กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 911
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 911
นั่นเป็นเหตุการณ์อย่างไรนะ
บนพื้นมีชายสามคนนอนอยู่เพราะถูกกดจุดไว้
ชายหนุ่มหล่อเหลาอย่างมาก และชายหนุ่มหนึ่งในนั้นสวมใส่ชุดสีน้ำเงิน ท่าทางสง่างาม บริเวณโดยรอบตัวแผ่ซ่านไปด้วยเกียรติสูงศักดิ์
เพียงแต่พวกเขามีสีหน้าซีดเผือด ราวกับว่าสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมาก
อยู่ด้านข้างพวกเขา ยังมีซากกระดูกจำนวนมาก เลือดเนื้อสลายหายไปหมด เหลือไว้เพียงโครงกระดูก
ในส่วนของโครงกระดูกมีบางชิ้นที่เป็นชิ้นส่วน คล้ายดั่งกับหมาแทะ
และฝ่าบาทหันหลังให้กับนาง นางเลยดูลักษณะสีหน้าท่าทางของฝ่าบาทไม่ออก
สิ่งที่ทำให้นางตื่นตะลึงคือ ฝ่าบาทหยิบกระดูกชิ้นใหญ่หนึ่งชิ้นมาแทะ และนางได้ยินเสียงแทะกัดด้วย
ไม่รู้ว่ากระดูกแข็งเกินไปหรือไม่ ฝ่าบาทจึงใช้ฝ่ามือทุบกระดูกเป็นผุยผง จากนั้นเลยเงยคอขึ้นกลืนกินลงไป
ตอนที่ฝ่าบาทเงยคอ นางยังเห็นริมฝีปากของฝ่าบาทเต็มไปด้วยเลือด แววตาอึมครึม ใบหน้าโหดร้ายทารุณ ใบหน้าข้างหนึ่งของนางสวยงามไร้ที่ติ เนียนนุ่ม ส่วนอีกด้านมีรอยแผลเป็น ราวกับผีร้ายเชียวล่ะ
ไป่หนิงเอามือป้องปากของตัวเองแน่น เพื่อไม่ให้ตนเองหลุดเปล่งเสียงออกมา
ใบหน้านี้…..
มันไม่ใช่ฝ่าบาทเลย
ซึ่งนั่นก็คือ….นางปลอมแปลงเป็นฝ่าบาท
เช่นนี้ฝ่าบาทตัวจริงล่ะ อยู่ที่ไหน?
ฮวาอิ่งจับเชยคางของชิงเฟิงขึ้น แล้วแลบลิ้นเลียคราบเลือดบริเวณริมฝีปาก
“คนที่เยี่ยจิ่งหานฟูมฟักอบรมมา รสชาติน่าจะดีกว่าพวกเขา”
“ถุย อยากจะสังหารก็ลงมือเถิด หยุดพูดไร้สาระ”
“รอข้าดูดเลือดของพวกเจ้าแล้ว โฉมหน้าของข้าก็ฟื้นคืนมา”
ฮวาอิ่งลูบสัมผัสใบหน้าของตนเอง
ใบหน้าของนางถูกตัวนางเองทำลายไป
แต่ตอนนี้นางอยากฟื้นฟูแล้ว
ไม่มีเหตุผลอะไร นางเพียงแค่เบื่อโฉมหน้านี้
ช่วงปีที่ผ่านมานี้ นางยืมฐานะขององค์จักรพรรดินีมาใช้มันราบรื่นมาก ฟื้นฟูบาดแผลที่ได้รับเมื่อสามปีก่อนหน้าที่เผ่าหยกเรียบร้อยแล้ว
แม้แต่ใบหน้าก็กำลังฟื้นฟู
หากไม่ใช่ดวงดี สามปีก่อนหน้านางคงตายนานแล้ว โดยพื้นฐานแล้วไม่สามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้
นึกถึงโฉมหน้าของตนเอง องค์จักรพรรดินีจึงอารมณ์ดีอย่างมาก นางวางมือบนกลางกระโหลกของชิงเฟิง เตรียมพร้อมใช้พลังดูดเลือดของเขาตลอดเวลา
เซี่ยวอวี่เซวียนที่อิงอยู่ข้างกำแพงหัวเราะเยาะขึ้น
กล่าวด้วยน้ำเสียงโรยราว่า“ต่อให้เจ้าฟื้นฟูโฉมหน้าได้ นั่นก็ไม่ใช่โฉมหน้าของเจ้า แต่ยังคงเป็นโฉมหน้าของอดีตหัวหน้าเผ่าหยก ชาตินี้ทั้งชาติเจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เจ้าเป็นเพียงแค่เงาของอดีตหัวหน้าเผ่าของเผ่าหยก”
ประโยคเดียวสะกิดจุดเจ็บของฮวาอิ่งยิ่งนัก
นางสะบัดแขนเสื้อ ตบจนบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเซี่ยวอวี่เซวียนเป็นรอยสีสด จากนั้นตะคอกว่า“เช่นนั้นข้าก็ทำลายเผ่าหยก ให้ผู้นำเผ่าหยกตอนนี้กู้ชูหน่วนเป็นเงาของข้า”
พอมีคนพูดถึงกู้ชูหน่วนสามคำนี้ เซี่ยวอวี่เซวียนรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอยากไม่รู้สาเหตุ
เขายิ้มเยาะเย้ย กล่าวว่า“จุดมุ่งหมายของเจ้าไม่มีวันสำเร็จ อย่าพูดถึงที่เผ่าหยกมียอดฝีมือมากมาย แม้แต่เจ้าเด็กอัปลักษณ์ นางหายสาบสูญตายนานแล้ว เจ้าทำได้เพียงแค่ฝันเพ้อเจ้อ”
“นางจะมีชีวิตกลับมา อีกทั้งเร็วๆนี้นางจะต้องมีชีวิตฟื้นกลับมา”
เซี่ยวอวี่เซวียนใจกระตุกหวิว
นาง….
ก็รู้ว่าเยี่ยจิ่งหานตามหาวิญญาณของเจ้าเด็กอัปลักษณ์?
“ที่เจ้าพูดตอนท้ายนั้นหมายความว่ายังไง?”
“หมายความว่ายังไง ฮ่าๆๆๆๆ….เซี่ยวอวี่เซวียนนะ เซี่ยวอวี่เซวียน เจ้านี่ผูกพันกับนางเสียจริง ตอนอยู่รัฐเยี่ย เจ้าชอบนาง มาถึงรัฐปิง เจ้ายังชอบนาง ไม่ว่าโฉมหน้านางจะเปลี่ยนไปอย่างไร ท่าทางเปลี่ยนอย่างไร เจ้าล้วนจะชอบนางเป็นลำดับแรก”
ภายในใจของเซี่ยวอวี่เซวียนกำลังแยกแยะวิเคราะห์สิ่งที่นางกำลังสื่อสารออกมา
ฮวาอิ่งเป็นคนบ้าคนหนึ่ง
ความคิดของนางกับคนปกติไม่เหมือนกัน
วิธีการทำสิ่งต่าง ๆ ก็ยิ่งวิปริตและโหดเหี้ยมมากขึ้น
“เจ้าเคยคิดว่านางกับกู้ชูหน่วนเด็กสารเลวนั่นเหมือนกันหรือไม่ เพียงเพราะจิตวิญญาณของกู้ชูหน่วนส่วนหนึ่งฝากอยู่บนตัวนาง?”
เซี่ยวอวี่เซวียนมองนาง รอคำพูดตอนท้ายของนาง
ชิงเฟิงกับเจี้ยงเสวี่ยก็มองนาง พวกเขาไม่เข้าใจว่าความจริงแล้วหมายความว่ายังไง
เหมือนรู้ความคิดในใจของพวกเขา ฮวาอิ่งพูดได้ครึ่งหนึ่งก็ไม่พูดแล้ว นางเพียงแค่หัวเราะร่า ด้วยความลำพองใจ
“พวกเจ้าขอร้องข้าสิ บางทีข้าอารมณ์ดีก็จะบอกความจริงกับพวกเจ้าแล้ว”
ชิงเฟิงยังอยากจะด่าทอ
เซี่ยวอวี่เซวียนเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว แกล้งทำเหมือนไม่มีอะไร พร้อมท่าทางไม่แยแส
“ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร แม้แต่คำเดียวข้าก็ไม่เชื่อ และข้ายิ่งไม่อยากฟังเจ้ามาโกหกพูดเลอะเทอะอยู่ที่นี่ ข้านี่สงสารเจ้าเสียจริง อดีตหัวหน้าเผ่าหยกตายแล้ว และหัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันตายแล้ว เผ่าหยกไม่มีธิดาศักดิ์สิทธิ์ประสูติ เจ้าเลยพลิกสถานการณ์ไม่ได้ตลอดไป ชาตินี้ทั้งชาติเจ้าเป็นได้เพียงเงาของผู้อื่น อยู่ภายใต้เงามืดของผู้อื่น”
“คนอื่นพูดถึงเจ้า ไม่มีทางรู้ว่าเจ้าชื่อฮวาอิ่ง รู้เพียงว่าเจ้าเป็นเงาของอดีตหัวหน้าเผ่า”
“เซี่ยวอวี่เซวียน สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคือการที่คนอื่นพูดว่าข้าเป็นเงา”
“หรือเจ้าไม่ใช่เงาล่ะ?”
“เจ้าพูดอีกสิ ข้าจะดูดเลือดเจ้าเสียตอนนี้เลย”
“ต่อให้ข้าไม่พูดแล้ว เจ้าอาจจะปล่อยข้าใช่ไหม? ในเมื่อล้วนคือความตาย เพราะเหตุใดข้าไม่พูดความในใจก่อนตายออกมาเสียเลยล่ะ”
“หมับ”
ฮวาอิ่งคว้าหมับเข้าที่คอของเขา พละกำลังมากล้นจนทำให้เซี่ยวอวี่เซวียนหายใจไม่ออก ใบหน้าแดงก่ำ หายใจลำบาก
“คุณชายเซี่ยว….”
“คุณชายเซี่ยว….ปล่อยเขานะ….”
ชิงเฟิงกับเจี้ยงเสวี่ยร้อนใจอย่างมาก
พวกเขาอยากไปช่วยเซี่ยวอวี่เซวียน แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงมองเซี่ยวอวี่เซวียนถูกหญิงบ้าผู้นั่นบีบคอ จนเซี่ยวอวี่เซวียนจวนจะขาดอากาศหายใจ
เซี่ยวอวี่เซวียนหายใจไม่ออก เขาสัมผัสได้ว่าแสงแห่งความตายครอบคลุมที่เขาไว้แล้ว
แต่เขายังคงยิ้มออกมา ดวงตานกการเวกเต็มไปด้วยความถากถาง ปากพ่นคำพูดออกมาอย่างยากเย็นว่า
“เจ้า…เป็นเพียง…เงา….เงาตลอดไป…..”
ฮวาอิ่งอยากสังหารเขาเสียให้สิ้น
ไม่รู้นึกอะไรได้ นางก็คลายออกทันที
“เจ้าเพียงแค่ยั่วยุให้ข้าสังหารเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ตอนที่ข้าดูดเลือดเจ้ามันก็จะไม่สด เจ้าไม่อยากรับรู้ความจริงหรือ?แต่ข้าก็อยากให้เจ้ารู้นะ”
“เจ้าคิดว่าวิญญาณของกู้ชูหน่วนจะหาร่างคนมาฝากวิญญาณแบบตามอำเภอใจหรือ?ถุย แน่นอนว่าไม่ใช่ ต่อให้แผนการกลอุบายของเผ่าหยกจะน่าเหลือเชื่อเพียงใด ก็ไม่มีความสามารถนั้นที่จะหาคนธรรมดาทั่วไปมารับวิญญาณพวกเขา”
“นางหาได้เพียงมู่หน่วน เพราะว่ามู่หน่วนคือกู้ชูหน่วน พวกนางเป็นคนเดียวกัน”
คนเดียวกัน?
หน้าตาไม่เหมือน ดินแดนแตกต่าง สภาพแวดล้อมต่างกัน จะเป็นคนเดียวกันได้อย่างไร?
“อยากรู้หรือไม่?ฮ่าๆๆๆๆ……ข้าไม่บอกสาเหตุพวกเจ้าหรอก ข้าจะบอกเพียงว่า มู่หน่วนก็คือกู้ชูหน่วน เพียงแค่มู่หน่วนรวบรวมวิญญาณครบ นางก็จะกลายเป็นกู้ชูหน่วน อีกทั้ง….สามปีก่อนตอนที่กู้ชูหน่วนสังเวยเซ่นไหว้เลือด ไม่ใช่ว่าวิญญาณบินหายไปหนึ่งกลุ่มหรือ?วิญญาณนั่นอยู่ที่มู่หน่วน เท่ากับบนตัวของมู่หน่วนมีวิญญาณสี่กลุ่มแล้ว”
“ไม่นานนางก็สามารถรวบรวมได้ถึงห้า ส่วนที่หกอยู่ในมือข้า”
“หากไม่รู้ว่าส่วนกลุ่มสุดท้ายของวิญญาณอยู่ที่แห่งใด ข้าจะสามารถให้นางมีชีวิตรอดถึงตอนนี้ได้ที่ไหนกัน”
“ใช่แล้ว จะบอกความลับอีกอย่างหนึ่งกับเจ้านะ เจ้ารู้ว่าทำไมข้าถึงชอบเก็บรวบรวมหยางบำรุงอิน ดูดเลือดสดของชายหนุ่มที่วรยุทธ์แกร่งกล้าหรือไม่? ดูดเลือดกับสารจำเป็นจิงชี่ของพวกเขา ข้าไม่เพียงฟื้นฟูโฉมหน้า วรยุทธ์ของข้ามันยังสูงลิ่วด้วย วิชาเก็บรวบรวมหยางเป็นวิชาชั่วร้ายราวกับการดูดกลืนดวงตะวันให้มืดบอดเชียวล่ะ”
“เพียงข้าดูดเลือดของพวกเจ้ากับฝูกวงลั่วอิงซั่งกวนหมิงหลาง ข้าก็สามารถก้าวสู่ระดับเจ็ดได้ รอข้าดูดวรยุทธ์ของเยี่ยจิ่งหานกับเหวินเส่าอี๋แล้วล่ะก็ ข้าก็จะสามารถทยานสู่ระดับเจ็ดระดับกลางได้”
“และวิญญาณของกู้ชูหน่วนรวบรวมครบ ข้ามาดูดนางอีก ข้าก็สามารถเข้าสู่ระดับมนุษย์โดยตรง ฮ่าๆๆๆ…ชั้นสูงสุดระดับเจ็ดไร้คู่ต่อสู้ละ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับมนุษย์”