กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 692
“พอดีมีเวลาว่าง ไม่มีอะไรทำ ข้าเลยทำเพิ่มอีกหน่อย ถึงอย่างไรท่านก็ชอบกินมิใช่หรือ”
เขากลัวว่าต่อไปจะไม่มีโอกาสทำขนมเปี๊ยะดอกไม้ให้นางอีก
ขนมเปี๊ยะดอกไม้เหล่านี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำให้นางได้
น่าเสียดาย…ที่ขนมเปี๊ยะดอกไม้เก็บไว้ได้ไม่นาน ไม่อย่างนั้นเขาก็อยากจะทำให้มากกว่านี้ ให้นางเหลือไว้กินอีกนานๆ
“ท่านพี่เฉินเฟยนี่โง่จริงๆ ถ้าข้าอยากกินข้าก็แค่ไปหาท่าน ตอนนี้ในวงแหวนอวกาศของข้ามีของกองเต็มไปหมด แทบจะใส่อะไรลงไปไม่ได้แล้ว”
“รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ นี่ วงแหวนอวกาศนี้ข้ามอบให้ท่าน ใหญ่กว่าแหวนวงเดิมเกือบเท่าตัว”
อี้เฉินเฟยหยิบวงแหวนอวกาศสีแดงออกมาจากแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงสวมให้นางด้วยตัวเอง
กู้ชูหน่วนชะงักไปนิดหนึ่ง
วงแหวนอวกาศเป็นของหายาก เหตุใดเขาจึงมีมากมายขนาดนี้
นอกจากนี้พื้นที่เก็บของยังใหญ่กว่าเดิมอีกด้วย…
“ดูเหมือนท่านจะมีสมบัติติดตัวมากมาย ยังมีสมบัติอะไรอีก เอาออกมาให้หมดเลยนะ” กู้ชูหน่วนหัวเราะหึหึพลางทำท่าค้นหารอบๆ ตัวเขา
อี้เฉินเฟยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “คนโง่ ข้ามีสมบัติล้ำค่าอะไรแล้วซ่อนให้พ้นตาท่านได้บ้าง”
วงแหวนอวกาศวงนี้เป็นของที่เขาได้มาจากผู้อาวุโสสูงสุด เป็นวงแหวนอวกาศที่ใหญ่ที่สุดในเผ่าหยกและอาจเรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในใต้หล้าเลยด้วยซ้ำ
เขาต้องทุ่มเทวรยุทธมากมายเพื่อให้ได้วงแหวนอวกาศวงนี้มา
แต่อี้เฉินเฟยบอกเรื่องนี้กับกู้ชูหน่วนไม่ได้
กู้ชูหน่วนรู้ได้ทันทีว่านี่คือสมบัติล้ำค่า และอี้เฉินเฟยก็มอบให้นางด้วยตัวเองโดยที่นางไม่ต้องเอ่ยปากขอ
แค่เห็นว่าสภาพร่างกายของอี้เฉินเฟยดีขึ้นมาและรู้ว่าตัวเองไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของเยี่ยจิ่งหาน เพียงเท่านี้นางก็พอใจแล้ว ดังนั้นนางจึงเริ่มก่อกวนอี้เฉินเฟย
มือของนางลูบคลำอี้เฉินเฟยอย่างอยู่ไม่สุข ค้นหาไปทั่วตัวของเขาอย่างไม่เกรงใจ ปากก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า
“ข้าไม่เชื่อท่านหรอก ในเมื่อไม่มี ท่านจะกลัวข้าค้นตัวทำไม ท่านอย่าซ่อนเลยน่า ท่านพี่เฉิน…”
อึก!
ทันใดนั้นอี้เฉินเฟยที่กำลังดีๆ อยู่ก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก
กู้ชูหน่วนสะดุ้ง สองมือแข็งค้างอยู่กลางอากาศ
นาง…
ไม่ได้ออกแรงเลยนะ
เหตุใดจึงกระอักเลือด
“ท่านพี่เฉินเฟย ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้ข้ากลัวสิ…”
อี้เฉินเฟยรู้สึกหนาวไปทั้งตัวและกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เลือดนั้นย้อมอาภรณ์ของกู้ชูหน่วนและอาภรณ์สีขาวราวกับหิมะของเขาจนเป็นสีแดง
ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ ร่างกายสั่นสะท้านราวกับกำลังอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
กู้ชูหน่วนรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียว อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มขึ้นเหมือนมีไฟปะทุ
ฟู่ว…
กู้ชูหน่วนสูดลมหายใจเข้า
คำสาปโลหิต…
สำแดงฤทธิ์…
วันนี้ไม่ใช่วันที่สิบห้า คำสาปโลหิตจะสำแดงฤทธิ์ได้อย่างไร
ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้นเอง จอมมารก็รีบวิ่งเข้ามาหา
“แย่แล้วพี่หญิง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว คำสาปโลหิตของทุกคนในเผ่าหยกสำแดงฤทธิ์ มีทั้งคนตาย คนเจ็บ ที่บ้าคลั่งก็บ้าคลั่ง…”
ตูม!
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้กู้ชูหน่วนตาพร่า
ในเผ่าหยก สิ่งที่นางกลัวที่สุดคือการเห็นคำสาปโลหิตของชาวเผ่าสำแดงฤทธิ์…
จนถึงตอนนี้…
ปึ่ง!
อี้เฉินเฟยล้มลงไป
กู้ชูหน่วนประคองเขาไว้ได้ทันท่วงที
ทันทีที่สัมผัสร่างกายของเขา รูม่านตาของกู้ชูหน่วนก็เบิกกว้าง
“ท่านพี่เฉินเฟย…”
เกิดอะไรขึ้น…เหตุใดพลังชีวิตของเขาจึงหายไป ชีพจรของเขาอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนแทบจะไม่รู้สึกถึงชีพจรและการเต้นของหัวใจ
กู้ชูหน่วนรีบส่งพลังปราณของนางเข้าไปในร่างกายของอี้เฉินเฟย ทันใดความคิดที่เป็นลางร้ายก็ผุดขึ้นมา
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…ทำไมกัน…”
พลังทั้งหมดของอี้เฉินเฟยเหมือนถูกสูบออกไปจนเหลือแค่ร่างกายที่เหือดแห้ง เขายิ้มอย่างอ่อนแรงและเอ่ยว่า “ขะ…ขอโทษ พี่เฉินเฟยไม่…ไม่สามารถอยู่กับท่านได้อีกแล้ว”
“ท่านทำอะไรลงไป”
คำตอบที่กู้ชูหน่วนได้รับคือเลือดที่ไหลออกมาเต็มปากของอี้เฉินเฟย
ไม่ว่านางจะส่งพลังปราณให้เขามากแค่ไหน ก็ไม่ต่างอะไรกับการละลายเกลือในมหาสมุทร มันไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
แต่นางยังดึงดันอย่างไม่ยอมแพ้ มิหนำซ้ำยิ่งส่งพลังปราณเข้าไปมากขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่หยุดยั้ง
จอมมารกล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์…เขาไม่มีทางรอดพ้นคืนนี้”
กู้ชูหน่วนหันขวับไปมองจอมมาร
แต่กลับเห็นว่าแววตาเหลือบฟ้าเหลือบม่วงของเขามีร่องรอยของความทนทุกข์
ท่าทางของเขาแสดงให้เห็นชัดว่าเขารู้อยู่แล้วว่าอี้เฉินเฟยจะต้องเป็นเช่นนี้
เมื่อรวมกับความผิดปกติของจอมมารในช่วงสองวันมานี้ ไม่ว่ากู้ชูหน่วนจะโง่แค่ไหนนางก็ต้องรู้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
กู้ชูหน่วนไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ออกมาง่ายๆ แต่เวลานี้น้ำตาของนางร่วงหล่นมาเป็นสาย นางกอดอี้เฉินเฟยแน่นและเอ่ยปนสะอื้น “ไม่ ท่านสัญญากับข้าแล้ว ท่านสัญญาแล้วว่าจะอยู่กับข้าตลอดไป ท่านจะโกหกข้าได้อย่างไร ลุกขึ้นมานะ รีบลุกขึ้นมา”
ตึบ
มีหยดน้ำตาแวววาวอยู่ที่ขอบตาของอี้เฉินเฟย เขาอยากเช็ดน้ำตาให้กู้ชูหน่วนแต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะยกมือขึ้นมา เพราะคำสาปโลหิตของเขาสำแดงฤทธิ์ ตอนนี้เขาจึงรู้สึกทรมานเหมือนตายทั้งเป็น
ถ้าไม่ใช่เพราะพยายามควบคุมไว้อย่างสุดความสามารถ เกรงว่าเขาคงจะขาดสติไปนานแล้ว
“ย่ะ…อย่าร้อง…ท่านเป็นเช่นนี้ พี่เฉินเฟยจะทุกข์ใจ…”
“เช่นนั้นก็ฟื้นขึ้นมา ถ้าท่านตายข้าจะทำอย่างไร ข้าจะทำอย่างไร…อาม่อ เจ้าเป็นจอมมาร พลังของเจ้าแข็งแกร่ง เจ้ารีบช่วยเขาหน่อยซี่”
กู้ชูหน่วนแทบจะคุกเข่าลง น้ำตาไหลหยดลงมาทีละหยดราวกับไข่มุกที่กำลังร่วงหล่น
จอมมารใช้สองมือประคองกู้ชูหน่วนและไม่เห็นว่านางได้รับบาดเจ็บตรงไหน
ตอนนี้ผู้หญิงที่เขารักที่สุดแทบจะคุกเข่าลงกับพื้นและวิงวอนอย่างเจ็บปวด จอมมารมองเห็นความสิ้นหวังในดวงตาคู่นั้นได้อย่างชัดเจน เป็นแบบนี้เขาจะไม่ทุกข์ใจได้อย่างไร
“พี่หญิง อาม่อก็อยากช่วยเขา แต่อาการ…อาการบาดเจ็บของเขาร้ายแรงเกินไป มันเกินต้านลิขิตสวรรค์ ข้า…ข้าช่วยอะไรเขาไม่ได้”
“เหลวไหล เจ้าเพิ่งทำให้เขาหายดีมิใช่รึ ข้ารู้ว่าที่เขาฟื้นร่างกายได้เช่นนี้ไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสสูงสุดรักษาเขา แต่เป็นเพราะเจ้า ถูกต้องหรือไม่”
“วิชาคืนชีพบุปผาผลิบานนั่นมัน… มันรักษาอี้เฉินเฟยไม่ได้ มีแต่จะทำให้เขาตายเร็วขึ้น”
“วะ…ว่าไงนะ…”
“สิ่งที่เรียกว่าวิชาคืนชีพบุปผาผลิบานคือการดึงพลังปราณแท้ที่เหลืออยู่ทั้งหมดออกมา รวบรวมไว้ในจุดเดียวและช่วยให้เขาฟื้นตัวได้ชั่วคราว แต่หลังจากเวลาผ่านไป แม้แต่เซียนสูงสุดก็ยังมิอาจช่วยชีวิตเขาได้”
กู้ชูหน่วนทรุดตัวลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
อี้เฉินเฟยไอเบาๆ สองสามครั้งและเอ่ยอย่างอ่อนแรงว่า “อย่า…อย่าตำหนิเขา เป็นข้าที่ขอร้องเขา…เดิมที…ก็ไม่มีวิธีรักษาอยู่แล้ว การฟื้นตัวในระยะเวลาสั้นๆ ได้ชมจันทร์และพูดความในใจต่อกัน พี่เฉินเฟยพอ…พอใจแล้ว”