กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 876
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 876
ผู้นำตระกูลไป๋หลี่ไม่ต้องการทำให้เยี่ยจิ่งหานไม่พอใจ
แต่คำพูดของเยี่ยจิ่งหานทำให้เขาเสียหน้า
ใบหน้าของเขาแดงก่ำและไม่น่ามองมากนัก
เมื่อเห็นว่าตระกูลไป๋หลี่ระงับความโกรธไว้ และเห็นว่าพวกเขามีอำนาจมาก ผู้นำสำนักฉางซาจึงรวบรวมความกล้าและพูดยุยง “จะกลัวอะไร ไม่ว่าวรยุทธ์ของเขาจะเก่งกาจแค่ไหน พวกเรามีมากมายจะไม่สามารถเอาชนะเขาได้อย่างไร?ทุกคนไปด้วยกัน ไปร่วมกันฆ่าคนผู้นั้น”
“ฆ่า……”
ผู้คนหลายสิบคนพากันชูมีดขึ้นมาเพื่อจะไปฆ่าเยี่ยจิ่งหาน
ริมฝีปากบาง ๆ ของเยี่ยจิ่งหานยกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาอันลึกล้ำของเขาเต็มไปด้วยการดูถูก และไม่เห็นว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างไร พวกคนที่มาฆ่าเหล่านั้นหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ละคนได้รับบาดเจ็บสาหัสและกระอักเลือด บางคนก็สลบอยู่ตรงนั้น และไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
ฮ้า……
ผู้คนที่อยู่ที่นั่นอ้าปากค้างอีกครั้ง
ผู้นำสำนักไฮ่เทียนสะบัดแขนเสื้อ และทำให้ผู้คนตกตะลึง
ครั้งนี้เขาไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย แต่ทำให้ผู้คนบาดเจ็บสาหัสนับร้อย และยิ่งอกสั่นขวัญหาย พวกเขานึกไม่ออกเลยว่าพลังของชายหนุ่มผู้นี้น่ากลัวเพียงใด
ซั่งกวนชิงลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน สีหน้าของเขาดูไม่น่ามองมากนัก “ผู้นำตระกูล ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใคร หรือว่าเขาเป็นแขกลึกลับที่ตระกูลไป๋หลี่เชิญมา?”
ผู้นำตระกูลซั่งกวนตะลึงงัน ราวกับว่าไม่สะทกสะท้าน แต่หากมองดี ๆ จะเห็นได้ว่าเขากำมือทั้งสองไว้แน่นและตัวสั่น
เป็นใคร?
เขาก็อยากรู้ว่าเป็นใคร?
“แต่ในเมื่อเขาเป็นแขกที่ตระกูลไป๋หลี่เชิญมา เหตุใดเขาต้องช่วยหญิงผู้นั้น?”
ไม่มีใครตอบคำถามของซั่งกวนชิง
เพราะในใจของพวกเขาก็สงสัยเช่นกัน
การปรากฏตัวของเขาทำลายสมดุลของรัฐปิง และไม่มีใครรู้ว่าเขาจะทำอะไร
บนที่นั่งของตระกูลเหวิน
เมื่อผู้อาวุโสหลิวเห็นเยี่ยจิ่งหาน ไอสังหารก็ฉายผ่านแววตาของเขา
“ท่านผู้นำตระกูล ต้องจับตัวเยี่ยจิ่งหานหรือไม่?”
“จะรีบร้อนอะไร การแสดงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น”
“แต่……”
“ไม่ต้องห่วง ที่นี่ไม่ใช่รัฐเยี่ย เขาหนีไม่พ้นหรอก”
“ขอรับ แล้วแต่มันท่านผู้นำตระกูลจะเห็นสมควร”
ผู้นำตระกูลไป๋หลี่พูดกับเยี่ยจิ่งหานว่า “คุณชายเยี่ย ท่านจะเห็นแก่หน้าของข้าได้หรือไม่ หญิงผู้นี้……”
“ไม่ได้ หากวันนี้ใครกล้าแตะต้องนาง ข้าก็จะฆ่าคนผู้นั้น”
เยี่ยจิ่งหานโบกมือ ชิงเฟิงเข้าใจทันที และค่อย ๆ เข็นรถเข็นออกไป
เจี้ยงเสวี่ยเข้าใจดี เขาช่วยประคองกู้ชูหน่วนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเดินตามไป
เมื่อผู้คนที่รายล้อมเห็นเยี่ยจิ่งหาน พวกเขาก็พากันถอยออกไป และไม่กล้าขัดขวาง อย่างไรก็ตามเพียงแค่เขาสะบัดแขนเสื้อก็สามารถปลิดชีพของพวกเขาได้แล้ว
จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะไม่ขัดขวาง
ในบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งสี่ ตระกูลเหวิน ตระกูลซั่งกวน และตระกูลไป๋หลี่ ล้วนแต่ไม่กล้าออกหน้า แล้วพวกเขาจะกล้าออกหน้าได้อย่างไร
แม้ว่าจะนึกเสียดายดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ และกลัวว่าต่อไปกู้ชูหน่วนอาจจะแก้แค้น แต่เนื่องจากเป็นสำนักใหญ่ที่ไม่ได้เข้าร่วมกับทั้งสี่ตระกูลใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างสนาม พวกเขาจึงไม่ได้เก่อเรื่อง
ดังนั้น……
จึงทำได้เพียงมองดูชายหนุ่มพาผู้นั้นพาตัวกู้ชูหน่วนออกไป
“ท่านผู้นำตระกูล พวกเราจะปล่อนางไปเช่นนี้หรือ?” ซั่งงกวนชิงไม่เห็นด้วย
“ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ระดับหก หากทำให้เขาขุ่นเคือง แล้วเขามาแก้แค้นตระกูลซั่งกวนของเรา เกรงว่าตระกูลซั่งกวนจะถูกเขาทำลายอย่างแน่นอน”
“แต่นี่มันน่าอึดอัดใจมากเกินไป”
“สายตาของเขาจับจ้องไปที่ตระกูลเหวินตลอดเวลา เจ้าส่งคนไปตรวจสอบตระกูลเหวิน โดยเฉพาะพลังที่แท้จริงของผู้นำตระกูลเหวิน”
“ต่อให้เขาเป็นผู้นำตระกูลแล้วอย่างไร อายุน้อยขนาดนั้นจะข่มขู่อะไรได้”
“เขาไม่เหมือนคนอายุน้อยทั่วไป แต่พลังของเขาบรรลุระดับหกแล้ว”
ซั่งกวนชิงตกตะลึง ดูเหมือนเขาจะตระหนักว่าผู้นำตระกูลเหวินนั้นไม่ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงรีบออกคำสั่งให้ไปตรวจสอบตัวตนของเหวินเส่าอี๋
กู้ชูหน่วนฟื้นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด
เมื่อฟื้นขึ้นมา นางก็อยู่ในบ้านไม้แถวชานเมืองของเมืองหลวงแล้ว
เยี่ยจิ่งหานนั่งอยู่บนรถเข็นข้างเตียง เขามองดูนางด้วยแววตาที่ซับซ้อน และเห็นว่านางฟื้นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่เยือกเย็น
ฉากก่อนที่จะสลบไปผุดขึ้นมาในหัวของนาง
นางถูกสำนักใหญ่เหล่านั้นร่วมกันโจมตี และเยี่ยจิ่งหานก็ปรากฏตัวขึ้นในช่วงยามคับขัน และพาตัวนางมา แต่เป็นเพราะนางได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงสลบไป
นางขยับตัวเล็กน้อย และอ้าปากค้างด้วยความเจ็บปวด
เยี่ยจิ่งหานกล่าวว่า “เจ้าบาดเจ็บสาหัส หากไม่อยากตายก็อย่าขยับ”
กู้ชูหน่วนมองก้มลงมอง และเห็นว่าบาดแผลทั้งเล็กและใหญ่บนร่างกายของนางได้รับการรักษาเป็นอย่างดี นางถูกพันแผลไว้แน่นราวกับมัมมี่
“เจ้าช่วยข้า เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกโจมตีจากทุกสำนักในโลกนี้หรือ?”
“ข้าเยี่ยจิ่งหาน ไม่เคยรู้จักคำว่าหวาดกลัว”
“เพื่อที่จะรวบรวมวิญญาณ ข้าไม่สนใจใด ๆ ทั้งสิ้น”
“ข้านึกออกแล้ว”
สีหน้าของเยี่ยจิ่งหานดูเศร้าหมอง และจ้องไปที่วงแหวนอวกาศในมือของนางด้วยความงุนงง
กู้ชูหน่วนเหลือบมองเยี่ยจิ่งหาน จากนั้นก็เหลือบมองวงแหวนอวกาศในมือ และเอามือที่สวมวงแหวนอวกาศไปซ่อน
“แหวนวงนี้ให้ข้าได้หรือไม่?หรือไม่ก็ให้ข้าดูหน่อยว่าในวงแหวนอวกาศมีขลุ่ยและขนมเปี๊ยะดอกไม้หรือไม่?”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ให้เจ้า แต่ข้าเปิดวงแหวนอวกาศดูแล้ว และไม่มีของสองสิ่งนั้นอยู่ข้างในเลย”
ราวกับกลัวว่าเยี่ยจิ่งหานจะไม่เชื่อ กู้ชูหน่วนจึงเปิดวงแหวนอวกาศ และทุกอย่างที่อยู่ข้างในก็ถูกเหวินเส่าอี๋ปล้นไปเกือบหมดแล้ว
แต่สิ่งที่สามารถยืนยันได้ก็คือไม่มีขลุ่ยและขนมเปี๊ยะดอกไม้
นางก็ไม่รู้ว่าทำไม่ในตอนแรกของสองสิ่งนี้ถึงปรากฏอยู่ในวงแหวนอวกาศ?
บางทีมันอาจจะถูกเจ้าของเดิมผนึกไว้?
เยี่ยจิ่งหานหรี่ตาลง
ขลุ่ยและขนมเปี๊ยะดอกไม้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่อี้เฉินเฟยทิ้งไว้ให้นางก่อนตาย และนั่นเป็นสิ่งที่รัก นางจะปิดผนึกได้อย่างไร?
เป็นเรื่องน่าขันที่เขากับนางเป็นสามีภรรยากัน แต่นางไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้เขาเลย และเขาก็ไม่เคยให้อะไรนางเลย จนกระทั่งตอนนี้แม้แต่ความคิดถึงก็ไม่มี
“เจ้าพักฟื้นให้ดี ๆ เถอะ”
กู้ชูหน่วนยินดีที่จะพักฟื้นที่นี่
มีเยี่ยจิ่งหานคอยปกป้อง สำนักเหล่านั้นคงจะไม่ทำอะไรนาง
สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ภายใต้การดูแลอย่างพิถีพิถันของเยี่ยจิ่งหาน ทำให้อาการบาดเจ็บของกู้ชูหน่วนดีขึ้นมาก
สิบวันผ่านไปอย่างสงบสุข ทั้งสองต่างคนต่างทำเรื่องของตนเอง
ในวันที่สิบ เยี่ยจิ่งหานเป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงอย่างโศกเศร้า
กู้ชูหน่วนรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้นก็แสงหนึ่งเข้ามาใกล้ และฟังเสียงบรรเลงของเยี่ยจิ่งหานอย่างเงียบ ๆ
ทันใดนั้น……
จุดแสงสว่างไม่เข้าไปที่หน้าผากของกู้ชูหน่วน
ร่างกายของกู้ชูหน่วนสั่นเทา และเขาลูบหน้าผากของตัวเองอย่างงุนงง
เกิดอะไรขึ้น?
มีวิญญาณอีกดวงหนึ่งหนีเข้าไปในร่างของนาง และใช้ร่างกายของนางเป็นที่พักอาศัย?
กู้ชูหน่วนตกตะลึง
เยี่ยจิ่งหานเบิกตากว้าง ประหลาดใจ ทั้งประหลาดใจ ดีใจ และหวาดกลัว
เขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่
วิญญาณของอาหน่วนมาด้วยตนเอง และ…..มาหาหญิงผู้นี้อีกแล้ว…..
เขาตามหามานานหลายปี แต่ไม่พบร่องรอยวิญญาณของอาหน่วนเลย
และในตอนนี้ หญิงผู้นี้มีวิญญาณของอาหน่วนอยู่สามดวงแล้ว
หัวใจที่แตกสลายในตอนแรกกลับมาคึกคัก และเยี่ยจิ่งหานก็มีความหวังอีกครั้ง
รวบรวมวิญญาณอีกเพียงแค่ไม่กี่ดวง อาหน่วน……ก็จะฟื้นคืนชีพได้แล้วใช่หรือไม่?
กู้ชูหน่วนแบมือออก “เจ้าอย่าถามข้า ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมนางมาหาข้า เป็นเพราะถูกเสียงขลุ่ยของเจ้าดึงดูดหรือไม่?”
เยี่ยจิ่งอานก็ไม่รู้เช่นกัน
สามปีที่ผ่านมา เขาเป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงมานับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีร่องรอยของอาหน่วน
ทำไมวันนี้……
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เยี่ยจิ่งหานหยิบขลุ่ยหยกขาวขึ้นมาและเป่าอีกครั้ง