กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 76
เหล่าทูตจากรัฐฉู่ รัฐจ้าวและรัฐหวาต่างตกตะลึงเช่นกัน
บทกวีที่กู้ชูหน่วนแต่งขึ้นมาเป็นยิ่งกว่าบทกวีที่ดี
ทุกวรรคที่นางแต่งอาจกลายเป็นบทกวีที่มีชื่อเสียงไปตลอดกาล ต่อให้เป็นเซียนกวีก็ทำไม่ได้อย่างนี้ นางเป็นปุถุชนธรรมดาจริงหรือ?
“ยามบุปผาวสันต์ถึงแจ่มจันทร์สารท มีเรื่องราว ณ อดีตมากเพียงไหน ลมบูรพายามค่ำพัดเรือนไป มาตุภูมิหวนไห้มองแสงจันทร์ หอสลักด้วยหยกล้ำยังคงอยู่ เพ่งพิศดูรูปลักษณ์แปรเปลี่ยนผัน ถามความเศร้าอาสัญที่เกิดครัน ดุจนทีหลั่งไหลพลันเยือนบูรพา”
เจ๋ออ๋องปาดเหงื่อทุกครั้งเมื่อได้ยินแต่ละประโยค ตอนที่เพิ่งฟังขันทีอ่านบทกวีของนาง เขายังพยายามจะเค้นสมองเพื่อต่อสู้
แต่บทกวีที่ขันทีอ่านช่วงหลัง ทำให้เขารู้สึกเหมือนหัวใจกลายเป็นขี้เถ้า
มือของเขาอยากจะยกพู่กันขึ้นเขียนบทกวีต่อไป แต่เสียงอ่านบทกวีของนางแต่ละวรรคๆ ยังคงดังก้องอยู่ในใจ
บทกวีของกู้ชูหน่วนบดขยี้เขาจนแหลก ทำให้หัวสมองของเขาว่างเปล่า แม้แต่กวีบทเดียวก็ยังแต่งไม่ได้ ทำได้เพียงจ้องมองปากของขันทีที่หุบๆ อ้าๆ อย่างใจลอย
“ชีวิตคนเราเมื่อปิติยินดีควรสนุกให้เต็มที่ อย่าให้จอกทองว่างเปล่าคู่แสงจันทร์ สรวงสวรรค์สร้างข้ามาเพื่อประโยชน์ เงินทองหมดแล้วไซร้ของใหม่จะหวนคืน”
“พบพานแสนยากยามจากข้องเข็ญ ลมบูรพาอ่อนแรงมวลบุปผาโรยรา หนอนไหมสิ้นใจสายใยจึงสิ้นสูญ เปลวเทียนดับมอดน้ำตาจึงเหือดแห้ง”
พู่กันในมือของเยี่ยเฟิงดูเหมือนจะหนักหลายพันชั่ง เขาพยายามปัดบทกวีที่ขันทีอ่านออกไปจากหัวและทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นของตนเองสงบลง ทว่าทำอย่างไรใจของเขาก็ไม่สงบ ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคือภาพกู้ชูหน่วนที่กำลังสัปหงกพลางเขียนกลอนไปด้วย
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เขาไม่เคยดูถูกกู้ชูหน่วน แต่การแข่งครั้งนี้เขาเกรงว่าเขาจะต้องแพ้อีกครั้ง
ไม่ เขาต้องชนะ จะแพ้ไม่ได้
เขาไม่มีสิทธิ์พ่ายแพ้
เมื่อนึกถึงภาระหน้าที่บนบ่าของตน เยี่ยเฟิงจึงละทิ้งทุกอย่างและเขียนบทกวีต่อไป
ซั่งกวนฉู่และอี้เฉินเฟยมองกู้ชูหน่วนราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เวลาสั้นๆ เพียงวันเดียวนางทำให้พวกเขาประหลาดใจหลายต่อหลายครั้ง
แม่นางผู้นี้เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ล้ำค่าที่ขุดอย่างไรก็ขุดได้ไม่หมด
“อันมนุษย์มีสุขทุกข์แลพบพราก ดั่งดวงเดือนมีแสงมากมีแสงหม่น เป็นเช่นนี้เนิ่นนานมาแต่ดล หวังให้คนมีชีวิตที่ยืนยาว สุกสกาวพันลี้ร่วมชมจันทร์”
“พรวนดินยามแดดเปรี้ยงตอนเที่ยงวัน เหงื่อหยดพลันลงดินใต้รวงราว ใครจะรู้เมล็ดนวลบนจานข้าว คือเมล็ดขาวแห่งความยากลำเค็ญ”
“…..”
จักรพรรดิเยี่ยทรงอ้าพระโอษฐ์กว้าง กว้างพอที่ยัดไข่ลงไปได้ทั้งฟอง
เสี่ยวหลี่จืออดสบถในใจไม่ได้
คุณหนูสามตระกูลกู้ถูกผีเข้าสิงรึยังไง
ด้วยความสามารถของนาง นางจะสร้างบทกวีดีๆ มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร
เดิมทีฝ่าบาทคิดจะหยามหน้าเทพแห่งสงครามด้วยการทำให้คุณหนูสามอับอาย ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เทพแห่งสงครามอับอายไม่ได้ แต่ยังทำให้ทั้งสองคนโด่งดังไปทั่วหล้า เป็นแบบนี้แล้ว ฝ่าบาทจะไม่ทรงกริ้วจนตายหรอกหรือ
เสี่ยวหลี่จือรีบปลอบพระองค์ “ฝ่าบาท ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณหนูสามไปลอกบทกวีมาจากไหนหรือไม่ บ่าวคิดว่าควรจะยกบทกวีของนางขึ้นมาแสดงให้ดูนะพ่ะย่ะค่ะ ให้ทุกคนได้เห็นอักษรที่นางเขียน”
“จริงด้วย แขวนบทกวี”
สุรเสียงของจักรพรรดิเยี่ยสั่นเท่า
หากวันนี้กู้ชูหน่วนทำให้ผู้ชมประหลาดใจได้ พระองค์จะเสียหน้ามากเกินไป
ขันทีแขวนบทกวีที่นางเขียนตามกระแสรับสั่ง เผยออกมาต่อหน้าทุกคน
ทุกคนพากันชะเง้อมอง อยากเห็นว่าลายมือของนางน่าเกลียดเหมือนคำเล่าลือหรือเปล่า
แต่แล้วพวกเขาก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง
ตัวอักษรของกู้ชูหน่วนหนักแน่นและทรงพลัง พลิ้วเหมือนเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า หนักแน่นประหนึ่งมังกรผงาด ทุกรอยตวัดลื่นไหลเหมือนปุยเมฆและสายน้ำที่สรรค์สร้างได้อย่างง่ายดาย สง่าและผ่าเผย
ตัวอักษรแบบนี้แม้แต่อาจารย์จากสำนักศึกษาวังหลวงก็เกรงว่าจะเขียนไม่ได้
บางคนไม่เชื่อและเดินมาดูกู้ชูหน่วนเขียนใกล้ๆ ทว่าสิ่งที่เห็นคือกู้ชูหน่วนกำลังหลับตาและตวัดฝีแปรงอย่างไม่ใส่ใจ
นางหลับตาเขียน ทุกตัวอักษรทรงพลังและหนักแน่นประหนึ่งมังกร
ทึ่ง…
ทุกคนในที่แห่งนั้นตกใจ
กู้ชูหน่วนไม่ใช่หัวขี้เลื่อยเลยแม้แต่น้อย คู่ควรมากที่จะบอกว่านางคือผู้มีความสามารถที่สุดในใต้หล้า