กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 90
ในใจของฮูหยินใหญ่เต้นระทึก
นางสะสางบัญชีกับอู่อี๋เหนียงเสร็จแล้ว ก็จะมาสะสางบัญชีกับตนต่อใช่หรือไม่
ฮูหยินใหญ่กลอกตาไปทางมามา*ที่คอยจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ภายในจวนแวบหนึ่ง และกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ตำลึงของคุณหนูสาม เหตุใดนางถึงบอกว่ายังไม่ได้รับ? พวกเจ้าละโมบใช่หรือไม่?”
“ฮูหยินโปรดตรวจสอบด้วย ต่อให้หม่อมฉันจะกล้าหาญเพียงใด แต่หม่อมฉันก็ไม่กล้ายักยอกตำลึงของคุณหนูสามหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้หม่อมฉันจะตรวจสอบอย่างละเอียด”
“ไป๋มามาต้องตรวจสอบอย่างละเอียดนะเจ้าคะ ถึงอย่างไรบัดนี้ข้าก็เป็นถึงว่าที่พระชายาในอนาคตของหานอ๋องเทพแห่งสงคราม หากถูกหานอ๋องรู้ว่าพระชายาของเขามีชีวิตที่อนาถา เกรงว่าเขาคงไม่ยินดี”
“เจ้าค่ะๆ”
ในจวนไม่มีใครแสดงสีหน้าดีเลยสักคน
นี่ยังไม่ได้เป็นพระชายาหานอ๋อง ก็เริ่มวางตนเป็นพระชายาหานอ๋องแล้ว ใคร ๆต่างก็รู้ว่าชะตาชีวิตของหานอ๋องจะอยู่ได้อีกไม่นาน ดูสิว่านางจะยังอวดเก่งได้อย่างไร
กู้ชูหน่วนกวาดสายตามองไปยังทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ และลั่นสาบานอย่างดุดัน “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากใครกล้ารังแกชิวเอ๋อ ก็เท่ากับรังแกข้า แม้ว่าข้าจะมีฐานะต้อยต่ำในจวน แต่ข้าคิดว่าแค่สถานะบุตรีขององค์หญิงจาวหลิง การปรารถนาอยากให้ใครบางคนต้องตายก็ยังพอมีอำนาจอยู่บ้าง”
ทุกคนตื่นตกใจจนสะท้านไปทั้งตัว
ฮูหยินใหญ่กระตุกยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้มาจากใจจริง “คุณหนูสามช่างน่าขบขัน ต่อไปในจวนใครเล่าจะกล้ารังแกเจ้า แค่เจ้าบอกข้า ข้าก็สนับสนุนเจ้าเต็มที่”
“ขอบพระทัยฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ แต่บัดนี้ได้โปรดฮูหยินใหญ่ช่วยคืนตำลึงเงินที่ถูกยักยอกจนแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวก่อนหน้านั้นมาให้ข้าก่อนเถอะ หลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนกล่าวหาว่าฮูหยินใหญ่กดขี่ข่มเหงบุตรีขององค์หญิงจาวหลิง ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่กัดฟันแน่น
หญิงสาวผู้นี้ แต่ละคำล้วนข่มขู่นางอย่างชัดเจน
เพราะฮ่องเต้พระราชทานยกนางให้แก่หานอ๋องเทพแห่งสงครามใช่หรือไม่?
ไม่สิ เป็นไปไม่ได้
บางทีพวกนางอาจจะถูกกู้ชูหน่วนหลอกลวงก็ได้ นางที่กำลังอวดเก่งและเย่อหยิ่งตรงหน้า ถึงจะนางตัวจริงต่างหาก
ฮูหยินใหญ่จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “แน่นอน”
“เช่นนั้นชูหน่วนขอบพระทัยฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ จริงสิ ฮูหยินใหญ่จัดรถม้าไปส่งข้ายังสำนักศึกษาในวังสักคันด้วยนะเจ้าคะ”
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว ไป๋มามา จัดรถม้าหนึ่งคันให้คุณหนูสามด้วย หลีกเลี่ยงไม่ให้มีใครครหาว่าจวนเสนาบดีนั้นอนาถา”
“เจ้าค่ะ…”
กู้ชูหน่วนกวาดตามองไปยังทุกคนที่แสดงสีหน้าหลากหลายด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนจะจากไปพลางผิวปากอย่างหยิ่งผยอง
ชิวเอ๋อรีบตามไปอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของนางแดงก่ำ ในใจซาบซึ้งจนกล่าวไม่ออก มีแต่ประโยคนั้นของกู้ชูหน่วนวนวเวียนอยู่เต็มสมอง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากใครกล้ารังแกชิวเอ๋อ ก็เท่ากับรังแกข้าด้วย
นางเป็นเพียงแค่สาวใช้ตัวเล็กคนหนึ่ง จะมีค่าให้คุณหนูมาปกป้องได้อย่างไร
ระหว่างทางกลับวัง ชิงเอ๋อคอยดึงกู้ชูหน่วนไปยังสำนักศึกษาตลอดทาง ใบหน้าของนางร้อนใจจนไม่อาจปกปิดได้ นางกล่าวขึ้นอย่างร้อนใจ “คุณหนูช่วยเร่งฝีเท้าหน่อยสิเจ้าค่ะ เราไปสายมากแล้ว หากเหล่าท่านอาจารย์โทสะขึ้นมาจะทำอย่างไรละเจ้าคะ?”
“จะรีบอะไรนักหนา ถึงอย่างไรก็สายแล้ว สายอีกนิดคงไม่ถือสาหรอก”
ชิวเอ๋อขุ่นเคือง
ผู้อื่นระดมสมองแทบตายเพื่อจะได้เข้าไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาวังหลวง แต่คุณหนูของนางกลับเมินเฉย เดิมทีก็สายมากแล้ว ยังจะเอ้อระเหยชื่นชมสมุนไพรในร้านขายยาอีก ยิ่งถ่วงเวลากันเข้าไปใหญ่
“คุณหนู หากคุณหนูยังไม่รีบไปอีก ชิวเอ๋อจะโกรธแล้วนะเจ้าคะ”
“หาว ด้านหน้าก็เป็นสำนักศึกษาแล้ว”
กู้ชูหน่วนส่งเสียงหาวออกมาหนึ่งครั้ง และถือตำราสองสามเล่มเดินเข้าสำนักศึกษาอย่างเชื่องช้า
เหล่าองครักษ์ขวางทางไว้ “ผู้มาเยือนคือใครขอรับ?”
“คุณหนูสามแห่งจวนเสนาบดี ได้รับคำสั่งให้เข้าเรียนที่แห่งนี้” เรียนกับผีนะสิ ชาติที่แล้วก็เรียนมาครึ่งชีวิตแล้ว ชาตินี้ยังต้องเรียนอีก
“นี่มันกี่ยามแล้ว เหตุใดถึงเพิ่งมา รีบเข้าไปเร็ว”
ชิวเอ๋อเองก็รีบเดินตามเข้าไป องครักษ์กลับขวางนางไว้ “บ่าวรับใช้ของลูกหลานเชื้อพระวงศ์ทุกคนต้องเฝ้าอยู่ด้านนอก ไม่มีคำสั่งห้ามเข้าไปเด็ดขาด”
องครักษ์ชี้ไปยังสถานที่ที่ไกลออกไป ด้านนั้นมีบ่าวรับใช้จำนวนเจ็ดแปดคนกระจัดกระจายอยู่
ชิวเอ๋อเป็นกังวล
คุณหนูมาสายถึงเพียงนี้ นางกลัวว่าคุณหนูจะถูกลงโทษ
กู้ชูหน่วนส่งสายตานิ่งสงบไปทางนาง “วางใจเถอะ ไม่มีใครทำอะไรคุณหนูของเจ้าได้หรอก เจ้าเองก็ดูแลตัวเองดี ๆนะ ครั้นข้าออกมา อย่าให้ข้าเห็นว่าเจ้าร้องไห้ตามข้านะ”
ชิวเอ๋อหลุดหัวเราะ และเฝ้ามองไปยังแผ่นหลังที่ไกลออกไปของนางไม่ยอมละสายตา
กู้ชูหน่วนเดินเข้าไปในสำนักศึกษาอย่างช้าๆ ชื่นชมบรรยากาศของสำนักศึกษารอบหนึ่ง จึงเข้าไปภายในห้องโถงสำนักศึกษา
เมื่อเข้าไป สายตาของทุกคนก็ค่อย ๆ กวาดมาทางนาง
กู้ชูหน่วนโบกมือไปมา “ไฮ สวัสดีอาจารย์ สวัสดีสหายทุกคน ข้าชื่อกู้ชูหน่วน”
ท่านอาจารย์เป็นอาวุโสอายุราวหกสิบปีผู้หนึ่ง ครั้นเขาเห็นกู้ชูหน่วน หนังสือที่อยู่ในมือก็กระแทกลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงปัง และกล่าวตำหนิว่า “กู้ชูหน่วน วันแรกของการเข้าเรียน เจ้ากล้ามาสาย ใครช่างให้เจ้ากล้าหาญได้ถึงเพียงนี้? เคยเห็นสำนักศึกษาอยู่ในสายตาของเจ้าบ้างหรือไม่? เห็นแก่หน้าฮ่องเต้บ้างหรือไม่”
ข้าจำได้ขึ้นใจ ไม่กล้าหลงลืม ลั่นสาบานว่าจะตั้งใจร่ำเรียน พัฒนาในทุกวัน จะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง
“ดังนั้นข้าจึงอาบน้ำพรมเครื่องหอม ระหว่างทางที่ผ่าน ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าเล็กใหญ่ล้วนคุกเข่าคำนับสามครั้ง เข้าไปกราบไหว้ทั้งสิ้น ประกอบกับลักษณะวังหลวงที่ไม่คุ้นตา จึงได้มาสายไปมากโข แต่อาจารย์เจ้าคะ ท่านต้องเชื่อข้านะ ข้าตื่นนอนลุกขึ้นมาเตรียมตัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ท่านดูสิ ตำราเหล่านี้ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าตระเตรียมเอง”
ในขณะที่กู้ชูหน่วนกล่าวนั้น ก็ได้กวาดมองพิจารณาคนที่อยู่ในสำนักศึกษารอบหนึ่ง
ในห้องโถงสำนักศึกษาแห่งนี้มีนักเรียนยี่สิบกว่าคน ในจำนวนนั้นมีกู้ชูอวิ๋น กู้ชูหลาน เซี่ยวอวี่เซวียน เจ๋ออ๋องเป็นต้น คนอื่น ๆ นางไม่รู้จักสักคนเดียว
นางยิ้มอย่างเย็นชา สายตาหยุดชะงักตรงหน้าเจ๋ออ๋องหลายครั้ง
เมื่อวานยังป่วยเป็นโรคร้ายกะทันหัน คงมีชะตาชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน วันนี้ยังมาเรียนได้อีกหรือ?
แม้แต่หน้าก็ยังไม่ยอมเสีย เชื่อมั่นตนเองเกินไป เชื่อมั่นตนเองเกินไปจริง ๆ
คำพูดของกู้ชูหน่วนคล้ายปืนใหญ่ที่กล่าวออกไปเสียงดัง ทำให้ทุกคนในสำนักศึกษาพากันงุนงง
อาจารย์คิดสรรหาคำมาทำให้นางลำบากใจ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะจบลงเช่นนี้
ใครบอกว่าคุณหนูสามแห่งจวนเสนาบดีขี้ขลาดราวกับหนู อ่อนแอยอมให้ถูกรังแกกัน?
ออกมาเดี๋ยวนี้ เขาสัญญาว่าจะไม่ตีจนตาย
ท่านอาจารย์กำลังจะกล่าว กู้ชูหน่วนเหมือนนักเรียนที่เชื่อฟัง ยอมรับความผิดตน จึงกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ท่านอาจารย์ ข้าสัญญาว่าต่อไปจะไม่มาสายอีก ได้โปรดท่านให้โอกาสนักเรียนที่อยากแก้ตัวใหม่ด้วยเถอะ”
อาจารย์เกือบสำลักเลยทีเดียว
เขากล่าวเพียงประโยคเดียว แต่นางกลับสาดคำพูดจนเกือบหงาย แต่ละถ้อยคำเขาไม่อาจโต้แย้ง หากต้องลงโทษนาง เช่นนั้นไม่เป็นการดูถูกนางหรอกหรือ?
“เหลวไหล อาจารย์ กู้ชูหน่วนกล่าวโป้ปด นางนอนลืม จึงได้มาสาย”
กู้ชูหน่วนมองไปตามเสียง กลับเห็นว่าคนที่กล่าวก็คือกู้ชูหลาน
นางหรี่ตาทั้งสองข้างลง และถามกลับ “อ่อ…แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้านอนลืม? หากข้าจำไม่ผิด เจ้าเหมือนจะมาเรียนเป็นเพื่อนข้า หากข้านอนลืมจริง ในฐานะที่เจ้ามาเรียนเป็นเพื่อนข้า เหตุใดถึงไม่รับผิดชอบปลุกข้าละ?”
มามา* คือข้าหลวงอาวุโส เทียบเท่ากับแม่นมในวังหลวง