กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 630
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 630
กู้ชูหน่วนแทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
แม้ว่านางจะไม่ได้สนใจพวกเขาเลยจริงๆ แต่คำพูดนี้ก็ขัดกับใจของนางยิ่งนักโดยเฉพาะกับจอมมาร
นางไม่เคยรังเกียจความสามารถทางสติปัญญาอันต่ำและการหลงลืมทิศทางของจอมมาร กลับรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่เสมอ
ทุกครั้งที่กู้ชูหน่วนกล่าวประโยคหนึ่งใบหน้าของเยี่ยจิ่งหานก็อ่อนลงเล็กน้อย เมื่อฟังจนถึงท้ายที่สุดมุมปากก็โค้งงอขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ผ่านไปครู่หนึ่งไม่รู้ว่าเขานึกสิ่งใดออกแล้วใบหน้าก็แข็งทื่อ “แล้วจักรพรรดิเยี่ยหล่ะ”
“จักรพรรดิน้อยพระองค์นั้นยังทรงพระเยาว์เช่นนั้น ขาที่สามของพระองค์นั้นจะใช้การได้หรือ?”
“แค่ก แค่ก……
ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยแสร้งทำเป็นไอเพื่อซ่อนความเขินอายเอาไว้
ชิวเอ๋อร์หน้าแดงจึงได้ก้มหน้าลงต่ำกระทั่งไม่กล้าแม้แต่จะลืมตา
คนรับใช้คนอื่นๆในจวนก็ดูเขินอายเช่นเดียวกัน จึงได้ก้มหน้ากันทีละคนๆโดยที่อยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้าหัวเราะ
ใบหน้าของเยี่ยจิ่งหานหมองลงในทันที
กู้ชูหน่วนรีบเปลี่ยนคำพูด “ข้าหมายความว่าฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์และเป็นหลานชายของข้า ข้าจะกระทำกับใครก็ไม่สามารถกระทำต่อหลานชายของข้าได้”
แม้ว่านางจะอธิบายแล้วแต่ก็ราวกับยิ่งปกปิดก็ยิ่งเปิดเผยออกอย่างไม่ต้องสงสัยและทุกๆคนก็ยิ่งก้มหน้าก้มตาอย่างเขินอาย
กู้ชูหน่วนมองไปยังเยี่ยจิ่งหานด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม
เยี่ยจิ่งหานตำหนิว่า “หญิงไร้ยางอาย”
“ใช่ๆๆๆ ข้าไร้ยางอาย สวามียืนนานเช่นนี้ข้าเมื่อยไปหมดแล้วพวกเรากลับห้องกันดีไหม” กู้ชูหน่วนกอดเยี่ยจิ่งหานโดยราวกับจะออดอ้อน ดวงตาคู่สวยงามจะบอกว่ารู้สึกไม่เป็นธรรมเท่าใดก็รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมมากเท่านั้น
เยี่ยจิ่งหานจับเอวอุ้มนางขึ้นพร้อมกับก้าวเดินไปในห้องนอนและทิ้งประโยคเย็นชาประโยคหนึ่งเอาไว้ว่า “ยังนิ่งเฉยอยู่ที่นี่ทำไมกัน ในจวนไม่มีสิ่งใดให้ทำหรือ?”
“ขอรับๆๆ……ข้าน้อยขอตัวก่อน”
กลุ่มคนเมื่อครู่นี้ก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา
ชิงเฟิงดึงแขนเสื้อของเตี้ยงเสวี่ยและขอร้องว่า “เจี้ยงเสวี่ยหลายคืนก่อนเป็นข้าที่รับหน้าที่เฝ้าเวร ไม่งั้นคืนนี้เจ้าเฝ้านะ”
“นายท่านย้ายเจ้าไปคุ้มครองข้างกายพระชายาแล้วข้าจะแย่งความชอบของเจ้าได้อย่างไร คืนนี้ก็เป็นเจ้าที่รับหน้าที่เข้าเวรต่อไปเถอะ”
เจี้ยงเสวี่ยกล่าวแล้วก็ตบไหล่ของเขาพร้อมกับมองเขาด้วยสายตาจงสร้างบุญกุศลให้มากๆนะ จากนั้นก็เดินตามชิวเอ๋อร์จากไป
ชิงเฟิงตกตะลึง
จริงอยู่ที่นายท่านย้ายเขาไปคุ้มครองพระชายา แต่ว่า……
ในตอนนี้นายท่านและพระชายาเข้านอนพร้อมกัน พวกเขาทั้งสองคนควรจะเวียนกันเข้าเวรไม่ใช่หรือ?
เหตุใดถึงเป็นเขาทุกคืน?
เหตุใดถึงเป็นเขาที่ได้รับบาดเจ็บทุกครั้ง?
ชิงเฟิงกระทืบเท้าด้วยความโมโหและไปรับหน้าที่เฝ้าเวรอย่างไม่เต็มใจ
ในห้องนอนเยี่ยจิ่งหานวางกู้ชูหน่วนไว้บนเตียงแล้วกดทับลงไปโดยตรงเลยทั้งร่าง
“พูดมา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าขาที่สามของจักรพรรดิน้อยใช้การไม่ได้?”
กู้ชูหน่วนกลอกตาใส่
“เดาเอา”
เยี่ยจิ่งหานทำสายตาสงสัย
กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ท่านไม่เชื่อข้าหรือ?”
“การกระทำทุกสิ่งอย่างของเจ้าจะสามารถทำให้ผู้อื่นเชื่อได้หรือ?”
เยี่ยจิ่งหานสูดลมหายใจอันเย็นเข้า
ในใจของเขานั้นเชื่อในกู้ชูหน่วนเพียงแต่ว่าปากไม่ตรงกับใจ
“การกระทำไร้ความยับยั้งชั่งใจยั่วยวนบุรุษไปทั่ว ข้างกายมีแต่ฝูงแมลงวันบินวนเวียนไปมาเสียงดังหึ่งๆอยู่ตลอดช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก”
กู้ชูหน่วนหันข้างใช้มือหนุนศีรษะเหล่มองเยี่ยจิ่งหานและบังเกิดรอยยิ้มที่มุมปากขึ้น
“โอ๊ย ท่านอ๋องของเราหึงหรือเนี่ย?”
“ข้าจำเป็นต้องหึงด้วยหรือ?”
“แล้วท่านบ่นพึมพำอันใดกัน?”
“แม่สาวคืนนี้เจ้าตายแน่แล้ว”
เยี่ยจิ่งหานพุ่งตัวลงไปกดมือของนางเอาไว้และมองดูใบหน้ารูปไข่อันงดงามไร้ที่ติของนาง กลืนน้ำลายลงคอและร่างกายก็เหือดแห้งและร้อนขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
“ครั้งเดียว และต้องเป็นข้าอยู่ด้านบน กู้ชูหน่วนกล่าว
“ครั้งเดียวอันใด?”
“อย่างมากเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งที่แล้วท่านทำข้าเหนื่อยมากเสียจนยังปวดเอวอยู่เลย”
เยี่ยจิ่งหานไม่พอใจ “ทุกครั้งก็เป็นเจ้าอยู่ด้านบน ครั้งนี้เปลี่ยนคน”
กู้ชูหน่วนมองเขาอย่างเกียจคร้าน ดวงตาคู่เปื้อนน้ำแฝงด้วยรอยยิ้มบางเบาทว่ารอยยิ้มบางเบานี้กลับบ่งบอกถึงคำเตือนนับไม่ถ้วน
สี่ตาประสานกัน กู้ชูหน่วนนั้นสบายๆตามใจนึกและเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ
เยี่ยจิ่งหานกัดฟันกรามด้วยความโมโห คิ้วดังภูเขาอันไกลโพ้นขมวดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่รู้ว่าประสานสายตากันเป็นเนิ่นนานเพียงใด เยี่ยจิ่งหานก็กัดฟัน “ลงไม่ได้หล่ะ”
“ไว้ค่อยว่ากันครั้งหน้านะ”
“ครั้งหน้าของครั้งหน้าก็ยังเป็นเจ้าอยู่ด้านบน”
“หากท่านมีความเห็นออกประตูไปเลี้ยวซ้ายค่อยๆเดินไม่ส่ง”
เยี่ยจิ่งหานยกมือขึ้นดับเทียนทั้งหมดและเอ่ยประโยคเย็นชาประโยคหนึ่งออกมา
“ชิงเฟิง ไปขัดห้องน้ำ”
“ขอรับ……”
ชิงเฟิงตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง
เขารู้ว่าเพียงแค่เขาเฝ้าเวรกลางคืนไม่ใช่ไปล้างห้องน้ำก็ถูกส่งไปทำงานหนักอื่นๆ
เช่นไรนายท่านก็เป็นเทพแห่งสงครามผู้สูงส่ง กุมกองกำลังไว้มากมาย มีความแข็งแกร่งยิ่งนักและยังเป็นเจ้าหอของหอเทียนหวั่ง เหตุใดอยู่ต่อหน้าพระชายาถึงได้เล็กเท่ามดตัวหนึ่งโดยไร้ซึ่งความกล้าหาญแม้เพียงน้อยนิด
วันเวลาที่ผ่านมานี้มีครั้งใดที่นายท่านอยู่ด้านบน?
หน้าตาของบุรุษถูกนายท่านทำขายหน้าไปหมดแล้ว?
จัดการกับสตรีผู้หยิ่งจองหองเช่นนี้ ใช้พละกำลังอันแข็งแกร่งเลยโดยตรงก็พอแล้วไม่ใช่
“ชิงเฟิง……”
“อ๊ะ……”
เมื่อได้ยินเสียงของกู้ชูหน่วนทันใดนั้นชิงเฟิงก็สะดุดและเกือบจะล้มลง เขานั้นหวาดกลัวยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าพระชายาคาดเดาได้ถึงความนึกคิดในใจของเขาใช่หรือไม่ถึงได้เรียกเขาเอาไว้
จริงตามนั้น……
เสียงเย็นยะเยือกของกู้ชูหน่วนดังออกมา
“หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายมากนักงั้นเจ้าก็ถอดออกให้เกลี้ยงซะแล้วยืนอยู่หน้าหอจวี๋อิงเป็นเวลาสิบห้าคืน”
ใบหน้าของชิงเฟิงเปลี่ยนเป็นซีดเผือดในทันที
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยยิ่งไม่กล้าวิจารณ์เรื่องจริงเท็จของเจ้านาย”
หอจวี๋อิงนั้นเป็นหอนางโลม หากเขาไปแล้วจะไม่ถูกผู้คนล้อมวงมองดูหรอกหรือ?
“ข้าบอกหรือว่าเจ้าวิจารณ์จริงเท็จของเจ้านาย? ท่านอ๋องท่านดูลูกน้องที่ท่านสั่งสอนออกมาสิ ไม่มีความเคารพนบน้อมเลยแม้แต่น้อย”
“สามสิบคืน”
เสียงของเยี่ยจิ่งหานร้อนร้นราวกับว่าไม่พอใจชิงเฟิงที่ยังอยู่ด้านนอกยิ่งนัก
ยิ่งไม่พอใจกับความความเห็นตามอำเภอใจของเขา
ท้ายที่สุดเขาก็พ่ายแพ้แก่กู้ชูหน่วนทุกคืน
สำหรับชายผู้หนึ่งแล้วช่างน่าขายหน้าจริงๆเลย
“นายท่านไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยไม่ต้องการไปสถานที่เช่นนั้นจริงๆ ข้าน้อย…..”
“ยังกล้าพูดอีกหนึ่งคำเพิ่มอีกสามสิบคืน”
ชิงเฟิงแทบจะคลานออกไปอย่างล้มลุกคลุกคลาน
ในใจของเขาเป็นรู้สึกหดหู่นับพันนับหมื่น
ก็รู้อยู่แล้วว่าเฝ้ายามต้องไม่มีเรื่องดีเป็นแน่
เมื่อคิดว่าตนเองจะต้องเป็นดังคณิกาเช่นนั้นที่ยืนให้ผู้อื่นมองดูอยู่ท่ามกลางฝูงชน ชิงเฟิงรู้สึกอยากจะตายขึ้นมาอยู่ในใจ
ด้านข้างเป็นเสียงปลอบใจของเจี้ยงเสวี่ย
“ขณะที่นายท่านกับพระชายากระทำเรื่องอย่างว่าเจ้าอยู่ให้ห่างสักหน่อยก็เป็นพอ”
เขาไม่กล่าวสิ่งใดก็ยีงดี เมื่อเขากล่าวขึ้นมาในท้องของชิงเฟิงเต็มไปด้วยความโมโห
“ยืนคุยไม่ปวดเอวแล้วข้าจะไปให้ห่างได้เช่นไร? ไปให้ห่างแล้วจะคุ้มครองนายท่านได้อย่างไร? จะคุ้มครองพระชายาได้อย่างไร?”
“เจ้ามันโง่ นายท่านขายหน้าเช่นนั้นจะยอมให้เจ้าเห็นได้อย่างไร ต่อให้เจ้าไม่เฝ้าเวรนายท่านก็ไม่ว่าสิ่งใดกับเจ้ากลับจะบอกว่าเจ้ารู้การรู้งาน แต่เจ้าดัน……ดันแอบฟังนายท่าน……ที่สุดด้านนั้นของนายท่าน”
ชิงเฟิงปาดเหงื่อ
กล่าวด้วยความไม่เป็นธรรม “ในเมื่อเจ้ารู้เหตุใดถึงไม่บอกข้าให้เร็วหน่อย”
“เรื่องแบบนี้ยังจะต้องให้คนอื่นพูดอีกหรือ? เจ้าแสดงความรักกับภรรยาของเจ้าจะชอบให้ผู้อื่นฟังไหม?”
เจี้ยงเสวี่ยไร้ซึ่งคำพูด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชิงเฟิงเติบใหญ่ขึ้นมาอย่างไร?