กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 628
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 628
“ใกล้วันครบรอบที่ท่านพ่อของเจ้าอายุหกสิบแล้วไม่ใช่หรือ?เจ้าไม่ต้องกลับไปเตรียมการหรือ?” กู้ชูหน่วนมองไปที่เซี่ยวอวี่เซวียนในทันที
เซี่ยวอวี่เซวียนตบหัวตัวเอง “ไอ้หยา ข้าลืมไปได้อย่างไร แม่สาวอัปลักษณ์ ข้าคงต้องกลับไปก่อน อีกสามวันก็เป็นวันครบรอบที่ท่านพ่อของข้าอายุหกสิบแล้ว เมื่อถึงวันแล้วท่านอย่าลืมมาร่วมงาน”
“ได้ ข้าไปแน่นอน”
กู้ชูหน่วนยิ้ม เมื่อมองดูเซี่ยวอวี่เซวียนที่เดินจากไป ทันใดนั้นนางก็เรียกเขา
“เสี่ยวเซวียนเซวียน……”
“มีอะไรหรือ?”
“ท่านพ่อของเจ้าอายุมากแล้ว เขาปกป้องบ้านบ้านเมืองไปด้วย เลี้ยงดูพวกเจ้าไปด้วย มันไม่ง่ายเลย หากเจ้าว่างก็อยู่เป็นเพื่อนเขา และอย่ายั่วโมโหให้เขาโกรธ”
เซี่ยวอวี่เซวียนยกมุมปากขึ้น ราวกับว่าเขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็กลืนคำพูดทั้งหมดลงไป และยิ้มให้กู้ชูหน่วนอย่างสบายใจ
“วางใจได้ ก่อนหน้านี้ข้าเสเพลและไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว ต่อไปข้าจะกตัญญูต่อเขาให้มาก ๆ”
เขามีความสงสัยอยู่ในใจ สองวันมานี้พวกเขาผิดปกติมากเกินไป
แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเชื่อ เชื่อผู้หญิงที่เขาชอบ และเชื่อว่าแม่สาวอัปลักษณ์จะไม่ทำร้ายท่านพ่อของเขา
หลังจากที่เซี่ยวอวี่เซวียนจากไป รอยยิ้มของกู้ชูหน่วนก็ค่อย ๆ จางลง จากนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความโศกเศร้าและภาระหน้าที่อันหนักอึ้ง
“ท่านพี่หน่วน ท่านเป็นอะไรไป?ทำไมจู่ ๆ ถึงได้โศกเศร้าขึ้นมา?หรือว่าอาลัยอาวรณ์เซี่ยวอวี่เซวียน?ให้ข้าไปเรียกเขากลับมาดีหรือไม่?”
“น้องหญิงฮวาฉี่หลัว เจ้าช่วยอะไรข้าหน่อยได้หรือไม่?”
“แน่นอนว่าได้ ท่านพี่หน่วนบอกมาเถอะ”
“หุบปากของเจ้าเสีย อย่ามาพูดพล่อย ๆ ต่อหน้าข้าอีก และอย่ามาวิ่งเพ่นพ่านต่อหน้าข้า ข้าอยากอยู่เงียบ ๆ”
“ได้……ก็ได้……แล้วนานแค่ไหน?”
“หนึ่งวันหนึ่งคืน” กู้ชูหน่วนอยากจะพูดว่าสามวันสามคืน แต่นางรู้ดีว่หนึ่งวันหนึ่งคืนก็มากพอแล้ว
“ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะไปเล่นกับผู้อื่น แล้วพรุ่งนี้เวลานี้ข้าจะกลับมาหาท่าน”
ฮวาฉี่หลัวหันกลับมามองเป็นระยะ ๆ และรอให้กู้ชูหน่วนเรียกนาง แต่กู้ชูหน่วนก็นั่งเงียบ ๆ อยู่นอกประตู นางเอามือทั้งสองข้างกอดหัวเข่าของตัวเองไว้ ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ และไม่รู้ว่าโศกเศร้าอะไร
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ กู้ชูหน่วนไม่รู้ว่าตนเองนั่งอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว นางนั่งจนขาทั้งสองข้างชา
จากนั้นนางก็ลุกขึ้นและเดินเข้าไปในห้องดูลั่วอิ่ง
ในนั้นจักรพรรดิฉู่กำลังพูดคุยเป็นเพื่อนลั่วอิ่ง แม้ว่าสิ่งที่เรียกว่าการพูดคุยจะเป็นการที่จักรพรรดิฉู่พูดคุยกับตนเองก็ตาม
อัครมเหสีทรงปรุงอาหารด้วยตนเอง นางทำของบำรุงและอาหารมากมาย และเรียกให้ั่วอิ่งมาทานอาหาร
ช่างเป็นภาพที่มีความสุข
เหมือนครอบครัวที่อยู่ด้วยกันสามคน
หากไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง นางก็คงไม่เชื่อผู้ที่อยู่ตรงหน้านางคือจักรพรรดิและอัครมเหสี ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในรัฐฉู่
“แม่นางกู้ ทำไมเจ้ายืนอยู่หน้าประตูและไม่ยอมเข้ามา รีบเข้ามาชิมหน่อย ข้าทำอาหารง่าย ๆ ไม่รู้ว่าจะถูกปากของเจ้าหรือไม่?”
หลังจากที่ถูกค้นพบ กู้ชูหน่วนก็เข้าไปอย่างเปิดเผย
“กลิ่นหอมมากดี พระองค์ทรงทำเองทั้งหมดเลยหรือเพคะ?”
กู้ชูหน่วนดูคร่าว ๆ บนโต๊ะมีอาหารอยู่ประมาณเจ็ดแปดอย่าง มีทั้งไก่ เป็ด ปลา เนื้อ และผัก ดูจากหน้าตาและกลิ่นแล้ว รสชาติก็คงจะไม่ได้ทิ้งห่าง
อัครมเหสีฉู่ฝืนยิ้ม “ไม่ได้ทำอาหารมาหลายปีแล้ว รู้สึกไม่ค่อยชิน ทำให้แม่นางกู้ต้องขบขันแล้ว”
จักรพรรดิฉู่ยิ้มอย่างจริงใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร อาหารเหล่านี้ยังคงรสชาติเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย แม่นางฉี่หลัวล่ะ?ข้าให้คนไปตามนางมาทานอาหารด้วยกัน และมาลองชิมฝีมือของอวิ๋นเอ๋อร์”
กู้ชูหน่วนรีบกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอกเพคะ นางกินไปแล้ว และหลับไปแล้ว”
ช่างน่าขบขัน ไม่ง่ายเลยที่จะสะบัดนางออกไป หากยังตามติดนางอีก นางก็คงถูกก่อกวน
“แม่นางฉี่หลัวเข้านอนเร็ว เช่นนั้นพวกเราไปกินกันก่อนเถอะ”
ในขณะที่จักรพรรดิฉู่กล่าว เขาก็คีบเนื้อชิ้นหนึ่งไปให้ลั่วอิ่งและกล่าวว่า “เจ้าดูซูบผอม กินเนื้อเยอะ ๆ ร่างกายจะได้แข็งแรง”
“ข้าวต้มปลาช่วยบำรุงได้ ลั่วอิ่ง เรามากินข้าวต้มปลากันเถอะ”
อัครมเหสีฉู่ก้มศีรษะลงและยิ้มอย่างอ่อนโยน นางค่อย ๆ หยิบก้างปลาออกมาแล้วเป่าให้หายร้อน ก่อนที่จะยื่นให้ลั่วอิ่ง
“ลองชิมดูว่าถูกปากเจ้าหรือไม่ หากไม่ถูกปาก พรุ่งนี้ข้าจะทำข้าวต้มผสมยาอย่างอื่นให้”
เจ้ากิน
ลั่วอิ่งเหลือบมองข้าวต้มปลา ไม่รู้ว่านัยน์ตาที่นิ่งสงบกำลังคิดอย่างไรอยู่
จักรพรรดิฉู่อธิบายว่า “ปลาพวกนี้เพิ่งถูกจับมาจากทะเลสาบ เพื่อที่จะหาปลาที่สด อวิ๋นเอ๋อร์จึงไปที่ท่าเรือด้วยตนเอง และนำกลับมาทำอาหาร แม้ว่าจะเป็นข้าวต้มปลาเพียงถ้วยเดียว แต่อวิ๋นเอ๋อร์ก็ทำอยู่นาน ข้าไม่ได้กินข้าวต้มปลาฝีมืออวิ๋นเอ๋อร์มาหลายปีแล้ว ได้กลิ่นหอมของข้าวต้มปลาแล้วก็อยากชิม”
“ต่อหน้าลูก ทรงตรัสอะไรเช่นนี้เพคะ มา ลั่วอิ่ง กินเสียหน่อย เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
อัครมเหสีฉู่เหลือบมองจักรพรรดิฉู่อย่างอ่อนโยน และยื่นข้าวต้มปลาให้ลั่วอิ่ง
หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าลั่วอิ่งไม่ชอบให้ผู้อื่นเขาใกล้ อัครมเหสีฉู่ก็อยากจะป้อนเขาด้วยตนเอง
ไม่รู้ว่าข้าวต้มปลานี้ปรุงอย่างไร ทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของข้าวต้มปลา ได้กลิ่นแล้วก็ทำให้หิว
จักรพรรดิฉู่รู้สึกประหม่าในใจ และกลัวว่าลั่วอิ่งจะปฏิเสธที่จะอยู่ใกล้พวกเขา
กู้ชูหน่วนรู้สึกลำบากใจ
พ่อแม่คู่นี้ หากไม่มีลูกคอยดูแลยามชรา สวรรค์ก็คงจะตาบอดเกินไปแล้ว
นัยน์ตาที่เยือกเย็นของลั่วอิ่งขยับเล็กน้อย เขายื่นมือออกไปรับข้าวต้มปลา และค่อย ๆ กินทีละคำ
จักรพรรดิฉู่ดีใจมาก และคีบอาหารให้เขาอีกหลายอย่าง คำพูดของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“มา ผักนี่เป็นผักที่อวิ๋นเอ๋อร์ไปเก็บมาด้วยตนเอง เจ้าลองชิมดู”
“แล้วก็อันนี้ เป็นผักที่ช่วยอุ่นบำรุงร่างกาย ร่างกายของเจ้าจะได้แข็งแรง”
ไม่นานในถ้วยของลั่วอิ่งก็เต็มไปด้วยอาหารต่าง ๆ และแทบจะกองเป็นภูเขา แม้ว่าลั่วอิ่งอยากจะกิน แต่อาหารมากมายเช่นนี้ เขาคงจะกินไม่หมด
กู้ชูหน่วนเผลอยิ้มออกมา และหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารที่ตนเองชอบกิน
ลั่วอิ่งรู้สึกสับสนในใจ เขาตะลึงกับอาหารอันโอชะตรงหน้า และความสุขบนใบหน้าของจักรพรรดิฉู่และอัครมเหสีฉู่
เขาถือข้าวต้มปลาไว้แน่น และหัวใจที่ถูกผนึกมานานหลายปีของเขาก็คลายลง
พวกเขาเป็นจักรพรรดิและจักรพรรดินีที่สูงส่งของรัฐฉู่ แต่พวกเขาเต็มใจทำอาหารให้เขาและคีบอาหารให้เขาด้วยตนเอง
ความรู้สึกเช่นนี้ ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก
เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต
ลั่วอิ่งกินข้าวต้มปลาปลาอย่างเงียบ ๆ และฟังจักรพรรดิฉู่และอัครมเหสีฉู่พูดคุยกันอย่างปีติยินดี
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าจักรพรรดิฉู่และอัครมเหสีฉู่มีความสุขมาก และปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจ
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว อัครมเหสีฉู่ก็ไม่อยากที่จะจากไป แต่จักรพรรดิฉู่ก็พานางไป เพื่อให้ลั่วอิ่งได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
กู้ชูหน่วนแอบเข้าไปในห้องของลั่วอิ่งกลางดึก นางเอนตัวพิงหน้าต่างด้วยท่าทางที่เกียจคร้าน แสงจันทร์สาดส่องลงมากระทบร่างกายของนาง
กู้ชูหน่วนดูเหมือนจะพึมพำกับตัวเอง และดูเหมือนกำลังพูดคุยกับลั่วอิ่ง
“มีคนคอยปกป้องดูแล รู้สึกอบอุ่นใช่หรือไม่?”
“เคยคิดที่จะเลิกเป็นมือสังหารบ้างหรือไม่?และใช้ชีวิตอย่างคนปกติ?”
ลั่วอิ่งเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเย็นชา
กู้ชูหน่วนเผลอยิ้มออกมา และลูบผมหน้าของตนเองอย่างเบื่อหน่าย “เป็นมือสังหารมายี่สิบปีแล้ว สิ่งที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกคือการเป็นมือสังหารที่โหดเหี้ยมและทำตามคำสั่ง หากให้เจ้าเลิก แล้วเจ้าจะเลิกได้อย่างไร?”
เงียบสงัด
กู้ชูหน่วนมองไปที่แสงจันทร์ที่สว่างไสวนอกหน้าต่างและกล่าวเบา ๆ “ในใจของเจ้ากำลังคิดว่าเยี่ยเฟิงคือใครใช่หรือไม่?”