กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 910
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 910
ภายในพระราชวังของรัฐปิง
จักรพรรดินีนั่งอยู่ในวังตำหนักเฟิ่งอี๋ตามลำพัง
นางไล่นางกำนัลออกไป และจ้องมองออกไปที่พระจันทร์เสี้ยวนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ไป่หนิงผลักประตูและถามอย่างแผ่วเบา “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ซั่งกวนหมิงหลาง ฝูกวง และลั่วอิ่ง เตรียมพร้อมที่จะรอรับความโปรดปรานจากพระองค์ทุกเมื่อ ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ที่จะเรียกพวกเขามาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดินีไม่ตอบและถามว่า “ไป่หนิง เจ้าว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วกว่ายี่สิบปี ทำไมจู่ ๆ ถึงสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ อีกทั้งยังอยู่ใต้จมูกของเจ้า”
ไป่หนิงตกใจ
ไม่รู้ว่าจักรพรรดินีต้องการจะถามอะไร
และไม่รู้ว่าจักรพรรดินีหมายถึงใคร
นางจึงทำได้เพียงตอบอย่างระมัดระวังว่า “บางทีเมื่อยี่สิบก่อน เขาอาจจะไม่ได้ตาย”
“งั้นหรือ แต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ข้าเป็นคนตรวจดูลมหายใจของเขาด้วยตนเอง และแน่ใจว่าเขาตายแล้ว”
ประโยคทำให้ไป่หนิงต้องครุ่นคิด
จักรพรรดินีได้สติขึ้นมาในทันทีทันใด
ดูเหมือนนางจะตระหนกได้ว่าตนเองพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดกับไป่หนิง นางจึงเปลี่ยนเรื่อง
“วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากพบพวกเขา เอาไว้วันหลังเถอะ”
“เพคะฝ่าบาท”
“ตอนนี้เยี่ยจิ่งหานเป็นอย่างไรบ้าง?”
“มู่หน่วนกำลังรักษาขาของเขาอยู่เพคะ และมีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากในหอดาบเป็นครั้งคราว คุณชายเยี่ยน่าจะเจ็บปวดมากเพคะ”
ขาของเขายังสามารถรักษาให้หายได้จริงหรือ?
ในร่างกายของเขามีพิษอยู่มากมาย จะรักษาให้หายง่าย ๆ ได้อย่างไร
เป็นนางหรือ?
เป็นนางที่เก็บเยี่ยจิ่งหานมา และวางพิษใบไม้โลหิตบนร่างของเยี่ยจิ่งหาน และระงับคำสาปโลหิตของเขาไว้?
จักรพรรดินีมองไปยังทิศทางของเผ่าหยก และยิ้มอย่างยากที่จะคาดเดา
ไป่หนิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
รอยยิ้มของฝ่าบาท……
ทำไมมันถึงได้ดูน่ากลัวเช่นนี้?
“ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าออกไปเถอะ หากไม่ได้คำสั่งจากข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามารบกวนข้าที่ตหนักเฟิ่งอี๋”
“เพคะ”
ไป่หนิงถอยออกไปและปิดประตู
ไม่นานเทียนในตำหนักก็ดับลง
เดิมทีไป่หนิงต้องการจะถอยออกไป แต่หลังจากเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุด
เมื่อนึกถึงความผิดปกติของฝ่าบาท รวมทั้งรอยยิ้มที่ประหลาดของพระองค์ และการมองไปยังทิศทางหนึ่งเป็นครั้งคราว
ประกอบกับคำถามที่จู่ ๆ วันนี้พระองค์ก็ถามนาง
ไป่หนิงรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
ฝ่าบาททรงกลัวความมืด และไม่เคยดับเทียนเมื่อทรงพักผ่อนมาก่อน
แต่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เมื่อพระองค์ประทับอยู่ตามลำพังในตำหนัก พระองค์ก็มักจะดับเทียนก่อนเข้าบรรทม
ไป่หนิงลังเลอยู่นาน และกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า
“ฝ่าบาทเพคะ ตระกูลใหญ่ต่าง ๆ ยังคงขอเพื่อขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนของตระกูลซั่งกวน พวกเขาบอกว่าหากฝ่าบาทไม่ทรงเรียกพวกเขามาเข้าเฝ้า พวกเขาก็จะไม่จากไป”
ในห้องเงียบสงบและไม่มีการตอบสนองใด ๆ
ไป่หนิงพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังเงียบสงบ
นางขมวดคิ้ว
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางขัดพระประสงค์ของฝ่าบาท และผลักประตูเข้าไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ประตูตำหนักถูกเปิดออก ก็ไม่มีใครอยู่ข้างใน และไม่มีแม้แต่เงาของจักรพรรดินี
ไป่หนิงมองหาไปรอบ ๆ และแน่ใจว่าไม่มีร่องรอยของจักรพรรดินีอยู่ในตำหนัก
นางจึงออกมาถามทหารรักษาพระองค์ว่า “ฝ่าบาทเล่า?ฝ่าบาททรงเสด็จออกไปจากตำหนักเฟิ่งอี๋แล้วหรือ?”
ทหารรักษาพระองค์ต่างพากันงุนงง
“ท่านไป่หนิง ฝ่าบาททรงไม่ได้เสด็จออกมา คืนนี้มีเพียงท่านที่เข้าออกตำหนักเฟิ่งอี๋”
“เจ้าแน่ใจนะ?”
“แน่ใจขอรับ ท่านไป่หนิง ฝ่าบาททรงไม่ได้ประทับอยู่ในตำหนักหรือ?”
“ไม่มีอะไรแล้ว พวกเจ้าเฝ้าระวังให้ดี ๆ แล้วอย่าพูดเรื่องในคืนนี้กับผู้ใด”
“ขอรับ”
ไป่หนิงกลับเข้าไปในตำหนักอีกครั้ง นางปิดประตูและค้นหากลไกไปทั่วทั้งตำหนัก
นางอยากจะค้นตำหนักเฟิ่งอี๋มานานแล้ว
เพราะนางเคยได้ยินเสียงกรีดร้องในตำหนักเฟิ่งอี๋
เป็นเสียงกรีดร้องที่ชัดเจน แต่หลังจากการตรวจสอบก็ไม่พบสิ่งใด และฝ่าบาททรงตรัสว่านางแค่หูแว่ว
นางหูแว่วจริงหรือไม่ นางย่อมรู้ดี
หลังจากหาไปสักพัก ไป่หนิงไม่พบกลไกใด
เหมือนฝ่าบาททรงหายสาบสูญไปในอากาศ
นางหลับตาลงและนึกถึงการจัดวางตำหนักเฟิ่งอี๋เมื่อหลายปีก่อน จากนั้นจึงรวมเข้ากับการจัดวางในปัจจุบัน
การจัดวางเมื่อหลายปีก่อนกับในปัจจุบันแตกต่างกันมาก นางจึงก็ค้นหาอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบอะไรเลย
ทันใดนั้น นางก็เกิดความคิดอันเฉียบแหลม และเดินไปที่ด้านหน้าชั้นตำรา นางจ้องมองไปที่ชั้นตำราอย่างครุ่นคิด
ฝ่าบาททรงไม่ชอบอ่านตำรา
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็ไม่ชอบอ่านตำรา
แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฝ่าบาทมักจะยืนอยู่ด้านหน้าชั้นตำราตามลำพัง
และบางครั้งก็ทรงหยิบตำราออกมาดู
ไป่หนิงจ้องมองไปที่ตำราแพทย์ในทันที
เพราะตำราที่ฝ่าบาททรงอ่านมากที่สุดก็คือตำราแพทย์
นางเปิดตำราแพทย์ไปยังหน้าที่จักรพรรดินีทรงอ่านบ่อยที่สุด
“แครก……”
เสียงของกลไกดังขึ้น
ประตูลับปรากฏขึ้นที่ผนังด้านซ้าย
ประตูลับเป็นสีเดียวกับผนัง และมองไม่เห็นอะไรจากภายนอก
ไป่หนิงยืนอยู่หน้าประตูลับ
ข้างในมืดสนิทจนมองไม่เห็นนิ้วมือของตัวเอง และไม่รู้ว่าลึกแค่ไหน
นางพยายามฟังเสียงข้างใน แต่ก็ไม่มีเสียงใด ๆ และไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงเสด็จไปลึกแค่ไหนแล้ว
นางยกขาขึ้นและกำลังจะก้าวเข้าไปดู แต่นางกลัวว่านางจะเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น เละฝ่าบาทจะทรงฆ่านางเพื่อปิดปาก
ไป่หนิงลังเล
หากไม่เข้าไป นางก็จะไม่มีวันรู้ความลับของฝ่าบาท และจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ ฝ่าบาทถึงทรงเปลี่ยนไป
หากเข้าไปแล้วตัวเองไม่สามารถได้เล่า?
เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว ไป่หนิงก็ยังเข้าไป
เพื่อเห็นแก่ราษฎรของรัฐปิง นางจะต้องเข้าไปตรวจสอบให้ชัดเจน
ฝ่าบาททรงฆ่าผู้บริสุทธิ์ ไม่สนใจเรื่องในราชสำนัก และมีขุนนางข้าราชบริพารหลายคนต้องตายอย่างน่าอนาถด้วยพระหัตถ์ของฝ่าบาท ความแร้นแค้นในหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มีราษฎรไม่น้อยต้องอดตาย
ก่อนที่นางจะเข้าไป นางใช้เล็บทิ้งร่องรอยไว้บนตำราเล่มนั้น
ร่องรอยนี้บางเบามาก หากไม่สังเกตดี ๆ ก็จะดูไม่ออก
เมื่อก้าวเข้ามา ประตูลับก็ปิดลงในทันที
ไป่หนิงไม่กล้าจุดเทียน นางจึงทำได้เพียงเดินเข้าไปได้ในความมืด
นางเดิน ๆ หยุด ๆ และไม่รู้ว่าเข้ามาไกลแค่ไหนแล้ว ในที่สุดก็มีแสงสว่างในทางเดินอันมืดมิด
เพียงแต่เป็นแสงสว่างที่มืดมาก และมีกลิ่นคาวเลือดจาง ๆ
ไป่หนิงได้ยินเสียงคนกำลังพูดกัน
นางจึงเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง และได้ยินอย่างชัดเจนว่ากำลังพูดคุยอะไรกัน
แต่ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงตรัสกับผู้ใด
“ฮวาอิ่ง เจ้าช่างโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องโดนฟ้าผ่า”
“ปล่อยพี่น้องของข้าไป หากเจ้ากล้าฆ่าผู้บริสุทธิ์อีก นายท่านของพวกเราไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน”
“นายท่านของเจ้า?เยี่ยจิ่งหานงั้นหรือ?ฮ่า ๆ ๆ ……ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอด หลังจากที่ข้ากินเจ้าแล้ว ข้าจะส่งเยี่ยจิ่งหานไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าด้วย พวกเจ้าจะได้ไม่โดดเดี่ยว ฮ่า ๆ ๆ…..”
“อ้า……”
เสียงกรีดร้องที่บีบหัวใจดังออกมาจากเส้นทางลับ
เสียงกรีดร้องเปลี่ยนจากเสียงดังเป็นเสียงเบาลง และในที่สุดก็หายไป เสียงร้องโหยหวนจนน่าตกใจ ทำให้ไป่หนิงไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงความเจ็บปวดที่คนผู้นั้นต้องเผชิญก่อนตาย
และตามมาด้วยเสียงโกรธเคือง
“วิปริต เจ้ามันวิปริต เจ้าดูดเลือดและวรยุทธ์ของพวกเขา จนไม่เหลือแม้แต่กระดูก ทำไมในใต้หล้านี้ถึงมีผู้ที่น่าขยะแขยงเช่นเจ้าได้”
ไป่หนิงก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
ในที่สุดนางก็เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ข้างใน
หากนางไม่สังหรณ์ใจและควบคุมตัวเองให้เข้มแข็ง นางก็คงจะกรีดร้องออกมาเสียงดัง