กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 905
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 905
ในโลกนี้นอกจากอาหน่วนแล้วไม่มีผู้ใดที่สามารถรักษาขาของเขาได้
“ข้าต้องเชื่อเจ้าด้วยเหตุอันใด?”
“เจ้าก็เชื่อได้เพียงข้าเท่านั้น ไม่ใช่หรือ?”
เยี่ยจิ่งหานหรี่ดวงตาคู่อันตรายของเขาพร้อมกับพิจารณาคำพูดของกู้ชูหน่วน
อาการบาดเจ็บของเขารสาหัสเกินไป อาศัยเพียงแค่การเคลื่อนกำลังนั้นไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของตนให้ฟื้นคืนมาได้ ยิ่งกว่านั้นจุดปราณในร่างกายของเขาได้ถูกผนึกเอาไว้จึงไม่สามารถใช้กำลังภายในใดๆได้เลยแม้แต่น้อย
ที่นี่คือวังหลวงของรัฐปิงซึ่งมีทหารยามคุ้มกันอย่างแน่นหนา
จักรพรรดินีแห่งรัฐปิงดูราวกับว่าวรยุทธ์ธรรมดาทั่วไป แต่รัศมีนั้นช่างน่าหวาดกลัวนิ่งนัก
พละกำลังเช่นนี้มิใช่เพียงเพราะว่านางเป็นจักรพรรดินีผู้สูงส่งเท่านั้น
เขาอยู่ในร่างกายของนางไม่ได้รู้สึกถึงความสูงศักดิ์
มีเพียงความโกรธและความโหดเหี้ยมที่แว๊บผ่านเป็นครั้งคราว
ถูกจับเข้าวังเป็นเวลาหลายวันเขากลับไม่สามารถตรวจสอบความแข็งแกร่งที่แท้จริงของจักรพรรดินีได้ ลูกน้องของเขาจนถึงตอนนี้ก็ยังตามมาไม่ได้ ดังเช่นนี้สามารถเห็นได้ว่าจักรพรรดินีช่างไม่ธรรมดาเลย
กุญแจโซ่ตรวนเหล็กพันปีอยู่ในพระหัตถ์ของจักรพรรดินี ต้องการได้กุญแจมาในตอนนี้ทำได้เพียงอาศัยมู่หน่วน
นางพอมีวิชาแพทย์อยู่บ้าง บางทีอาจจะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บและขาได้จริงๆ
งดใช้งานมานานเกินไป
ความปรารถนาที่จะฟื้นฟูขาของเขาเช่นนั้น คาดหวังสุดเกินคำบรรยายใดๆมาเปรียบเทียบได้
เยี่ยจิ่งหานมองไปยังกู้ชูหน่วนจากนั้นก็ถามแต่ละคำแต่ละประโยคว่า “ระยะเวลานานเท่าใด?”
“รักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดของเจ้าจะต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ หากว่าเจ้าฟื้นตัวได้ดีอาจจะหายได้ในเวลาครึ่งเดือนก็เป็นได้ สำหรับขา……อย่างน้อยก็จะต้องใช้เวลาสองเดือนขึ้นไป”
“นานเกินไป ลงลงอีกหน่อย”
“นี่เร็วที่สุดแล้ว อาการบาดเจ็บทั่วร่างของเจ้านี้สามารถรักษาให้หายภายในหนึ่งเดือนก็ไม่เลวแล้ว”
“เซี่ยวอวี่เซวียนได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนั้น เจ้าก็ไม่ใช่ว่าจะรักษาเขาให้หายภายในเวลาอันสั้นหรอกหรือ?”
“นั่นเป็นเพราะมีดอกบัวศักดิ์สิทธิ์หลากสีและดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสีอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้”
“งั้นเจ้าก็ไปหาของล้ำค่าสิ”
“ได้สิ”
กู้ชูหน่วนรับปากด้วยอย่างตรงไปตรงมาสบายใจ ซึ่งกลับทำให้เยี่ยจิ่งหานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
กู้ชูหน่วนหัวเราะเยาะและกล่าวเสริมว่า “ของล้ำค่าสามารถพบเจอได้แต่ไม่สามารถเรียกร้องมาได้ ในบางครั้งอาจใช้เวลานับสิบปีหรือนับร้อยปีถึงจะปรากฎออกมาชนิดหนึ่ง หากว่าเจ้าสามารถรอไหวข้าก็ไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ เช่นไรผู้ที่จักรพรรดินีถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดคือท่านไม่ใช่ข้าสักหน่อย”
“น่าขัน ข้าเทพแห่งสงครามผ่าเผย แล้วจะเป็น……ได้อย่างไร”
เขาไม่สามารถกล่าวคำว่า “สัตว์เลี้ยง” สองคำออกมาได้ เพียงแต่ว่าในใจร้อนรุ่มซึ่งสามารถมองออกว่าจักรพรรดินีทำให้เขาหงุดหงิดจริงๆ
แม้ตะเป็นเทพแห่งสงคราม
นั่นก็เป็นคนเช่นกัน
คนนั้นมีช่วงเวลาที่ไร้ซึ่งกำลังด้วยกันทั้งสิ้น
เขาในเวลานี้ก็ไร้ซึ่งกำลังอย่างยิ่ง
“ได้ สองเดือนก็สองเดือน แต่ว่าข้านั้นก็มีเงื่อนไขอยู่”
“เงื่อนไขอะไร?”
“เจ้าพาข้าออกจากวังหลวงรัฐปิง หากว่าไม่สามารถออกจากวังหลวงรัฐปิงได้ข้าก็ไม่สามารถช่วยเจ้าจัดการกับอีกสามตระกูลใหญ่ได้”
กู้ชูหน่วนครุ่นคิดอยู่สักครู่แล้วพยักหน้าเห็นด้วย
“ได้ งั้นเรามาเริ่มกันเถอะ”
“เริ่มอะไร”
“ก็ต้องเริ่มช่วยให้ข้าเพิ่มพูนขึ้นถึระดับห้าได้”
“ทำไม่ได้”
“เยี่ยจิ่งหาน เจ้าล้อเล่นกับข้าหรือ?”
กู้ชูหน่วนโมโหขึ้นเล็กน้อย
นางไม่เพียงแต่ต้องการล้างแค้นให้ตระกูลมู่ทั้งตระกูลเท่านั้น แล้วยังต้องการตามหาเซี่ยวองี่เซวียนด้วย แล้วก็ยังต้องจัดการคลายกู่แทนฝูกวงด้วย จึงไม่มีเวลามากมายจะใช้เสียไปกับเขา
“ความเร่งรีบไม่สามารถยรรลุได้ ไม่ว่าวรยุทธ์ชนิดใดก็ไม่สามารถขึ้นจากขั้นพื้นฐานระดับสามขึ้นถึงระดับห้าได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนั้น แม้ว่าจะมีมหาเวทย์ดูดพลังก็เป็นเรื่องยากนักที่จะทำได้ เว้นแต่ความแข็งแกร่งของในตัวเจ้าจะเกินระดับห้า เพียงแค่เนื่องด้วยเหตุผลอื่นใดได้ถูกลดระดับลงโดยไม่ได้ตั้งใจ”
“หากว่าฝืนบังคับท้ายที่สุดก็จะร่างระเบิดจนตาย อย่างมากข้าสามารถช่วยเจ้าได้เพียงเพิ่มพูนถึงขั้นสูงสุดระดับสามเท่านั้น”
กู้ชูหน่วนชักสีหน้าลง
“ขั้นสูงสุดระดับสามหรือ? เช่นนั้นแม้แต่ระดับที่หนึ่งข้าก็ยังไม่ได้ทลายเลยหรือ?”
“แม่สาว เจ้าต้องรู้ว่ามีคนตั้งเท่าไหร่เรียนรู้ฝึกฝนบำเพ็ญอย่างยากเย็นและทุ่มเวลาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถเพิ่มพูนจากขั้นพื้นฐานระดับสามไปถึงขั้นกลางระดับสามได้ เจ้าสามารถขึ้นไปถึงขั้นสูงสุดระดับสามได้ในเวลาสั้นๆเพียงหนึ่งเดือนก็เป็นการฝืนมติสวรรค์แล้ว”
“กล่าวเช่นนี้ข้ายังจะต้องขอบคุณเจ้าด้วยสิ?”
“ไม่ต้องเกรงใจเช่นนั้น เช่นไรทุกคนก็มีความต้องการของตน”
กู้ชูหน่วนลุกขึ้นและเตรียมออกจากตำหนักบรรทม
เยี่ยจิ่งหานเรียกนางเอาไว้
“เจ้าจะไปที่ใด?”
“จะไปที่ใดได้อีก แน่นอนว่าข้าจะไปกราบทูลจักรพรรดินีว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าจะยังไม่ตายในตอนนี้ แม้ว่าวันนี้จะค่อยๆเล่นกับเจ้าเจ้าก็จะยังไม่ตาย”
กู้ชูหน่วนให้เน้นสามคำที่ว่า “ค่อยๆเล่น” ผู้ใดก็สามารถฟังความหมายของคำสามคำนั้นของนางออกได้
ยิ่งไปกว่านั้นหลักแหลมเสมือนเยี่ยจิ่งหาน
“มู่หน่วน เจ้าอย่าได้ทำเกินไปนะ”
“เป็นข้าที่ทำเกินไปหรือท่านที่เกินไปกัน? ในเมื่อเจรจาข้อตกลงไม่บรรลุข้าก็ต้องกราบทูลจักรพรรดินีตามความจริงก็เท่านั้น ไม่ได้ทำเรื่องใดที่ผิดต่อท่านกระมัง? เช่นไรข้าในตอนนี้ก็ได้รับเบี้ยจากราชสำนักด้วย”
“ระดับสี่ อย่างมากเพียงสามารถช่วยเจ้าเพิ่มพูนถึงระดับสี่ หากเจ้าฝืนดำเนินระดับห้าข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้ แต่เจ้าจะอยู่รอดไม่เกินครึ่งชั่วยาม”
สำหรับระดับสี่กู้ชูหน่วนนั้นไม่พอใจ
แตระดับห้าอยู่ไกลเกินไปสำหรับนางจริงๆ
ท่าทีของเยี่ยจิ่งหานก็ไม่เหมือนว่ากำลังพูดเท็จ
มุมปากของกู้ชูหน่วนค่อยๆเปิดออก “ได้ งั้นก็ระดับสี่นะ ขั้นสูงสุดระดับสี่”
“ขั้นสูงสุดระดับสี่ เหตุใดเจ้าถึงไม่คว้าไว้หล่ะ? ขั้นสูงสุดระดับสี่และระดับห้าแตกต่างอันใดกัน?”
“ต่างสิ อันหนึ่งคือสี่อันหนึ่งคือห้า เหตุใดถึงไม่แตกต่างกัน? หากว่าไม่มีความแตกต่างกันหล่ะก็เจ้าก็ช่วยข้าเพิ่มพูนถึงระดับห้า”
“เจ้าหญิงคนนี้นี่ ต้องการบำเพ็ญเพียรไม่ต้องการชีวิตเสียแล้ว”
“หากว่าสามารถล้างแค้นให้ทั้งตระกูลมู่ได้ถึงแม้ว่าจะต้องเสียสละชีวิตของตนเองแล้วอย่างไร?”
เมื่อเอ่ยถึงตระกูลมู่ทั้งตระกูล เยี่ยจิ่งหานก็ไม่มีสิ่งใดจะกล่าว
เรื่องนี้เขารู้สึกเป็นหนี้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย
หากว่าตอนนั้นเขาไม่ได้จงใจเปิดเผยข้อมูลให้กับตระกูลไป๋หลี่โดยบอกว่านางฆ่าไป๋หลี่เจิน ไป๋หลี่หมิง เหวินเส่าอี๋บางทีอาจไม่ได้สุมไฟเพิ่มขึ้น ได้เปิดเผยข้อมูลให้ดับตระกูลซั่งกวนและตระกูลไป๋หลี่มากขึ้น เป็นการแนะให้ทุกๆคนในการชุนุมมอบมรางวัลต่อสู้กับนางกันทั้งสิ้น
“อย่างมากระดับสี่ หากว่าเจ้ายังไม่พอใจก็ช่างเถอะ เพียงแค่จักรพรรดินีผู้หนึ่งเป็นไปได้หรือว่าข้ายังจะตกอยู่ในกำมือของนางได้?”
“ตอนนี้เจ้าไม่ได้ตกอยู่ในกำมือของนางหรือ?”
“เจ้าสกุลมู่……”
“เอาเถอะเอาเถอะ ระดับสี่ก็ระดับสี่ ตกลงตามนี้นะ”
ในอีกไม่กี่วันต่อมากู้ชูหน่วนใช้เวลาส่วนใหญ่ในหอดาบ กล่าวอย่างไพเราะเพื่อรักษาเขาไม่สามารถทิ้งไปได้แม้แต่ก้าวเดียวจึง
ทหารยามในหอดาบไม่เห็นด้วยแล้วไปทูลรายงานต่อหน้าพระพักตร์จักรพรรดินี อย่างไรก็ตามบุรุษในหอดาบเป็นบุรุษอันโปรดปรานของจักรพรรดินี เหตุใดถึงได้ทรงอนุญาตให้หมอผู้หนึ่งอยู่ในตำหนักบรรทมเป็นเวลานานได้
แต่จักรพรรดินีกลับทรงเห็นด้วย แล้วยังรับสั่งว่าไม่ว่ากู้ชูหน่วนจะร้องขอสิ่งใดก็ให้ทำตาม
เรื่องนี้ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยงุนงง
แม้แต่กู้ชูหน่วนและเยี่ยจิ่งหานก็งุนงง
แม้จะรู้ว่าจักรพรรดินีมีจุดประสงค์อื่นและก็ทำได้เพียงใช้ระยะเวลาอันสั้นเพิ่มพูนให้ตนเองและฟื้นฟูตัวเอง
สมุนไพรเป็นก่ายกองถูกส่งไปยังหอดาบ และส่วนใหญ่ก็เป็นสมุนไพรล้ำค่าซึ่งมีราคาแพงและไม่มีที่ซื้อ
ไป๋หนิงไม่เข้าใจจริงๆจึงถามด้วยความเคารพ
“ฝ่าบาทเช่นนี้เป็นการทรงตามใจพวกเขาเกินไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดินีหยิบองุ่นลูกหนึ่งใส่ปากแล้วเคี้ยวด้วยความเพลิดเพลิน
ริมฝีปากแดงของพระองค์ค่อยๆแยกออกจากนั้นก็ทรงยิ้มอย่างเป็นกันเองแล้วทรงตรัสว่า “เหตุใด เจ้ายังกลัวว่าพวกเขาจะหนีไปได้หรือ?”
“คุณชายเยี่ยเป็นถึงขั้นสูงสุดระดับหกและวรยุทธ์ยอดเยี่ยมนัก มู่หน่วนวิชาแพทย์สูงส่งและมีพรสวรรค์ยิ่งนัก เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆก็สามารถขึ้นถึงขั้นสูงสุดระดับสามได้ สองคนนี้……”
“วางใจเถอะ พวกเขาหนีไม่พ้นหรอก ข้าก็แค่ต้องการให้ความแข็งแกร่งของมู่หน่วนขึ้นถึงจุดสูงสุดระดับสี่และข้าก็ยิ่งต้องการให้อาการบาดเจ็บของเยี่ยจิ่งหานฟื้นฟูได้โดยเร็ว ข้าแทบทนรอที่จะลิ้มลองรสชาติของเขาไม่ไหวแล้ว”