กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 862
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 862
เหวินเส่าอี๋ใช้ความรู้สึกของเขาเพื่อสำรวจกากักวิญญาณ แต่พบว่ามันว่างเปล่าและไม่มีวิญญาณใด ๆ
“วิญญาณที่อยู่ข้างในเล่า?”
“ข้าปล่อยไปแล้ว”
“เจ้าปล่อยไปแล้ว?”
เสียงของเหวินเส่าอี๋เย็นเล็กน้อย เขาโกรธจนตัวสั่น และมีร่องรอยของความไม่พอใจและไอสังหาร
กู้ชูหน่วนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ชายผู้นี้เหมือนกันกับเยี่ยจิ่งหาน ยากที่จะคาดเดาได้
เป็นไปได้ไหมว่าวิญญาณที่อยู่ในกาขังวิญญาณจะรู้จักกันกับเขา?
“เจ้าก็ชอบผู้หญิงที่อยู่ในกาขังวิญญาณด้วยหรือ?” กู้ชูหน่วนถามด้วยความสงสัย
ใครจะรู้ว่าไอสังหารของเหวินเส่าอี๋มากขึ้น และเปล่งเสียงออกมาจากระหว่างฟัน
“ข้าแทบอยากจะหักกระดูกและถลกหนังของเจ้า ไม่ว่าทำไมเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ถึงยอมรับเจ้าเป็นนาย และไม่ว่าทำไมเยี่ยจิ่งหานถึงปล่อยเจ้าไป หรือเพียงเพราะความสัมพันธ์ของพวกเขากับเจ้า เจ้าก็สมควรตาย แต่หากเจ้ายอมมอบขวานผานกู่ออกมา หรือมอบวงแหวนอวกาศให้ข้า บางทีข้าอาจจะให้เจ้าตายง่ายขึ้น”
หมอกอันเย็นยะเยือกพัดผ่าน กู้ชูหน่วนหนาวจนตัวสั่น
กู้ชูหน่วนรู้สึกว่ากระดูกของนางสึกถูกกัดกร่อนจากน้ำแข็งที่แตกร้าว และเจ็บปวดมากจนนางเหงื่อตก
ความเจ็บปวดนี้เทียบได้กับการเฉือนเนื้อ และเจ็บปวดยิ่งกว่าการเฉือนเนื้อเป็นพันเท่า
“แกรก ๆ……”
แม้ว่าจะคลุมเครือ แต่นางก็ยังคงสัมผัสได้ถึงกระดูกของตัวเองแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
นางพยายามจะดิ้น แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรง จึงทำได้เพียงกัดฟันและอดทนต่อความเจ็บปวด
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา (15 นาที) กู้ชูหน่วนก็ยังคงกัดฟันอย่างอดทน
ใบหน้าของนางดูเจ็บปวดอย่างมาก แต่นางไม่ยอมที่จะส่งเสียงออกมา แม้ว่าร่างกายของนางจะสั่นสะท้านไม่หยุด
เหวินเส่าอี๋รู้สึกประหลาดใจ
ในสายตาของเขา หญิงผู้นี้ดูกลัวตายเป็นอย่างมาก
โทษเยือกแข็งเป็นวิธีการทรมานที่มีชื่อเสียงของเผ่าเพลิงฟ้า และไม่มีใครสามารถอดทนได้จนถึงเวลาหนึ่งถ้วยชามาก่อน แต่นางกลับสามารถทนได้ และไม่ส่งเสียงใด ๆ
จิตใจที่แน่วแน่และยืนหยัดเช่นนี้ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก
“หากเจ้าไม่ขอความเมตตา กระดูกของเจ้าก็จะถูกสึกกร่อนไปเรื่อย ๆ และในที่สุดก็จะต้องตายอย่างเจ็บปวดทรมาน”
“เลิก……เลิกคิด……ต่อให้ต้องตายข้าก็จะไม่ยอมให้วงแหวนอวกาศให้กับเจ้า……แหวน……”
กู้ชูหน่วนพยายามที่จะพูด แต่เสียงของนางสั่นตลอดเวลา แม้ว่าจะพูดจบประโยคแล้ว แต่เสียงของนางก็เบามาก หากไม่ตั้งใจฟังก็จะไม่ได้ยิน
“เพื่อวงแหวนอวกาศเพียงวงเดียว ทำให้ตัวเองทุกทรมานเช่นนี้ มันคุ้มค่าแล้วหรือ?”
“ข้าคิดว่าคุ้ม……ก็……ก็พอแล้ว……”
ผมและเสื้อผ้าของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ สีหน้าของกู้ชูหน่วนซีดขาวราวกับกระดาษ และกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด แต่นางก็ยังไม่ยอมที่จะส่งเสียง และกลับหลับตาลงอย่างทนต่อความเจ็บปวด
ปลายนิ้วของเหวินเส่าอี๋สั่นเล็กน้อย
โทษเยือกแข็งนั้นโหดเหี้ยมมากเกินไป
เมื่อก่อนเผ่าเพลิงฟ้าใช้วิธีนี้เพื่อจัดการกับศัตรู เขาไม่เห็นด้วยและต้องการที่จะยกเลิก
ไม่คิดเลยว่าวันนี้เขาต้องมาใช้วิธีนี้กับผู้หญิงอ่อนแอ
เมื่อมองดูแววตาที่แข็งกร้าวของนางอีกครั้ง เขาก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
อีกทั้งยังมีลังเลใจ
กู้ชูหน่วนชักกระตุกไม่หยุด เหงื่อเปียกชุ่มเสื้อผ้า นางหายใจรวยริน และพลังชีวิตของนางก็ค่อย ๆ ลดลง
นางไม่แม้แต่จะร้องขอความเมตตา และยังส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา
ไม่รู้ว่าเจ็บปวดมากเกินไปหรือไม่ กู้ชูหน่วนหมดสติไป
หมอกน้ำแข็งของเหวินเส่าอี๋หายไปอย่างไม่รู้ตัว เหลือเพียงเสียงถอนหายใจอันแผ่วเบา
เขาค่อย ๆ เดินเขาไปแล้วนั่งลงยอง ๆ จากนั้นก็ฉีกเสื้อผ้าของกู้ชูหน่วนออก และเห็นว่าร่างของนางมีบาดแผลอยู่ทุกหนทุกแห่ง
บาดแผลมากมายขนาดนี้ นางได้รับบาดเจ็บจากตอนที่อยู่ในหุบเขาสัตว์เทพหรือ?
แม้ว่าจะใส่ยาแล้ว แต่บาดแผลมากมายขนาดนี้ นึกไม่ออกเลยว่าตอนนั้นนางเจ็บปวดมากแค่ไหน และมีชีวิตรอดมาได้อย่างไร
ไอสังหารค่อย ๆ หายไป เหวินเส่าอี๋ก็อุ้มนางออกมาจากห้องลับ
วันรุ่งขึ้นกู้ชูหน่วนถูกปลุกให้ตื่นด้วยความเจ็บปวด นางเจ็บปวดในกระดูก และทั้งตัวยังคงสั่นสะท้าน
เมื่อลืมตาขึ้นมา นางก็เห็นบ้านไม้ไผ่
การตกแต่งที่นี่ค่อนข้างเรียบง่าย มีเก้าอี้ไม้ไผ่เพียงไม่กี่ตัว โต๊ะเหลี่ยมหนึ่งตัว ผนังด้านซ้ายมีชั้นหนังสือและมีหนังสือโบราณวางอยู่หลายเล่ม
ผนังทางด้านขวามีภาพวาดและการประดิษฐ์ตัวอักษรหลายชิ้นที่แขวนอยู่ บ้านทั้งหลังดูสง่างามและมีการสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม
มีเสียงฉินดังขึ้นข้างนอกบ้านไม้ไผ่
เสียงฉินอันไพเราะนั้นเปรียบได้กับเสียงของสวรรค์ แต่มีความโศกเศร้าอยู่ในเสียงฉินด้วย ทำให้ผู้คนที่ได้ฟังอดไม่ได้ที่จะจมอยู่ในความโศกเศร้า
เมื่อกู้ชูหน่วนมองออกไป นางก็เห็นแต่ชายชุดขาวนั่งอยู่บนพื้น และบรรเลงเลงด้วยนิ้วมือที่เรียวยาว
ลมพัดผ่าน ทำให้ใบไผ่ส่งเสียงกรอบแกรบ และยังปลิวผ่านใบหน้าของชายชุดขาว อย่างกับคนในภาพวาด งดงามเกินกว่าจะบรรยายได้
กู้ชูหน่วนกุมบาดแผลและเดินออกจากข้างนอก จากนั้นก็หยุดห่างจากชายชุดขาวสองเมตร และฟังเสียงฉินของเขาอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเสียงบรรเลงฉินจบแล้ว
กู้ชูหน่วนก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะรู้สึกตัว
นางกล่าวว่า “เจ้าเป็นคนอ่อนโยนและอบอุ่น ไม่น่าจะมีความโศกเศร้าในใจมากนัก และไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นว่าโหดเหี้ยม”
มือที่จับฉินหิมะของเหวินเส่าอี๋สั่นเทา
เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “เดิมทีข้าก็เป็นคนที่ไร้ความปรานี”
“ไม่ว่าอะไรก็สามารถโกหกได้ ยกเว้นเสียงฉินและแววตาเมื่อครู่ แม้ว่าเจ้าจะเก็บซ่อนแววตาเป็นอย่างดี แต่เสียงฉินของเจ้าเผยให้เห็นทุกสิ่ง”
เหวินเส่าอี๋เงียบไม่พูดไม่จา
หญิงผู้นี้พบกับเขาเพียงไม่กี่ครั้ง แต่นางสามารถอ่านความสุขและความเศร้าโศกผ่านเสียงฉินของเขาได้
กู้ชูหน่วนกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น……เมื่อวานเจ้าต้องการฆ่าข้าไม่ใช่หรือ?แต่วันนี้ข้าก็ยังคงอยู่ที่นี่”
เหวินเส่าอี๋แบกฉินหิมะไว้บนหลังของเขาและเดินไปที่กู้ชูหน่วน กลิ่นอายบนร่างกายของเขายังคงเย็นชาและน่ากลัวเหมือนอย่างเมื่อวาน
กู้ชูหน่วนซ่อนวงแหวนอวกาศไว้ในมือและกล่าวเตือน
ข้าบอกแล้วว่าหากต้องการวงแหวนอวกาศ ก็ต้องให้ข้าตายเสียก่อน”
“หากข้าต้องการจะฆ่าเจ้า ง่ายยิ่งกว่าการฆ่ามดเสียอีก”
“แต่เจ้าก็ไม่ได้ฆ่าข้าไม่ใช่หรือ?เหตุผลที่เจ้าไม่ได้ฆ่าข้า มีเพียงสองอย่างเท่านั้น อย่างแรกคือเจ้าทำไม่ลง อย่างที่สองคือข้ายังมีประโยชน์ ข้าเดาว่า……เมื่อวานที่เจ้ายังไม่ได้ฆ่าข้า เป็นเพราะสองเหตุผลนี้”
กู้ชูหน่วนลูบคางและกลอกตาไปมา
“หากให้ข้าเดาว่าทำไมเจ้าถึงปล่อยข้า เป็นเพราะเจ้าไม่เชื่อว่าข้าไม่รู้ว่าขวานผานกู่อยู่ที่ไหน หรืออาจเป็นเพราะเจ้าต้องการใช้ข้าเพื่อจัดการเยี่ยจิ่งหาน”
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ากับเยี่ยจิ่งหานมีความแค้นอะไรกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าแน่ใจคือเยี่ยจิ่งหานเป็นคนที่จิตใจคับแคบ ข้าถอดเสื้อผ้าของเขา เขาจะปล่อยฉันไปง่าย ๆ ได้อย่างไร”
“อืม……” เสียงต่ำของเหวินเส่าอี๋ดังขึ้น ทันใดนั้นไอสังหารก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งป่าไผ่
กู้ชูหน่วนรีบเปลี่ยนเรื่องในทันที “ฟังจากเสียงฉินของเจ้าแล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าเป็นคนที่แบ่งแยกบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน และเป็นคนตรงไปตรงมา ดังนั้นเจ้าจะไม่ใช้ข้าเพื่อจัดการกับเยี่ยจิ่งหาน”
“เจ้าเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ข้าคิดไปคิดมาแล้ว ต่อไปข้าคงต้องเกาะขาของเจ้าไว้”