กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 642
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 642
กู้ชูหน่วนเดินอย่างไร้จุดหมาย นางเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเดินไปถึงจวนแม่ทัพ
จวนแม่ทัพกำลังจัดงานศพ มีธงขาวและผ้าขาวห้อยอยู่ทั่วทุกที และเขียนคำว่าเตี้ยน (ไว้อาลัย) ไว้ตรงกลาง
เนื่องจากท่านแม่ทัพใหญ่มีคุณธรรมสูงส่ง ไม่ว่าจะในราชสำนัก ในค่ายทหาร หรือในใจประชาชน ล้วนแต่มีฐานะที่หยั่งรากลึก จึงมีคนมาแสดงความเสียใจจำนวนมาก
กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาของนางมีความเจ็บปวดใจปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง ในขณะที่นางกำลังลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ ทันใดนั้นอาจารย์ซั่งกวนก็ปรากฏตัวขึ้นและยืนอยู่ข้าง ๆ นาง
เสียงของเขาเนิบช้าราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ “วันนี้เป็นวันเคลื่อนย้ายศพของท่านแม่ทัพใหญ่ หากเจ้าอยากจะไปส่งเขาจริง ๆ ก็เข้าไปข้างในแล้วจุดธูปไหว้”
กู้ชูหน่วนเอียงหน้า อาจารย์ซั่งกวนเหมือนเทพเซียนที่จุติลงมา สง่างามไร้ที่ติ
เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาวราวหิมะ บริสุทธิ์ผุดผ่องและสูงส่งราวกับเทพเซียนบนสวรรค์ชั้นฟ้า ทำให้ผู้คนไม่กล้าดูหมิ่น ไม่กล้าอาจเอื้อม และทำได้เพียงแค่แหงนมอง
ไม่ได้พบกับเขามาสักระยะหนึ่งแล้ว ยังคงมีรอยยิ้มเล็กน้อยอยู่ที่มุมปากของอาจารย์ซั่งกวน แต่ไม่รู้ทำไมนางถึงรู้สึกว่าใบหน้าของอาจารย์ซั่งกวนซีดขาวเล็กน้อย และไม่รู้ว่าใช่เป็นเพราะโศกเศร้ากับการตายของแม่ทัพใหญ่เซี่ยวหรือไม่
“ตระกูลเซี่ยวคงจะไม่ต้อนรับข้า” กู้ชูหน่วนพูดเบา ๆ
“เจ้าไปส่งแม่ทัพใหญ่เซี่ยว ไม่ใช่คนในตระกูลเซี่ยว ขอเพียงแม่ทัพใหญ่เซี่ยวต้องการให้เจ้าไปส่งเขาก็พอแล้ว”
กู้ชูหน่วนยังไม่ทันได้พูด อาจารย์ซั่งกวนก็ก้าวเข้าไปข้างในแล้ว
กู้ชูหน่วนถอนหายใจอยู่ครู่หนึ่ง และเดินตามเข้าไปในจวนแม่ทัพ
ทั้งสองเดินตามกันเข้าไป
กู้ชูหน่วนอยู่ไม่ไกลกับอาจารย์ซั่งกวน นางจึงรู้สึกได้ถึงเย็นชาอย่างบอกไม่ถูก
ความเย็นชาอย่างบอกไม่ถูกที่อาจารย์ซ่างกวนมีต่อนาง
ดูเหมือน……
นางทำให้เขาขุ่นเคืองตรงไหน
หรือว่าทอดทิ้งเขา
กู้ชูหน่วนส่ายหัว ทอดทิ้งอะไรกัน
นางกับอาจารย์ซั่งกวนไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน คำว่าทอดทิ้งมาจากไหน
ทันทีที่ก้าวเข้ามา ผู้คนในจวนแม่ทัพต่างก็เกลียดชังนาง ถือว่านางเป็นศัตรู และแทบอยากจะโยนนางออกไป
หนึ่งในคนที่แต่งกายเป็นทหารตะโกนว่า “พระชายาหาน ท่านมาทำอะไรที่นี่ จวนแม่ทัพของพวกเราไม่ต้อนรับท่าน”
“ใช่ ออกไป”
“สังหารอย่างโหดเหี้ยม แล้วยังกล้ามาไว้อาลัยท่านแม่ทัพใหญ่อีก นายน้อยใหญ่ ได้โปรดให้ข้าได้ล้างแค้นแทนท่านแม่ทัพใหญ่ด้วย”
“ข้าด้วย แม่ทัพใหญ่ปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี เขาถูกฆ่าอย่างไร้ความผิด ข้าต้องล้างแค้นแทนเขาด้วยมือของข้าเอง”
เมื่อคนหนึ่งเริ่ม คนอื่น ๆ ก็โกรธจัด และพากันกำหมัดแน่น
สี่พี่น้องตระกูลเซี่ยว แยกกันคุกเข่าอยู่ทั้งสองฝั่ง รวมทั้งสามีของเซี่ยวหว่านเอ๋อร์ด้วย
เซี่ยวอวี่เซวียนก้มหน้าลง และเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ท่านแม่ทัพใหญ่อย่างเงียบ ๆ ราวกับว่าไม่ได้ยินการพูดคุยระหว่างพวกเขา
เซี่ยวอวี่โหลวขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ทุกคนระงับสติอารมณ์ลงก่อน ในเวลานี้ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้ายที่ฆ่าท่านพ่อ โปรดอย่าให้ร้ายพระชายาหาน”
“คุณชายรอง ท่านใจดีเกินไปแล้ว ด้วยหลักฐานมากมายที่อยู่ตรงหน้า นอกจากนางแล้ว ใครจะเป็นคนร้ายได้อีก?”
“นางรับปากแล้วว่าจะหาตัวคนร้ายให้ได้ภายในเจ็ดวัน หากนางหาตัวคนร้ายไม่ได้ ถึงตอนนั้นค่อยฆ่าก็ยังไม่สาย”
“คุณชายรอง หลังจากเจ็ดวัน นางก็คงจะหนีไปแล้ว และพวกเราจะไปตามหานางได้ที่ไหน”
เซี่ยวหว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันเคลื่อนย้ายศพของท่านพ่อ ข้าไม่อยากให้ดวงวิญญาณของท่านพ่อไม่สงบ เรื่องคนร้าย อีกเจ็ดวันไว้ค่อยคุยกันเถอะ”
ผู้คนกระทืบเท้าด้วยความโกรธ
เห็นได้ชัดว่าคุณชายรองและคุณหนูสามเข้าข้างกู้ชูหน่วน
ไม่รู้ว่ากู้ชูหน่วนทำเสน่ห์อะไรใส่พวกเขา ถึงทำให้พวกเขายอมปล่อยคนร้ายที่ฆ่าท่านพ่อของพวกเขา
กู้ชูหน่วนเหลือบมองพวกเขาด้วยความซาบซึ้งใจ
ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ไม่ได้สนิทสนมกัน และอาจพูดได้ว่าพวกเขาเพิ่งเคยเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ทั้งสองคนก็เชื่อใจนางอย่างไม่มีเงื่อนไขตั้งแต่แรก อีกทั้งยังปกป้องนางมาโดยตลอด
น้ำใจไมตรีนี้ นางจะจดจำไว้ในใจ
อาจารย์ซั่งกวนจุดธูปสามดอก และโค้งคำนับที่หน้าโลงศพของแม่ทัพใหญ่เซี่ยวสามครั้ง
กู้ชูหน่วนก็จุดธูปสามดอกเช่นกัน และต้องการจะกราบไหว้แม่ทัพใหญ่เซี่ยว แต่ถูกผู้คนในจวนแม่ทัพต่อว่าอย่างโกรธเคือง
“ท่านไม่คู่ควรที่จะจุดธูปกราบไหว้ท่านแม่ทัพใหญ่ พวกเราไม่ฆ่าท่านก็นับว่าดีมากแล้ว”
“ใช่ อย่าคิดว่าท่านเป็นพระชายาหาน แล้วพวกเราจะไม่กล้าทำอะไรท่านนะ”
“มือสังหารที่ฆ่าท่านแม่ทัพใหญ่ ต่อให้ต้องตายพวกเราก็จะไม่ปล่อยนางไป”
เซี่ยวอวี่ชงระงับความโกรธของเขา เขาไม่อยากให้ท่านพ่อของเขาจากไปอย่างไม่สงบ
เมื่อเห็นการกระทำของกู้ชูหน่วนในเวลานี้ เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ที่นี่ไม่ต้อนรับท่าน ท่านรีบไปออกไปเถอะ”
“ข้ามาจุดธูปกราบไหว้ท่านแม่ทัพใหญ่ ไม่ได้ว่าจุดธูปกราบไหว้ท่าน ขอเพียงแค่ท่านแม่ทัพใหญ่ไม่ไล่ข้า ใครก็ไล่ข้าไม่ได้” กู้ชูหน่วนกล่าว
เมื่อคำพูดเหล่านี้จบลงก็จุดประกายความโกรธขึ้นอีกครั้ง
แม่ทัพใหญ่ตายไปแล้ว จะมาไล่นางได้อย่างไรกัน?
หญิงผู้นี้ยังมียางอายอยู่หรือไม่?
ผู้คนพากันเอาอาวุธออกมา และเตรียมพร้อมที่จะโจมตี
เสียงที่น่าฟังราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิของอาจารย์ซั่งกวนดังขึ้น
“ตามกฎระเบียบของรัฐเยี่ย หากมีคนมาแสดงความเสียใจ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีเจตนาใด เจ้าบ้านจะต้องปฏิบัติต่อกันอย่างสุภาพ และไม่สามารถไล่คนออกไปได้ อีกทั้งยังไม่สามารถทำร้ายและด่าทอได้ จวนแม่ทัพไม่ว่าจะอยู่ในราชสำนักหรือว่ารัฐเยี่ยก็ไม่เป็นสองรองใคร หรือว่า… จวนแม่ทัพต้องการจะทำลายกฎระเบียบของรัฐเยี่ย?”
“นางฆ่าท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยว” ผู้ที่แต่งกายเป็นรองแม่ทัพคนหนึ่งกล่าวอย่างโกรธเคือง
อาจารย์ซั่งกวนยิ้มเล็กน้อย และแบมือทั้งสองข้างออก “แต่ในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าคุณหนูสามฆ่าท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยว เพียงเพราะท่านแม่ทัพใหญ่ไม่ชอบคุณหนูสาม เพราะคุณหนูสามเชี่ยวชาญด้านพิษ และบังเอิญอยู่ที่จวนแม่ทัพ จึงตัดสินว่าคุณหนูสามเป็นคนร้าย”
“ท่านอาจารย์ซั่งกวน ท่านเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของสำนักศึกษาวังหลวง หรือว่าท่านต้องการจะปกป้องพระชายาหาน?”
“ข้าไม่ได้ต้องการจะปกป้องใคร ข้าแค่ว่าไปตามเนื้อผ้า คุณหนูสามจะเป็นคนร้ายหรือไม่นั้น ศาลต้าหลี่ (ศาลสูงสุดของจีนโบราณ) จะตรวจสอบทุกอย่างให้กระจ่าง อีกอย่างคุณหนูสามก็รับปากแล้วว่าจะหาตัวคนร้ายให้ได้ภายในเจ็ดวัน ตอนนี้พวกท่านรีบร้อนกล่าวหาคุณหนูสาม หรือว่าการตายของท่านแม่ทัพใหญ่จะเกี่ยวข้องกับพวกท่าน พวกท่านถึงได้ร้อนใจมากเช่นนี้”
ผู้คนต่างตื่นตกใจ “ท่านอาจารย์ซั่งกวน ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?พวกเราจะฆ่าท่านแม่ทัพใหญ่ได้อย่างไร?
“ใช่ แล้วเช่นนั้นทำไมคุณหนูสามถึงต้องฆ่าท่านแม่ทัพใหญ่ นางได้ประโยชน์อะไรจากการตายของท่านแม่ทัพใหญ่หรือ?”
ผู้คนพากันพูดไม่ออก และสุดท้ายก็พูดกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ไม่ชอบพระชายาหาน และปฏิบัติต่อพระชายาหานไม่ค่อยดีนัก บางที……บางทีนางอาจจะบันดาลโทสะ?”