กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 751
เสี่ยวลู่กล่าวเสียวต่ำ “ว่ากันว่าค่ายกลใหญ่ที่เหวินเส่าอี้สร้างไว้นั้น ส่วนมากล้วนถูกน่าหลานหลิงลั่วทำลายทิ้ง รวมทั้งกองกำลังหลักของเหวินเส่าอี้ด้วย ก็ตายอย่างน่าสลดใจด้วยน้ำมือของหุบเขาตันหุย”
“นายท่าน ดูท่าแล้วเราจะมองหุบเขาตันหุยและน่าหลานหลิงลั่วต่ำไปนะเจ้าคะ”
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว
ตลอดทางมา พฤติกรรมของเหล่าลูกศิษย์ไม่เหมือนกับพฤติกรรมที่มาจากเผ่าเดียวกัน แต่กลับเหมือนทหารผ่านศึกที่เป็นผู้ควบคุมกองทัพอย่างไรอย่างนั้น
น่าหลานหลิงลั่วยังมีตำแหน่งอะไรบ้างกันแน่
“ฉับ…”
ระหว่างคิดทบทวน ก็มีลูกศิษย์อีกหลายคนถูกฆ่า
เพียงเวลาสั้นๆ ก็มีลูกศิษย์ตายไปแล้วห้าหกคน
น่าหลานหลิงลั่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่บ่างรับใช้ยกมาให้ แล้วกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ลูกศิษย์มากมายเพียงนี้ คาดว่าคงยื้อไปจนฟ้าสว่างได้ เจ้ายังมีเวลาทั้งคืนในการคิดทบทวน ช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน”
“น่าหลานหลิงลั่ว ข้าจะสู้กับเจ้าอย่างสุดชีวิต”
“ผู้ดูแลอวี๋ ท่านออกไปตอนนี้มีแต่จะทำให้นายน้อยมีอันตราย มิได้ช่วยอะไรเลย”
“แต่ว่าลูกศิษย์ของเราตายอย่างอนาถไปมากเพียงนั้น ข้า…”
“มันต้องการให้เราออกไป ต้องการให้นายน้อยออกไป แต่หากพวกเราออกไป ก็จะเป็นไปตามแผนการของพวกมัน”
“แล้วจะทำเช่นไรดี หรือว่าจะมองดูพวกเขาตายไปต่อหน้าเช่นนี้งั้นหรือ?”
ในตำหนักสวรรค์
เหวินเส่าอี้หลับตาลงอย่างเจ็บปวด เพียงระยะเวลาสิบวัน เขาได้เห็นเรื่องราวความเป็นความตายมากมายเหลือเกิน
ศึกครั้งนี้ ถูกกำหนดมาให้แพ้
แม้นจะฝืนยื้อต่อไป นอกจากจะมีคนตายเพิ่มแล้วก็ไม่มีหนทางอื่นใดเลย
“ท่านปู่ซ่ง ซ่งอวี้ ท่านพ่อข้าต้องวานให้พวกท่านดูแลแล้ว”
“นายน้อย ท่านจะทำอะไร? ในตำหนักสวรรค์มีค่ายกลที่หัวหน้าเผ่าได้สร้างเอาไว้ด้วยตนเอง นอกจากจะทำลายด้วยยอดฝีมือระดับเจ็ดขั้นสูงสุด มิเช่นนั้นจักไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาได้ เรามิเกรงกลัวหรอก”
“ใช่ พวกมันเข้ามาไม่ได้จริง แต่ทว่าข้างนอกยังมีลูกศิษย์มากมายเพียงนั้น ส่วนข้างใน…เสบียงกับน้ำก็จะหมดแล้วเช่นกัน”
ฝ่าวงล้อมออกไปมิได้
ติดอยู่ข้างใน ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตาย
“นายน้อย…”
ผู้คนต่างคุกเข่าลงร้องขอให้เขาอยู่ต่อ
ผู้อาวุโสสูงสุดซ่งหยวนทุบตีที่ศีรษะของตนอย่างรุนแรง
“ข้ามันไร้ประโยชน์สิ้นดี ในเวลาขับขันเช่นนี้วรยุทธ์กลับสูญสิ้น ข้ามิเพียงแต่ช่วยอะไรไม่ได้เลย แต่ยังทำให้วุ่นวายมากขึ้นด้วย”
“เป็นฝีมือน่าหลานหลิงลั่ว เขาใช้ยาพิษเก่งกาจนัก” เหวินเส่าอี้เอ่ยปากกะทันหัน
ผู้คนต่างตะลึงงัน
เป็นฝีมือน่าหลานหลิงลั่วงั้นหรือ?
ทว่าผู้อาวุโสสูงสุดซ่งหยวนมิได้สัมผัสกับเขาโดยตรง แต่ทำไมถึงได้ตกพลางของเขาได้ล่ะ?
เหวินเส่าอี้ส่ายศีรษะ
เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
แต่ที่เขามั่นใจได้คือ บนตัวของผู้อาวุโสสูงสุดซ่งหยวนนั้นมีกลิ่นของเขาอยู่
หนึ่งในนั้นต้องเกี่ยวพันกันอย่างแน่นอน
บนโลกนี้ผู้ที่เก่งกาจด้านยาพิษไม่เป็นสองรองใครนั้น เขารู้จักเพียงกู้ชูหน่วนคนเดียว
ยาพิษที่น่าหลานหลิงลั่ววางนั้น แตกต่างแต่ก็คล้ายคลึงกับของนาง
เขามิรู้ว่ากู้ชูหน่วนเป็นคนสอนเขาหรือไม่…
นอกประตู เหล่าลูกศิษย์ที่ถูกคุมตัวเป็นเชลยต่างก็ตะโกนออกมา “นายน้อย ท่านอย่าได้ออกมาเป็นอันขาดนะขอรับ พวกข้าตายไปก็ไม่เสียดาย ขอเพียงแค่ท่านปลอดภัยก็เป็นพอ”
เหวินเส่าอี้ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าใครจะขัดขวางเขาก็ไม่เป็นผล เขาเปิดประตูใหญ่ของตำหนักสวรรค์ออกอย่างกล้าหาญ
เท่าที่ตามองเห็น มีซากศพมากมายกองอยู่บนพื้น และคนของเขามีมากที่สุดในนั้น
ผู้คนที่เขารู้จักและไม่รู้จักส่วนใหญ่ตายอยู่บนกองเลือด
บริเวณตรงกลางของตำหนักสวรรค์ ลูกศิษย์นับสิบคนที่ถูกคุมตัวมือไขว้หลัง และบังคับให้คุกเข่าอยู่นั้น เมื่อเห็นเขาเดินออกมาต่างก็ตะโกนเสียงดังอย่างเป็นกังวล
ทว่ารองหัวหน้าเผ่าซือคง น่าหลานหลิงลั่วและคนอื่นๆ กลับมองเขาด้วยสายตาอันเย็นชา
เมื่อคนของพวกมันเห็นเขาเดินออกมาก็รีบเข้าล้อมรอบตัวเขาไว้ทันที
รองหัวหน้าเผ่าซือคงกล่าว “เหวินเส่าอี้ ออกมากเสียจนได้นะ”
“บอกจุดประสงค์หรือเงื่อนไขของเจ้ามา” เหวินเส่าอี้ในชุดสีขาวทั้งตัว หลังตรงราวกับไม้ไผ่สีเขียว และร่างกายของเขาก็ดูอบอุ่นเช่นเคย
เพียงแต่ว่าชุดสีขาวของเขาถูกย้อมด้วยสีแดงเลือดไปไม่น้อย มิรู้ว่าเป็นเลือดของเขาเองหรือเลือดของคนอื่น
สายตาของเขาก็มิได้เต็มไปด้วยความเป็นมิตรและใสซื่อเหมือนอดีต แต่กลับเป็นสายตาที่อบอุ่นปนความเย็นชาไว้
เผชิญหน้ากับรองหัวหน้าเผ่าซือคง เขามิอยากพูดไร้สาระอะไรกับเขาอีก
รองหัวหน้าเผ่าซือคงยิ้มเจ้าเล่ห์ “สิ่งที่ข้าต้องการนั้นง่ายนัก บอกทางเข้าเผ่าหยกและส่งไข่มุกมังกรทั้งเจ็ดลูกและหัวหน้าเผ่ามาซะ”
“เผ่าหยกมีทางเข้ามากมาย ทางที่ข้าเข้าไปนั้นถูกทำลายไปแล้ว ครั้งนั้นที่ออกมาได้ก็เพราะผู้อาวุโสสูงสุดอั้นเฮยได้ใช้พลังวิญญาณพาข้าออกมา และกลับเข้าไปไม่ได้อีก”
“ไข่มุกมังกรทั้งเจ็ดลูกยังอยู่ที่เผ่าหยก แต่อยู่ส่วนไหนในเผ่าหยกนั้น คงต้องวานให้รองหัวหน้าเผ่าไปเยี่ยมเผ่าหยกด้วยตนเองแล้วล่ะ”
“ส่วนเงื่อนไขที่สามนั้น ข้ามิให้ยอมรับได้”
ผู้อาวุโสสูงสุดตงหลิงกล่าว “ที่เจ้าพูดมาก็เท่ากับมิได้พูด”
ดวงตาของรองหัวหน้าเผ่าซือคงหรี่ลง “ความสัมพันธ์ของเจ้ากับกู้ชูหน่วนดีปานนั้น หากเจ้าไปขอไข่มุกมังกรหรือนำไข่มุกมังกรมาจากตัวนางนั้นคงมิยากหรอกกระมัง”
เหวินเส่าอี้หัวเราะเยาะ
ความสัมพันธ์กับกู้ชูหน่วนดีงั้นหรือ?
หากดีจริงๆ นางคงไม่สังหารครอบครัวและคนในเผ่าของเขาด้วยตนเองไปมากเพียงนั้นหรอก
ยิ่งไม่มีทางทำลายวรยุทธ์ของเขาและดึงกระดูกไหปลาร้าของเขาออกด้วย
เมื่อนึกถึงกู้ชูหน่วนแล้ว เหวินเส่าอี้ก็หายใจลำบากขึ้นทันที
เหวินเส่าอี้กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าทำไม่ได้”
“รองหัวหน้าเผ่า พูดพล่ำทำเพลงกับคนเช่นนี้ทำไมกัน ฆ่ามันทิ้งเสียดีกว่า”
“เงื่อนไข่ทั้งสามข้อเจ้าทำไม่ได้สักข้อเดียว เส่าอี้เอ๋ยเส่าอี้ เดิมทีข้ายังอยากให้โอกาสเจ้าทำภารกิจเพื่อไถ่โทษ แต่เจ้ากลับไม่ทำตาม เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายโหดเหี้ยมเลย เพราะเจ้าปลอมตัวเป็นนายน้อยก่อนและทรยศเผ่าเพลิงฟ้าตามหลัง ทหาร เก็บเหวินเส่าอี้ซะ”
“หากข้าตาย คนในตำหนักสวรรค์ทุกคนต้องตายตามข้า”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เหวินเส่าอี้เงยหน้ากะทันหัน มุมปากเผยรอยยิ้มอันเย็นชาออกมา
“รองหัวหน้าเผ่าคงรู้ดีว่าตำหนักสวรรค์เป็นสถานที่อันใดนะ? ตำหนักสวรรค์เป็นสถานที่ที่หัวหน้าเผ่าในอดีตต่างร่วมกับบูชาและสร้างขึ้นมา ทั้งยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดของเผ่าเพลิงฟ้าด้วย เจ้ารู้หรือไม่เพราะอะไร?”
สีหน้ารองหัวหน้าเผ่าซือคงแย่ลง
รู้สึกว่ามีนัยซ่อนอยู่ในคำพูดของเหวินเส่าอี้
เหวินเส่าอี้กวาดสายตามองทุกคนในเหตุการณ์ “เพราะสถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่สุดท้ายที่หัวหน้าเผ่าเพลิงฟ้าในอดีตและนายน้อยแห่งเผ่าเพลิงฟ้าได้พินาศไปพร้อมกัน”
ฝูงชนแตกตื่นและมีหลายคนกำลังพูดถึงเรื่องนี้
เหวินเส่าอี้ไม่สนใจสิ่งที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน และกล่าวต่อไปว่า “ที่นี่มีค่ายกลพิฆาตไร้เทียมทานที่หัวหน้าเผ่าในอดีตคอยเสริมความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่เปิดมันออก ทั่วทั้งตำหนักสวรรค์จะแหลกสลายเป็นผุยผง ไม่เหลือแม้แต่ซากในทันที”
“เจ้าโกหก ข้าเป็นถึงรองหัวหน้าเผ่า จะไม่รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน”
“รองหัวหน้าเผ่าอย่างไรก็เป็นรองอยู่ดี มิใช่หัวหน้าจริงๆ เสียหน่อย ความลับของเผ่าเพลิงฟ้าตั้งแต่อดีตชาตินั้น ยังมีอีกมากมายที่เจ้าไม่รู้ วันนี้ข้ามีเพียงเงื่อนไขเดียว ปล่อยตัวทุกคนซะ แล้วข้าจะยอมให้เจ้าจัดการ มิเช่นนั้นเราจักต้องพินาศไปพร้อมกัน”
ซือคงไม่เชื่อ
ตงหลิงเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน
พวกเขาคนหนึ่งเป็นรองหัวหน้าเผ่า อีกคนหนึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุด เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้ในสิ่งที่เหวินเส่าอี้รู้
มุมปากของเหวินเส่าอี้เผยรอยยิ้มอันโหดร้ายแต่ทำอะไรไม่ได้ออกมา เห็นเพียงเขาส่งสัญญาณมือเท่านั้น
ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็มีเสียงระเบิดตูมตามดังขึ้น พระตำหนักหลายตำหนักสลายไปในพริบตาเดียว
ผู้ที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ที่พระตำหนักเหล่านั้น ต่างก็แหลกสลายเป็นผุยผงไม่เหลือแม้เพียงกระดูก
สีหน้าผู้คนรอบๆ ผันเปลี่ยน
หรือว่าที่นี่จะมีค่ายกลพิฆาตไร้เทียมทานอยู่จริง?
ทว่าทิศตะวันตกเฉียงเหนือไกลออกไปเพียงนั้น เหตุใดถึง…
“ลืมบอกรองหัวหน้าเผ่าไป นอกจากตำหนักสวรรค์แล้ว บริเวณทุกที่ในเผ่าเพลิงฟ้าอันกว้างใหญ่นี้ล้วนมีจุดเปิดปิดที่สามารถควบคุมได้ เพียงแค่เปิดมัน ก็จะสลายไปในชั่วพริบตา หากเปิดมันทุกที่ ทั้งเผ่าเพลิงฟ้าก็จะสาบสูญไปจากโลกนี้ในทันที”
“เจ้าช่างกล้าพูดไม่อายคนเสียจริง”
“เจ้าลองดูได้”
เหวินเส่าอี้ปรบมือ จากนั้นก็มีหลายแห่งถล่มลงทันที จมดินกลายเป็นซากปรักหักพัง
ครั้งสองครั้งเป็นเรื่องบังเอิญ
ตึความบังเอิญจะเกิดขึ้นหลายครั้งเช่นนี้ได้อย่างไร
ผู้คนต่างตื่นตูมขึ้นมาในบัดดล มีบางคนอยากจะออกจากเผ่าเพลิงฟ้าโดยเร็ว เพราะวิธีพังพินาศร่วมกันเช่นนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
จากนั้นเสียงอันเย็นชาของเหวินเส่าอี้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“แม้นพวกเจ้าจะหนีออกจากเผ่าเพลิงฟ้าไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะพวกเจ้าทุกคนล้วนถูกประทับตราด้วยเหล็กไฟ ซึ่งเป็นวิชาเวทของเผ่าเพลิงฟ้า พวกเจ้าคงรู้ดีกว่าข้าสินะ”
ผู้อาวุโสหลินกล่าว “รองหัวหน้าเผ่า จะทำอย่างไรดีหากสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง?”