กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 870
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 870
“ตระกูลมู่ของพวกเจ้าตั้งใจแน่วแน่ที่จะช่วยเหลือนางหรือ?” ผู้นำตระกูลไป๋หลี่กล่าวข่มขู่
กู้ชูหน่วนคิดว่าตระกูลมู่ที่คิดคำนวณอย่างละเอียดจะไม่ช่วยเหลือนาง ผู้นำรองกับผู้นำสามก็ยิ่งจะไม่ช่วยนาง
คิดไม่ถึงว่า……
ไม่เพียงแต่ผู้นำตระกูลมู่จะยืนอยู่ข้างนาง ผู้นำรองกับผู้นำสามก็ยืนอยู่ที่นางนั้นเป็นเรื่องไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ผู้นำรองกล่าวว่า “แม้ว่าอาหน่วนจะมีนิสัยแปลกประหลาดอยู่บ้างแต่จิตใจของนางไม่ได้เลวร้ายจึงไม่มีทางที่จะเป็นนางมารได้”
ผู้นำสำนักไฮ่เทียนกล่าวว่า “นางเป็นของตระกูลมู่ของพวกเจ้าแน่นอนว่าพวกเจ้าต้องพูดเข้าข้างนาง ตามความคิดของข้าไม่ใช่แค่นางแม้แต่ทั้งจวนมู่ก็อาจเป็นนางมารทั้งสิ้น”
ผู้นำสามโกรธราวกับฟ้าผ่า “เจ้าสิเป็นมาร พวกเจ้าทั้งตระกูลเป็นมารทั้งสิ้น”
“ผู้นำตระกูลไป๋หลี่ท่านเห็นแล้วสินะเพียงแค่จวนมู่จะกล้าดีสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเขาไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด ข้าร้องขอให้ตรวจสอบจวนมู่
“สอบสวนอันใดกัน ยอมสังหารพลาดเป็นพันก็ไไม่ยอมปล่อยหนึ่งคนไป ฆ่าเลยโดยตรงก็พอแล้ว”
“ฆ่าพวกเขาซะ ฆ่าพวกเขาซะ……”
ในที่นั้นเสียงดังราวระฆังกังวาล
ตระกูลมู่และคนอื่นๆวิตกกังวลและต่างก็มองดูผู้นำตระกูลมู่
“ท่านพ่อ ตอนนี้ควรทำอย่างไร?”
“พวกท่านกลัวว่านางจะทำให้พวกท่านเดือดร้อนมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? เหตุใดครั้งนี้ถึงได้กล้าพูดแทนนางได้หล่ะ?”
“พวกเรากลัวว่างนางจะทำให้พวกเราเดือดร้อนจริงๆ แต่ว่า……อย่างน้อยเมื่อก่อนนางก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตมาก่อน ครั้งนี้หากว่าพวกเราไม่ช่วยนางนางก็จะถูกฆ่าได้”
“หากว่าวันนี้พวกเราช่วยนาง จวนมู่ก็จะตกเป็นเป้าโจมตีของผู้คนนะ”
“แล้วจะทำเช่นไรหล่ะ? หรือว่าพวกเราจะไม่ช่วยนางหรือ?”
มู่ซินกล่าวด้วยความกังวลว่า “ท่านพ่อ ท่านทอดทิ้งอาหน่วนไม่ได้นะ ถึงแม้ว่าอาหน่วนจะไม่สามารถควบคุมสัตว์ร้ายได้แต่นางก็เป็นหลานสาวของท่านนะ”
ผู้นำตระกูลมู่ขมวดคิ้ว
เหตุใดเขาถึงไม่อยากจะปกป้องนางเอาไว้
เพียงแต่ว่าปกป้องนางไว้ได้แล้วก็อาจจะปกป้องทั้งตระกูลมู่ไว้ไม่ได้
เขาเป็นผู้นำตระกูลมู่จึงไม่สามารถเสี่ยงอันตรายนี้ได้
กู้ชูหน่วนมองทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขาเอาไว้ในสายตา
นางสามารถเข้าใจผู้นำตระกูลมู่ได้ เช่นไรชีวิตมากมายของตระกูลมู่นั้นก็อยู่ในกำมือของเขา
กู้ชูหน่วนเดินออกมาอย่างตรงไปตรงมาพร้อมกล่าวกับผู้นำตระกูลไป๋หลี่ว่า “ผู้ที่พวกท่านต้องการสังหารคือข้าซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลหนิงและตระกูลมู่ บัญชีของเราพวกเราชำระกันเอง”
หนิงเทียนโย่วยืนอยู่พร้อมกันกับนางและเดินเคียงข้างกันโดยที่ไม่ได้เกรงกลัวต่อสงครามทั่วทั้งใต้หล้า แล้วกล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “มู่หน่วนเป็นสหายของข้า เรื่องของนางก็เป็นเรื่องของข้า สิ่งที่ข้ากระทำในวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหนิง เป็นการกระทำส่วนตนของข้าเอง”
“ทั่วทั้งดินแดนวิญญาณเยือกแข็งต้องการชีวิตของข้า เจ้าไม่กลัวเอาชีวิตมาทิ้งหรือ”
“มีสิ่งใดน่ากลัว ใครใช้ให้ข้าโชคร้ายเป็นสหายกับเจ้า”
กู้ชูหน่วนยิ้มโดยที่ในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
หลินซือหย่วนครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานานและในที่สุดก็ลุกออกมาและเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับกู้ชูหน่วน
เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “เช่นไรพวกเราทั้งสองก็สูงส่งมาก่อนไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล วันนี้ข้าจะเป็นและตายพร้อมกับพวกเจ้า”
หยางโม่ขมวดคิ้วด้วยใจที่รู้สึกขัดขืน
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินซือหย่วนและหนิงเทียนโย่วก็อดกำหมัดเอาไว้แน่นไม่ได้ และก็อยากจะลุกยืนขึ้น
หยางมั่นดึงเขาเอาไว้
“เจ้าจะบ้าหรือ หรือว่าเจ้าดูไม่ออกว่าตระกูลไป๋หลี่และแต่ละกองกำลังใหญ่ดินแดนวิญญาณเยือกแข็งต้องการทำลายล้างนางเพื่อหลีกเลี่ยงวิชาชั่วร้ายเป็นภัยต่อใต้หล้า”
“นางมิใช่คนเช่นนั้นและไป๋หลี่เจิ้นก็ลงมือก่อน”
“พวกเขาจะสนใจหรือว่าผู้ใดจะลงมือก่อน? พวกเขารู้เพียงแค่มู่หน่วนมีวิชาชั่วร้ายและไม่ได้ใช้เพื่อพวกเขา”
หยางโม่จะไม่เข้าใจในคำถามนี้ได้อย่างไร เพียงแค่……
ตรงกลางสนามท่านผู้เฒ่าหนิงลูบเคราแล้วหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “เจ้าหลานชายที่ดี มีความกล้าหาญ ปู่จะบอกเจ้าว่าการตัดสินใจของเจ้าก็คือการตัดสินใจของตระกูลหนิง ก็ไม่ใช่เป็นศัตรูของทั่วทั้งใต้หล้ามีสิ่งใดน่าหวาดกลัวกัน ตระกูลหนิงของพวกเราก็จะอยู่ด้วยจนถึงท้ายที่สุด”
กู้ชูหน่วนบอกว่าไม่ประทับใจเป็นเรื่องเท็จ
เพียงแต่ว่า……
นางไม่ทำให้ผู้คนจำนวนมากเช่นนั้นลำบากไปด้วยได้
“ความหวังดีของผู้นำตระกูลหนิงมู่หน่วนรับด้วยใจแล้ว แต่ว่าข้ามู่หน่วนกระทำการเพียงลำพังผู้เดียวมาโดยตลอดโดยที่ไม่ชอบติดหนี้บุญคุณของคนอื่นและไม่สามารถปีนป่ายสู่ตระกูลหนิงได้ เรื่องนี้ก็ไม่ลำบากตระกูลหนิงลงมือแล้ว”
คำพูดทั้งหมดของนางเป็นคำพูดห่างเหินแต่ท่านผู้เฒ่าหนิงและคนอื่นๆเข้าใจดีว่านางไม่ต้องการทำให้พวกเขาลำบากไปด้วย เช่นไรครานี้เป็นผู้คนทั่วทั้งใต้หล้ามุ่งเป้ามาที่นางด้วยกัน
ไม่ว่าตระกูลหนิงจะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีร่วมกันของผู้คนจำนวนมากมายเช่นนั้นได้
ท่านผู้เฒ่าหนิงปรากฏรอยยิ้มตรงมุมปากขึ้นมา ยิ่งมองกู้ชูหน่วนก็ยิ่งถูกใจมากขึ้นเท่านั้น
หนิงเทียนโย่วกล่าวว่า “ไม่มีตระกูลหนิงช่วยเหลือ วันนี้เจ้าจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่”
“ตายก็ตายแล้ว อย่างมากอีกสิบแปดปีให้หลังเกิดใหม่แล้วข้าค่อยแต่งงานกับเจ้า”
“เจ้า……”
กู้ชูหน่วนขึ้นเสียง “ข้าเป็นเพียงแค่ระดับสามเท่านั้น พวกเจ้าใช้ทั้งตระกูลฆ่าสังหารข้าแพร่งพรายออกไปก็ช่างไม่น่าฟังนัก ไม่เช่นนั้นเอาอย่างนี้พวกเราเดิมพันกัน พวกเจ้าตระกูลไป๋หลี่ให้คนออกมาต่อสู้ตามแต่ใจ ชนะสองครั้งในสามรอบ หากพวกเจ้าชนะข้าจะตัดหัวลงมามอบให้พวกเจ้าเอง หากว่าข้าชนะพวกเจ้าแพ้ก็ปล่อยข้าไป และอย่าได้สร้างความลำบากใจให้ตระกูลของข้า เป็นเช่นไร?”
เจ้าสำนักไฮ่เทียนกล่าวว่า “ถุย เจ้ามันนางปีศาจสาวผู้หนึ่ง ถึงแม้ว่าพวกเราจะฆ่าล้างเจ้าด้วยกันแล้วจะเป็นเช่นไร? นี่พวกเรากำลังจัดการแทนสวรรค์”
“ใช่ นี่พวกเรากำลังขอความยุติธรรมแทนสวรรค์ สังหารเลยโดยตรงไปเลย”
ไป๋หลี่ป้ามองดูตระกูลซั่งกวนแล้วก็มองดูตระกูลเหวิน ท้ายที่สุดก็หันสายตาไปทางตระกูลหนิง
ทั้งตระกูลซั่งกวนและตระกูลเหวินไม่ได้แสดงสิ่งใดออกมามากมายนัก
ตระกูลซั่งกวนยังดีแต่ตระกูลเหวินนั้นเขาดูไม่ออกว่ายืนอยู่ข้างไหนกันแน่
แม้ว่าผู้นำตะกูลเหวินจะเยาว์วัยทว่าไม่แน่วแน่ในเกียรติและความหยามเหยียด คำพูดก็ช่างน้อยนัก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังมองภูมิหลังและความคิดที่แท้จริงของชายหนุ่มผู้นี้ไม่ออก
ส่วนตระกูลหนิง……
ตระกูลหนิงยืนข้างมู่หน่วนด้วยใจแน่วแน่
สังหารมู่หน่วนผู้หนึ่งเป็นเรื่องเล็ก หากว่าเปิดศึกกับตระกูลหนิงเลยโดยตรงก็จะไม่เป็นการทำให้ตระกูลซั่งกวนและตระกูลเหวินได้เปรียบหรือ
ภายใต้ความเหมาะสมไป๋หลี่ป้ากล่าวว่า “ก็ทำตามที่เจ้ากล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงหาว่าตระกูลไป๋หลี่ของพวกเรารังแกหญิงผู้หนึ่ง”
กู้ชูหน่วนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ก็เป็นผู้นำตระกูลไป๋หลี่ที่รู้กฎเกณฑ์และรู้ก้าวรู้ถอย”
ไป๋หลี่เฉิงกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดจาอยู่กับผู้ใด?”
“พวกเจ้าจะฆ่าข้าแล้วข้ายังจะต้องเคารพพวกเจ้าด้วยหรือ? ไม่ใช่ว่าในสมองเข้าเจ้าเป็นรูหรอกนะ”
“เจ้า……ช่างเถอะ ข้าเกียจคร้านเกินกว่าจะถือสาผู้ที่ได้ตายไปแล้วผู้หนึ่ง”
“ยังไม่ได้ต่อสู้กันเลยนะ พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะต้องพ่ายแพ้เป็นแน่”
“ค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศ จัดแถว” ไป๋หลี่เฉิงคร้านที่จะพูดจาไร้สาระกับนางจึงได้กล่าวโดยตรง
เมื่อเขากล่าวจบทั่วทั้งท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยฝนบุปผา จากนั้นก็ตามด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ ต่อมาก็ตามด้วยหญิงสาวสิบแปดคนตกลงมาจากท้องฟ้าและค่ายกลที่ไม่รู้ชื่อได้ล้อมรอบกู้ชูหน่วนเอาไว้
ผู้คนในฝูงชนไม่รู้ว่าผู้ใดอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “ค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศ นั่นไม่ใช่หนึ่งในค่ายกลไร้เทียมทานของตระกูลไป๋หลี่หรอกหรือ?”
“ก็ไม่ใช่หรือ ตอนนั้นตระกูลไป๋หลี่ก็อาศัยค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศถึงตั้งหลักได้มั่นคงอยู่ในดินแดนวิญญาณเยือกแข็ง ได้ยินมาว่าเพียงแค่ถูกขังอยู่ในค่ายกลก็ไม่มีผู้ใดที่สามารถหลบหนีไปได้ แม้แต่ยอดฝีมือขั้นสูงสุดระดับสี่หรือแม้กระทั่งระดับห้าก็ไม่แน่ว่าจะสามารถทลายได้นะ”
“คราวนี้มู่หน่วนตายแน่ ข้ากล้าพนันเลยว่านางไม่สามารถเอาชนะสามรอบในค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศได้เป็นแน่”
เมื่อเห็นว่าหนิงเทียนโย่วไม่สามารถเกลี้ยกล่อมกู้ชูหน่วนได้ก็รีบวิ่งไปข้างกายท่านผู้เฒ่าหนิงและกล่าวด้วยความกังวลว่า “ท่านปู่ ตระกูลไป๋หลี่ช่างไร้ยางอายยิ่งนักถึงได้ใช้ค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศ จะทำอย่างไรดี? หรือว่าพวกเราจะยื่นมือช่วยเหลือเลยโดยตรง”
“เจ้าเด็กคนนี้ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก นางกล้าทำสัญญาเดิมพันหรือบางทียังพอมีโอกาสอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้น……”
“ตระกูลไป๋หลี่จะปล่อยนางไปง่ายๆได้อย่างไร ท่านปู่หากว่าติดอยู่ในค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศก็จะสายไปเสียแล้ว พวกเรา……”
“รีบร้อนอันใดรอดูเดี๋ยว หากว่าตระกูลหนิงลงมือวันนี้ก็คงต้องเลือดไหลเป็นแม่น้ำเป็นแน่ สามารถลดจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตลงได้ก็ลดผู้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตลง เจ้าต้องเชื่อใจเจ้าเด็กผู้นี้”
หนิงเทียนโย่ว “……”
เชื่อกับผีสิ
พวกเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะฆ่านางแล้วจะปล่อยไปได้อย่างไร
หากว่าทำได้คงจะไม่ลงมือใช้ค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศโดยตรงแล้วหล่ะ