กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 904
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 904
“แล้วจะเป็นตอนไหนกัน?”
“ให้เวลาข้าหน่อยเถิด เมื่อถึงยามต้องการข้าจะเรียกหาพวกเจ้าเอง”
กระทิงไฟเก้าเขากระทืบเท้าอย่างมีสัจจะ “ข้าว่าพวกเราพุ่งชนเลยดีกว่า จะกลัวพวกมันไปทำไม ไอ้สารเลวพวกนั้นฝึกปรมาจารย์เลี้ยงดูสัตว์ร้ายมากมายเพียงนั้น หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าจับพวกของเราไปมากเพียงใดแล้ว พวกเราแทบอยากจะฆ่าพวกมันก่อนแล้วกิน แล้วค่อยกินก่อนแล้วฆ่า”
อีกาตัวหนึ่งที่ตัวดำไปทั้งตัวเหยียดปากอย่างไม่ปิดบัง “เจ้ากระทิงไฟเก้าเขา เจ้าจะด่าคนก็ด่าไป อย่าเอากลุ่มนกอย่างพวกข้าเข้าไปยุ่งด้วย หากในกลุ่มนกของข้ามีใครคนหนึ่งที่ขี้ขลาดล่ะก็ พวกข้าก็คือพวกขี้ขลาดหัวหดเช่นเต่าแล้ว”
“ฮักๆๆ…”
เต่าพันปีสองตัววิ่งมาอย่างเร่งรีบ และส่งเสียงอย่างไม่ปิดบัง “เป็นใครที่ด่าพวกข้าอีก พูดดีๆ ไม่ได้เลยหรือ”
กู้ชูหน่วนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและมองไปที่เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์และเจ้าเสือน้อย
“พวกเจ้าไปหากำลังเสริมมากมายเพียงนี้มาจากไหนกัน?”
เจ้าเสือน้อยลูบกรงเล็บแล้วตอบด้วยท่าทางยิ้มแย้มว่า “พวกข้าเพียงแค่ส่งเสียงอัญเชิญออกไปหนเดียว เหล่าสหายก็มาช่วยอย่างสมัครใจแล้ว”
กู้ชูหน่วนกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์และเจ้าเสือน้อยเก่งกาจมากก็จริง
แต่ลำพังแค่ส่งเสียงอัญเชิญก็ทำให้อสุรกายทุกตัวเข้ามาช่วยเหลืออย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นไปไม่ได้แน่ๆ
น่าจะเป็นเพราะคนของตระกูลไป๋หลี่ทำเรื่องชั่วร้ายสุดเกินจะทน พวกเขาทนแล้วทนอีก บัดนี้เพราะได้รับคำเชิญจากสัตว์เทพโบราณทั้งสอง พวกเขาจึงได้ตกใจเข้าร่วมอย่างเต็มใจ และวางแผนจะทำลายทั้งตระกูลไป๋หลี่ให้สิ้นซาก ออกโรงเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาจับไปในอนาคต
เมื่อมองเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อีกครั้งก็เห็นว่ามันกำลังจ้องหมูป่าตัวหนึ่งตาเป็นมัน น้ำลายก็ไหลตลอดเวลา
กู้ชูหน่วนหมดคำจะพูด
เจ้างูเห็นแก่กิน เชิญให้หมูป่ามาช่วยเหลือด้วยยังอยากจะกินเขาอีก?
ไม่เห็นหรือว่าหมูป่าตัวนั้นกำลังตัวสั่นระริกอยู่น่ะ
กู้ชูหน่วนตบกระบาลเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไปทีหนึ่งเป็นการบอกว่าให้เขาเก็บน้ำลายของตนเองซะ
นางกอดอกพูด “มู่หน่วนขอบใจที่เหล่าสหายเต็มใจเข้ามาช่วยเหลือ ตระกูลไป๋หลี่นั้นเราต้องทำการถอนรากถอนโคนให้จงได้ ทว่า…เราต้องค่อยๆ ปรึกษาหารือกันให้ดีเสียก่อน เพื่อลดความผิดพลาดและความเสียหาย”
เต่าพันปีตอบ “ข้าเห็นด้วยกับแม่นางมู่ ตระกูลไป๋หลี่มีปรมาจารย์เลี้ยงดูสัตว์ร้ายมากมาย หากพวกเราพุ่งชนไปเลยทันทีจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่ อีกอย่างมีความเป็นไปได้ที่จะปล่อยให้ตาเฒ่าของตระกูลไป๋หลี่นั่นหนีไปโดยยังมีชีวิตได้ พวกเราฟังคำของแม่นางมู่ดีกว่า รอสาร์นจากนาง”
แม้นเหล่าอสุรกายจะร้อนใจนัก
ก็รู้ดีว่ามีเพียงค่อยๆ ปรึกษาหารือกันเท่านั้น
เพราะปรามาจารย์เลี้ยงดูสัตว์ร้ายของตระกูลไป๋หลี่มีมากมายเหลือเกิน อะไรก็ไม่กลัว กลัวแต่ปรมาจารย์เลี้ยงดูสัตว์ร้าย
ปรมาจารย์เลี้ยงดูสัตว์ร้ายเกิดมาเพื่อควบคุมพวกเขาจริงๆ
“ก็ได้ เช่นนั้นพวกเราจะฟังคำของแม่นางมู่ สองสามวันนี้พวกเราจะไปเชิญสหายมาอีก คอยหากำลังเสริมมาเพิ่มให้ได้มากที่สุดและรอคำสั่งจากแม่นางมู่”
เช่นนี้ทั้งกลุ่มใหญ่ถึงได้แยกย้ายกันไปได้ เหลือเพียงเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์และเจ้าเสือน้อยที่ซุกซนอยู่ในอ้อมกอดของกู้ชูหน่วนให้พวกเขาอิจฉากันเล่นๆ
กู้ชูหน่วนจับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ขึ้นแล้วถามว่า “คนที่แอบตามข้ามาจากทางไกลกำจัดทิ้งแล้วหรือไม่?”
“วางใจเถิด พวกเขาไม่ได้ยินสิ่งที่เราคุยกันหรอก และไม่รู้ด้วยว่านายท่านอัญเชิญอสุรกายมาเข้าพบมากมายเพียงนี้ ข้ากำจัดพวกมันทิ้งตั้งนานแล้ว”
“คงไม่ได้ลงมือโจ่งแจ้งเกินไปใช่หรือไม่”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ลงมือเสียอย่างต้องเชื่อมือได้อยู่แล้ว”
ใช่หรอกหรือ?
แล้วทำไมนางถึงรู้สึกว่าเจ้างูเห็นแก่กินตัวนี้ถึงได้ไม่ได้เรื่องเลยล่ะ?
แม้นจะไม่ค่อยเชื่อเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์นัก แต่นางรู้ดีว่าคนที่แอบตามนางมาพวกนั้นไม่ได้ยินในสิ่งที่พวกเขาคุยกันแน่นอน
“ข้ามอบหมายภารกิจให้เจ้าหนึ่งเรื่อง ข้ามีสหายสองคนที่ถูกจับตัวไว้ที่พระราชวังของจักรพรรดินี วรยุทธ์ของพวกเขาถูกปิดผนึกไว้ ทั้งยังต้องวิชาอาคม ข้าจำเป็นต้องหาตัวคนใช้อาคมนั่นให้พบ”
“สหายของนายท่านมีนามว่าอะไร ข้าจะสั่งการให้เหล่างูน้อยไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้”
“ชื่อฝูกวงกับลั่วอิ่ง”
“ฮะ…”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์แทบจะล้มทั้งยืน จ้องมองกู้ชูหน่วนอย่างไม่น่าเชื่อ
“ทำไม? พวกเจ้ารู้จักงั้นหรือ?”
“ไม่…ไม่รู้จักขอรับ เพียงแต่ชื่อไพเราะเท่านั้น นายท่าน เหตุใดเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จึงไม่รู้ว่านายท่านมีสหายเพิ่มขึ้นอีกสองคนล่ะ? ท่านสนิทกับพวกเขามากเลยหรือ?”
“พบกันเพียงหนเดียวเท่านั้น เจ้าคิดว่าสนิทหรือไม่ล่ะ?”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
หากเป็นแต่ก่อน เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์คงหาข้อแลกเปลี่ยนและขอเนื้อย่างจากนางแล้ว
แต่ครั้งนี้มันยอมง่ายเหลือเกิน
กู้ชูหน่วนมือท้าวคางและสับสนอยู่ในใจ
“นายท่านแล้วข้าล่ะ? จะให้ข้าทำอะไร? ข้าคอยติดตามท่านได้หรือไม่?”
“เจ้าช่วยส่งจดหมายไปให้คนของเยี่ยจิ่งหานที บอกพวกเขาว่าเยี่ยจิ่งหานถูกคุมตัวไว้ที่พระราชวัง และมีอันตรายได้ทุกเมื่อ จากนั้นก็คอยควบคุมอสุรกายเหล่านั้นไว้ที”
“ก็ได้…”
“จำไว้ ห้ามโลภเด็ดขาด หากพวกเขาเต็มใจช่วยก็ช่วย หากไม่เต็มใจก็อย่าไปบังคับ เพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงได้เมื่อถึงเวลา”
“รับทราบขอรับ นายท่านแล้วท่านอยู่ที่พระราชวังเพียงลำพังจะมีอันตรายหรือไม่ขอรับ”
“เจ้าวางใจเถิด ตอนนี้ยังไม่มีอันตราย”
กู้ชูหน่วนมองไปทางพระราชวังด้วยแววตาอันลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก
ผ่านไปนานพอควรนางถึงได่นั่งขัดสมาธิลง และหยิบยาห้ามเลือดออกจากแหวนเก็บสะสมเล็กน้อย พลางห้ามเลือดพลางรักษาบาดแผล
ระดับสาม…
ดูดกลืนพลังของไป๋หลี่เฉิงแล้วก็ยังอยู่ที่ระดับสามขั้นต้น แม้แต่ระดับสามขั้นกลางยังขึ้นไปไม่ได้เลย
ตระกูลไป๋หลี่มียอดฝีมือมากมาย หนึ่งในนั้นก็มีไป๋หลี่ป้าที่อยู่ระดับห้าขั้นสูงสุดแล้ว
หากต้องการถอนรากถอนโคนพวกมัน จำเป็นต้องเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตนโดยเร็ว
และจำเป็นต้องควบคุมเผ่าตระกูลทั้งสามให้ได้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถไปช่วยเหลือตระกูลไป๋หลี่ได้อีก
ใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น กู้ชูหน่วนเก็บพลังของตน ร่างกายที่เจ็บหนักถึงได้เพลาลงได้ แต่ก็ยังคงเจ็บจนนางต้องขมวดคิ้วปม
นางเดินทางไปยังร้ายยาของหมอจินตามที่ขันทีบอก
หมอจินไม่มีญาติมิตรสหายใดๆ มีเพียงลูกศิษย์คนหนึ่งเท่านั้น เพื่อศักดิ์ศรีของตนแล้ว นางจึงได้สั่งเสียลูกศิษย์คนนั้น แล้วกลับพระราชวังไป
เมื่อถึงพระราชวัง
กู้ชูหน่วนก็ถูกเรียกตัวไปยังหอดาบเพื่อรักษาเยี่ยจิ่งหาน
เยี่ยจิ่งหานยังคงคงสภาพเดิมไว้ ถูกตรึงด้วยโซ่เหล็กพันปีในท่างกางแขนกางขา
กู้ชูหน่วนหาทั่วห้องแต่ก็ไม่พบกุญแจที่ปลดโซ่เหล็กพันปีของเขาออกได้
“เจ้าบาดเจ็บอีกแล้วหรือ?”
หญิงสาวคนนี้ ตั้งแต่ที่เขารู้จักนางมาไม่มีวันไหนเลยที่นางจะไม่บาดเจ็บ
“เยี่ยจิ่งหาน เรามาทำข้อตกลงกันเถอะ”
“ข้อตกลงอะไร?”
“หากข้ารักษาอาการของเจ้าหาย เจ้าต้องช่วยให้ข้าเลื่อนระดับสู่ระดับถึงระดับห้าให้ได้ภายในหนึ่งเดือน และ…ขณะที่ข้าสู้กับตระกูลไป๋หลี่ เจ้าต้องช่วยควบคุมอีกสามตระกูลไม่ให้พวกเขาลงมือช่วยตระกูลไป๋หลี่ได้”
เยี่ยจิ่งหานหัวเราะเยาะ “การรักษาอาการของข้าตอนนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าแต่แรก ส่วนเรื่องเลื่อนระดับจากระดับสามขั้นต้นไปสู่ระดับห้าภายในหนึ่งเดือนนั้น เกรงว่าเจ้าคงจะฝันอยู่สินะ”
กู้ชูหน่วนนอนตะแคงอยู่บนแท่นและกอดอดพูดอย่างเกียจคล้านว่า “การรักษาเจ้าเป็นหน้าที่ของข้าจริง แต่อาการแบ่งเป็นหนักและเบา บางทีก็สามารถรักษาให้หายได้ภายในสิบวัน บางทีก็สิบปี บางทีใช้เวลาทั้งชีวิตก็รักษาไม่หาย ล้วนเป็นไปได้หมด”
“แต่จักรพรรดินี…จึ๊ๆๆ…ได้ยินมาว่าพระองค์อดไม่ได้ที่จะอุปถัมภ์เจ้าแล้ว เจ้าคิดว่าจักพรรดินีสามารถรอเจ้าได้สิบปีหรือตลอดชีวิตกันล่ะ?”
ความหมายของนางคือ หากเยี่ยจิ่งหานไม่ร่วมมือกับนางแต่โดยดี
นางจะไม่รักษาเขาให้หายโดยง่ายแน่
หากรักษาเขาไม่หาย เขาก็จะไม่สามารถต่อต้านจักรพรรดินีได้
และผลลัพธ์ของการต่อต้านจักรพรรดินีไม่ได้นั้นก็คือกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของจักรพรรดินีซะ
เยี่ยจิ่งหานจ้องมองกู้ชูหน่วนอย่างกริ้วโกรธ
กู้ชูหน่วนจึงหัวเราะออกมาเบาๆ และยื่นข้อเสนอชวนล่อใจออกมาหนึ่งข้อ
“อีกอย่าง…ข้าอาจจะรักษาขาทั้งสองของเจ้าให้เจ้าเดินได้อีกครั้งก็เป็นได้ ”
เยี่ยจิ่งหานตาเป็นประกาย
รักษาขาทั้งสองข้างของเขาให้หายงั้นหรือ?
เป็นไปได้หรือ?