กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 915
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 915
“นายท่าน จะฆ่าหรือไม่?”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ถูไถที่น่องของกู้ชูหน่วน และแหงนหน้าขึ้นถาม
กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ดูสถานการณ์ไปก่อน แล้วค่อยว่ากัน”
หากสามารถถอนอาคมกู่ของฝูกวงและลั่วอิ่งได้ และหากวรยุทธ์ของพวกเขาฟื้นคืนกลับมา พวกเขาก็จะสามารถกลับมาเป็นองครักษ์ข้างกายนางได้เหมือนเดิม
เมื่อถึงเวลานั้น นางก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการโจมตีตระกูลไป๋หลี่อีกครั้ง
แต่เสด็จอาไม่ได้ทำเรื่องที่ไร้มนุษยธรรมใด ๆ นางจะฆ่าเขาได้อย่างไร?
ผู้ที่สมควรตาย คือผู้ที่นำแม่กู่ใส่เข้าไปในร่างของเสด็จอา
“มีวิธีอื่นที่ฆ่าแม่กู่ หรือสามารถที่จะรักษาชีวิตของเสด็จอาไว้ได้หรือไม่?”
“ปลาและอุ้งเท้าหมีไม่อาจได้มาพร้อมกันทั้งสองสิ่ง จะให้ได้มาทั้งสองอย่างนั้นเป็นไปไม่ได้”
“……”
“นายท่าน นี่เป็นแผนที่ของพระราชวัง อ่ะ ข้าให้ท่าน”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์โยนแผนที่ออกมา และพูดเสียงต่ำว่า “นายท่าน ท่านให้ข้าไปตรวจสอบจักรพรรดินี ข้าตรวจสอบแล้วก็ไม่พบอะไรเลย พบเพียงว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจักรพรรดินีมีความโหดร้ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และชอบดูดเลือดผู้คน”
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา?”
“ใช่ เมื่อสามปีก่อนแม้ว่าจักรพรรดินีจะโหดเหี้ยม แต่ก็จะไม่ได้มากเกินขอบเขตขนาดนี้ ในตอนนี้ทำให้ผู้คนในรัฐปิงต่างตื่นตระหนก และราษฎรประณามไปทั่วทุกถนนหนทาง”
ขุนนางที่จงรักภักดีมากมายของรัฐปิงถูกจักรพรรดินีฆ่าเพราะคำชี้แนะของพวกเขา
นอกจากเสด็จอาและขุนนางเก่าแก่เพียงไม่กี่คนแล้ว ยังมีใครกล้าพูดอะไรในท้องพระโรงอีก?
จักรพรรดินีไม่สนใจที่จะบริหารบ้านเมือง
ประกอบกับภัยพิบัติหลายปีติดต่อกันของรัฐปิง ทำให้ราษฎรมากมายต้องอดตาย
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของรัฐปิง เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยความโกรธ
เพื่อปากท้อง คนเหล่านั้นต้องจับงูไปกินเป็นอาหาร และมีเพื่อนงูมากมายของมันถูกกิน จึงทำให้มันโกรธเคือง
“ข้าจะเก็บแผนที่นี้ไว้ แล้วค่อย ๆ ศึกษา จริงสิ แล้วเจ้าเสือน้อยล่ะ ทำไมถึงไม่เห็นเงาเสือของมันเลย?”
“มันเห็นของมีค่าในวัง ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังขโมยของอยู่ที่ไหนสักแห่ง”
กู้ชูหน่วนกระตุกมุมปาก
เจ้าลูกเสือตัวนี้ไว้ใจไม่ได้จริง ๆ
มันเป็นเสือ ไม่ใช่มังกร
ทำไมถึงโลภมากขนาดนี้?
มันจะเอาของมีค่ามากมายไปทำอะไร?
กู้ชูหน่วนหยิบพู่กันและกระดาษขึ้นมา นางวาดรูปหลายภาพ ขีดเขียนละส่งให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์
“ทำตามภาพวาด ขั้นแรกให้กำจัดลูกสมุนของตระกูลไป๋หลี่ก่อน แล้วค่อยทำลายรังของพวกเขา”
“เข้าใจแล้ว นี่เป็นความสามารถพิเศษของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่พลาด นายท่านรอข่าวดีจากข้าได้เลย”
“จำไว้ว่าอย่าให้ความลับรั่วไหล เมื่อถึงเวลาฐานที่มั่นจะลงมืออย่างพร้อมเพรียงกัน”
“ขอรับ”
“แล้วก็อันนี้ ปล่อยข่าวออกไป ยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ข้าต้องการให้ตระกูลไป๋หลี่ขาดการสนับสนุน”
“รับทราบ”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ส่งเสียงฟ่อ ๆและเลื้อยออกไป
หลังจากไปได้สักพักก็เลื้อยกลับมาอีก
“นายท่าน ขาของเยี่ยจิ่งหานหายดีแล้วหรือไม่?”
“ทำไมเจ้าถึงเป็นห่วงเขาขนาดนั้น?”
“ตระกูลของเขามีการค้าที่ใหญ่โต และมีหมูย่างมากมาย ข้าไม่สามารถสูญเสียขาข้างนี้ไปได้”
“คงต้องแล้วแต่บุญวาสนาของเขา”
“อ้อ……นายท่านจิตใจดีขนาดนี้ จะต้องพยายามรักษาเขาอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?”
“เจ้าต้องการจะพูดอะไร?”
“เยี่ยจิ่งหานมีวรยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับหก หากพวกเราเริ่มต้นที่เยี่ยจิ่งหานก่อน ก็จะสามารถประหยัดพลังได้มาก”
ทำไมนางจะไม่รู้ว่าหากมีเยี่ยจิ่งหานค่อยช่วยเหลือ นางก็ไม่จำเป็นต้องออกแรงมากนัก
ทั้งสามตระกูลใหญ่ต้องการจะควบคุมอำนาจของเขา
แต่นานแล้วก็ยังไม่พบกุญแจ
นางรู้สึกปวดหัว
“กุญแจล่ะ?หาเจอแล้วหรือไม่?”
“นายท่าน จู่ ๆ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าข้ายังมีงานอีกมาก ข้าขอตัวไปทำงานก่อน”
“……”
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เลื้อยหายไปในชั่วพริบตาเดียว
กู้ชูหน่วนก็จมอยู่ในห้วงความคิด
กุญแจน่าจะอยู่ที่จักรพรรดินี
แต่ด้วยสถานะของนางแล้ว นางไม่สามารถเข้าใกล้จักรพรรดินีได้เลย
หากให้เยี่ยจิ่งหานเอาอกเอาใจจักรพรรดินี และใกล้ชิดกับจักรพรรดินี เกรงว่าจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
แล้วจะให้ใครเข้าไปใกล้ชิดกับจักรพรรดินีล่ะ?
ฝูกวง?
ลั่วอิ่ง?
กู้ชูหน่วนกำลังจะเรียกเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กลับมา
แต่หัวของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้ากู้ชูหน่วน ซึ่งเกือบจะทำให้นางตกใจ
“จริงสิ นายท่าน ข้าลืมบอกท่านไปเรื่องหนึ่ง คืนนนี้จักรพรรดินีทรงต้องการจะเชยชมซั่งกวนหมิงหลางและฝูกวง และหลังจากนั้น ดูเหมือนว่ายังมีบุรุษรูปงามอีกสองคนที่นางต้องการจะเชยชม หนึ่งในนั้นคือลั่วอิ่ง และอีกคนยังไม่รู้ว่าเป็นใคร”
“พวกเราจะช่วยหรือไม่?”
ว่ากันว่าหลังจากที่เชยชมแล้ว นางก็จะดูดเลือดของพวกเขาจนหมดสิ้น
เช่นนั้นฝูกวงและลั่วอิ่งก็ต้องจบสิ้น?
“ช่วยสิ จะไม่ช่วยได้อย่างไร”
กู้ชูหน่วนกระซิบที่ข้างหูของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ จากนั้นก็มองใบหน้าที่หลับใหลของเยี่ยจิ่งหานด้วยความหนักใจ
ในตำหนักเฉิงลู่ยามค่ำคืน
ซั่งกวนหมิงหลางและฝูกวงนอนเคียงข้างกันบนเตียงไม้จันทน์กว้างหกฉื่อ
พวกเขาถูกสกัดจุดและไม่สามารถขยับได้ อีกทั้งเสื้อผ้าของพวกเขาก็บางเบา
จักรพรรดินีย่างกรายเข้ามา
และมองกราดลงไปที่พวกเขาทั้งสองคน จากนั้นรอยยิ้มอันชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
ซั่งกวนหมิงหลางและฝูกวงต่างก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนเผ่า และแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
พวกเขาทั้งสองคน คนหนึ่งองอาจและสง่าผ่าเผย แม้ว่าจะเยือกเย็น แต่ก็มีรูปงามที่ไม่เหมือนใคร
อีกคนหนึ่งมีใบหน้าที่งดงามอย่างสุดจะพรรณนา ผิวพรรณของฉันผุดผ่องเป็นยองใย
ฮวาอิ่งถลกเสื้อผ้าอันบางเบาของฝูกวงขึ้นและยิ้ม “พวกเจ้าทั้งสองคน ช่างรูปงามเสียจริง”
ฝูกวงจ้องเขม็ง “รอให้นายท่านของข้ากลับมาก่อนเถอะ นางไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
“นายท่านของเจ้า?ฮ่า ๆ ๆ……หากนายท่านของเจ้าสามารถช่วยเจ้าได้ เจ้าจะมานอนให้ข้าเชยชมอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“กรรมดีกรรมชั่วย่อมตามสนอง เพียงแค่จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้น เจ้าจะต้องไม่พบกับจุดจบที่ดี”
“ผัวะ……”
ฮวาอิ่งตบเขา ทำให้ใบหน้าอันงดงามของเขาเป็นรอยนิ้วมือห้านิ้ว
“เจ้าลืมที่รับปากกับข้าในวันนั้นแล้วหรือ?ต้องให้ข้าเตือนความจำให้เจ้าหรือไม่?”
ฝูกวงโกรธ
แน่นอนว่าเขาไม่มีวันลืม
ในวันนั้นเพื่อที่จะช่วยเขา
ลั่วอิ่งถูกนางเหยียดหยาม
และถูกทรมานเจียนตาย
ตั้งแต่วันนั้น เขากับลั่วอิ่งก็ถูกแยกจากกัน และไม่รู้ว่าตอนนี้อาการบาดเจ็บของลั่วอิ่งเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
“หากวันนี้ข้าไม่พอใจ ลั่วอิ่งก็จะไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้” ฮวาอิ่งกล่าวเตือน
ฝูกวงกัดฟันและกล้ำกลืนความเกลียดชังทั้งหมดลงไป
หลังจากที่ลั่วอิ่งถูกเหยียดหยาม เขาก็ต้องการจะฆ่านางมาโดยตลอด
แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่ตอนนี้
เขาจึงทำได้เพียงอดทน
อดทนต่อความเจ็บปวดและมีชีวิตอยู่ต่อไป จนกว่านายท่านจะฟื้นคืนชีพ
“เป็นเด็กดีแบบนี้สิ ข้าถึงจะชอบ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝูกวงหล่อเหลาเกินไปหรือไม่ ฮวาอิ่งถึงอดไม่ได้ที่จะบีบใบหน้าเล็ก ๆ ของเขา
นางมองไปที่ซั่งกวนหมิงหลาง
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์ของดินแดนวิญญาณเยือกแข็ง
ผู้คนในดินแดนวิญญาณเยือกแข็งต่างชื่นชมและอิจฉาเขา
อย่างไรก็ตาม สำหรับนางแล้ว ไม่ว่าซั่งกวนหมิงหลางจะมีความสามารถทั้งบุ๋นทั้งบู้มากเพียงใด ก็เทียบไม่ได้กับฝูกวง ลั่วอิ่ง ชิงเฟิง เจี้ยงเสวี่ย รวมทั้งเซี่ยวอวี่เซวียน เหวินเส่าอี๋ และคนอื่น ๆ
รสชาติของคนเหล่านั้นล้วนหอมหวาน
เพียงแต่วรยุทย์ขั้นสูงสุดระดับสามก็ไม่เลว
“ซั่งกวนหมิงหลาง บุตรชายคนโตของตระกูลซั่งกวน……หน้าตางดงามเลยทีเดียว ได้ยินมาว่าวรยุทย์ของเจ้าก็ไม่เลวเช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเรื่องบนเตียงจะเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ฝ่าบาท พระองค์มีบุรุษรูปงามกว่าสามพันคนในวังหลัง เหตุใดต้องร่วมหอกับหมิงหลางด้วยเล่า?”
“แม้ว่าในวังหลังจะมีบุรุษรูปงามกว่าสามพันคน แต่นั่นก็ไม่ใช่เจ้า”
“หากฝ่าบาทปล่อยหมิงหลางไป หมิงหลางยินดีที่จะติดตามฝ่าพระบาทและรับใช้ฝ่าบาทไปตลอดชีวิต”
“ข้ามีคนรับใช้มากมายแล้ว และไม่ได้ด้อยกว่าเจ้าเลย หากเจ้าอยากจะรับใช้ข้าจริง ๆ ก็รับใช้ข้าที่นี่ให้ดี ๆ เถอะ……”
ฮวาอิ่งเน้นเสียงที่คำว่ารับใช้ และไม่ว่าใครก็สามารถเข้าใจความหมายที่คลุมเครือนั้นได้อย่างชัดเจน
นางยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าอันหล่อเหลาของซั่งกวนหมิงหลาง และลูบไล้ลงไปเรื่อย ๆ
ทุกครั้งที่นางเคลื่อนไหว ซั่งกวนหมิงหลางก็จะขนลุกไปทั้งตัว