญิงแห่งรัฐเฉินยิ่งใหญ่สักเพียงใด จักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งรัฐเฉินและพระญาติของราชวงศ์มิใช่องค์หญิงที่ทรงสังหารด้วยพระองค์เองหรอกหรือ?”
เหวินเส่าอี๋ขมวดคิ้ว
“หากพระองค์ใช้ตนเองสังเวยเช่นนั้นหลังจากนั้นพระองค์ทรงรอดมาได้อย่างไร? เผ่าเพลิงฟ้าของพวกท่านจะเป็นมาได้อย่างไร?”
“เป็นหน่วยขององค์หญิงที่มาถึงทันเวลาและได้ช่วยชีวิตองค์หญิงเอาไว้ และนำสายเลือดเดียวที่เหลืออยู่จากไปและตั้งแต่นั้นมาก็อาศัยอยู่อย่างสันโดษ”
“ท่านเชื่อหรือไม่?”
“เหตุใดข้าจะไม่เชื่อหล่ะ? หากไม่ใช่เพราะความไร้เมตตาปราณีของจักรพรรดิแห่งรัฐอวี้แล้วรัฐเฉินของเราเหตุใดถึงได้เดินบนเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ”
“องค์หญิงไร้เดียงสา มีชีวิตชีวา และมีชีวิตความเป็นอยู่ดีงามพระองค์จะรู้จักคำสาปโลหิตอันโหดเหี้ยมเช่นนั้นได้หรือ? ตามที่ท่านกล่าวในเวลานั้นในรัฐเฉินเหลือทหารผู้น่าสงสารไม่มากนัก เพียงแค่การสังเวยโลหิตเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ราษฎรลูกหลานรัฐอวี้ทั้งหมดแม้แต่สัตว์ทั้งหลายล้วนถูกคำสาปโลหิตไปด้วย?”
เหวินเส่าอี๋กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าต้องการจะกล่าวสิ่งใด?”
“ถึงแม้ว่าองค์หญิงแห่งรัฐเฉินเพียงแค่ให้ลูกน้องของตนสละชีวิตเพื่อสังเวยและสาปแช่งคำสาปโลหิตเอาไว้ แล้วราษฎรของรัฐเฉินหล่ะ หรือว่าทั้งหมดถูกรัฐอวี้สังหารไปแล้ว? สุดท้ายแล้วพวกเขาไปที่ใดกันหมดเสียหล่ะ?”
“ราษฎรของรัฐเฉินเดิมทีก็ถูกเผ่าหยกเข่นฆ่าสังหารไปหมดแล้ว”
หลังจากที่เหวินเส่าอี๋กล่าวจบ ในใจของเขาก็อดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้
เพียงแค่ใช้โลหิตจำนวนน้อยสังเวยไม่สามารถทำการสาปแช่งคำสาปโลหิตอันโหดร้ายเช่นนั้นได้
เป็นไปได้หรือไม่ว่า……
ไม่……
นี่เป็นไปไม่ได้……
บรรพบุรุษของพวกเขาไม่ได้โหดเหี้ยมเช่นนั้น