กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 73
รัฐฉู่และรัฐหวาเกิดสถานการณ์ความตึงเครียดขึ้นและสามารถลุกเป็นไฟได้ทุกเมื่อ อี้เฉินเฟยได้กล่าวโน้มน้าวว่า “ทุกคนอย่าทำลายมิตรภาพและสัมพันธ์กันเลย การชุมนุมแข่งขันวิชาการมีไว้เพื่อการเรียนรู้เท่านั้น สิ่งสำคัญคือการเข้าร่วม การแพ้ชนะนั้นเป็นเพียงเรื่องรองลงมา”
อี้เฉินเฟยยืนพูดอยู่เช่นนั้นโดยไม่รู้สึกปวดหลัง
พวกเขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเดินทางหลายพันลี้มาที่รัฐเยี่ยก็เพื่อระฆังวิญญาณสะบั้นไม่ใช่หรือ
ถ้าหากแพ้ไป เช่นนั้นก็เท่ากับเห็นระฆังวิญญาณสะบั้นหลุดมือไปต่อหน้าต่อตาน่ะสิ?
พวกเขากำลังคิดอยากจะต่อต้านกลับไป แต่เมื่อพวกเขานึกถึงพรสวรรค์ที่เต็มเปี่ยมของอี้เฉินเฟยแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขามีโอกาสที่จะได้อันดับหนึ่ง แต่เขากลับยอมแพ้ไป
สามารถแสดงให้เห็นได้ว่าเขาไม่ได้คิดหวังมากมายนักกับระฆังวิญญาณสะบั้น เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะพูดมากไปได้อย่างไร
ความสัมพันธ์ของรัฐหวาและรัฐฉู่เดิมทีก็มีความละเอียดอ่อนอยู่มาก แต่เพราะคำพูดนี้กลับยิ่งเพิ่มความละเอียดอ่อนขึ้น
กู้ชูหน่วนชนะแล้ว และว่ากันว่าอัครเสนาบดีกู้จะยิ่งมีหน้ามีตามีเกียรติขึ้นมาก
แต่เขากลับมีสีหน้าที่หมองหม่นเช่นเดิม
ชัยชนะครั้งนี้ไม่มีเกียรติเอาเสียเลย อีกทั้งลูกสาวคนที่สามของเขานี้นอกจากความรังเกียจแล้ว เขาก็รู้สึกขยะแขยงอีกด้วย
“แม่สาวอัปลักษณ์ชนะจนได้” เซี่ยวอวี่เซวียนบ่นพึมพำกับตัวเอง ราวกับกำลังฝันไป
กู้ชูหน่วนปฏิเสธโดยไม่คิดไตร่ตรอง “ข้ารู้สึกเสียใจ ข้าจะไม่รับท่านเป็นศิษย์แล้ว ท่านจะทำอย่างไรก็ได้”
ตลกหน่า นางไม่มีทางรับคนไม่เอาไหนและคอยเป็นตัวถ่วงหรอกนะ
“ท่านอาจารย์ เป็นเพราะลูกศิษย์คนนี้ไม่ดีตรงไหนหรือ? ข้าสามารถแก้ไขได้”
“ท่านผู้เฒ่า ท่านเป็นถึงนักหมากรุกที่มีชื่อเสียงไปทั่วทุกดินแดน ส่วนข้าเป็นเพียงถุงฟางหัวขี้เลื่อยเท่านั้น หากต้องรับท่านเป็นศิษย์จริง ผู้คนทั้งหลายต่างก็ไม่รู้จะว่ากล่าวข้าอย่างไร”
“ท่านอาจารย์พูดเป็นเล่นไป หากท่านเป็นถุงฟางหัวขี้เลื่อย เช่นนั้นแล้วทุกคนบนโลกนี้ก็คงเทียบไม่ได้กับถุงฟางหรอก”
ปรมาจารย์หมากรุกเปลี่ยนท่าทีของตัวเองก่อนหน้านี้ คำพูดที่พูดออกมาเหมือนกับลูกศิษย์ที่เชื่อฟัง และพยายามตื๊อกู้ชูหน่วนอย่างหนักหน่วง
ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาจากในกลุ่มคน “กล้าพนันก็ต้องยอมรับกับชัยชนะ ในเมื่อเจ้าบอกว่าจะรับปรมาจารย์หมากรุกเป็นลูกศิษย์ เช่นนั้นแล้วจะกลับคำพูดได้อย่างไร”
ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก ขุนนางของรัฐเยี่ยจำนวนไม่น้อยที่แนะนำให้กู้ชูหน่วนตกลงยอมรับปรมาจารย์หมากรุกเป็นศิษย์ เช่นนั้นแล้วจะเป็นเรื่องดีที่จะสร้างชื่อเสียงและเพิ่มแสงสว่างให้กับรัฐเยี่ยได้อย่างมาก
ใบหน้าของคณะทูตของรัฐฉู่เคร่งขรึมราวกับถ่านที่ไหม้เกรียม แต่กลับไม่สามารถพูดอะไรได้
ปรมาจารย์หมากรุกนั้นมาในนามของรัฐฉู่ของพวกเขา แต่วันนี้กลับต้องมาเป็นลูกศิษย์ให้กับเด็กสาวที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เกียรติและศักดิ์ศรีของรัฐฉู่นั้นสูญเสียไปเพราะเขาอย่างสมบูรณ์
แต่ที่น่าโมโหกว่าคือ เด็กสาวคนนั้นกลับไม่ต้องการรับเขาเป็นศิษย์ และเขายังพยายามตามตื๊ออยู่เช่นนั้น
กู้ชูหน่วนกัดฟันกรอด
หากนางทำลายกฎเกณฑ์การเดิมพันพนันต่อหน้าทุกคน เช่นนั้นแล้วท่านเจ๋ออ๋องคงจะไม่มอบเงินสามล้านตำลึงให้กับนางแล้วน่ะสิ
ไม่ได้ เงินตั้งสามล้านตำลึงเชียวนะ หากเป็ดที่ต้มจนสุกแล้วบินหนีไป เช่นนั้นก็คงจะแย่เกินไป
“ก็ได้ ข้าตกลง แต่ท่านเจ๋ออ๋อง ท่านควรจะจ่ายเงินสามล้านตำลึงมาให้ก่อน”
“ให้เวลาข้าสามวัน ข้าจะมอบให้กับเจ้าเอง”
“โอ้……ที่แท้ท่านก็ไม่มีเงินแล้วหรือ บอกเร็วกว่านี้ก็ได้ ข้าก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผลอะไรเช่นนั้น ข้าให้เวลาท่านสามวัน แต่ดอกเบี้ยนี้ เราสองคนควรจะคำนวณเสียหน่อยไหม”
ท่านเจ๋ออ๋องโกรธมากจนทำให้อาการบาดเจ็บภายในของเขารุนแรงขึ้น หากคนรับใช้ไม่ได้ประคองเขาไว้ เกรงว่าเขาคงจะล้มลงอีกครั้ง
เซี่ยวอวี่เซวียนลูบหน้าผากของเขา
แม่สาวอัปลักษณ์คนนี้จงใจทำให้ท่านเจ๋ออ๋องต้องอับอาย
เวลาเพียงแค่สามวัน ยังจะคิดดอกเบี้ยอะไรอีก
ท่านเจ๋ออ๋องพูดเสียงออกมาจากช่องระหว่างฟัน “ได้”
“ท่านอาจารย์ สามวันหลังจากนี้ ข้าจะไปช่วยท่านทวงหนี้” ปรมาจารย์หมากรุกกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้ชูหน่วนเกือบจะเลือนหายไปและรีบเปลี่ยนเรื่องไป
“ไหนบอกว่ามีอีกสามรอบไม่ใช่หรือ? รอบต่อไปแข่งขันอะไร?”
หม่ากงกงพูดด้วยรอยยิ้ม “การแข่งขันในรอบต่อไปคือการแข่งขันกวีนิพนธ์และการประดิษฐ์ตัวอักษร ดูว่าใครแต่งบทกวีได้มากที่สุดและมีการคัดลายมือที่ดีที่สุด คนนั้นก็จะเป็นผู้ชนะไป”
“เช่นนั้นก็คือการนำกวีนิพนธ์และการประดิษฐ์ตัวอักษรมาแข่งขันพร้อมกันใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วๆ”