กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 916
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 916
“ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงโปรดไตร่ตรองอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
“ชู่ว……หยุดพูด ให้ข้าได้ลิ้มลองรสชาติของเจ้าเถอะ”
เมื่อเห็นว่าจักรพรรดินีค่อยๆ ขยับเดินเข้าไปใกล้ทีละนิดและปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาที่เดิมทีก็บางเบาอยู่แล้ว ทำให้ซั่งกวนหมิงหลางหัวใจเต้นแรงมาก
ตั้งแต่เล็กจนโจ เขาไม่เคยได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้หญิงมากเช่นนี้มาก่อนเลย
ตอนนี้กลับได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงด้วยวิธีการเช่นนี้……
อีกทั้งข้างกายของเขายังมีผู้ชายคนอื่นอีก
เขาจะเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
“เหตุใดถึงต้องตื่นเต้นเช่นนี้ เพียงแค่เจ้าเชื่อฟังข้า ข้าสัญญาว่าจะอ่อนโยนต่อเจ้า”
ซั่งกวนหมิงหลางดิ้นรน
เขาต้องการหนีไปจากจักรพรรดินีให้ไกลที่สุด
แต่กลับไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่นิด
ความรู้สึกเช่นนี้ก็เหมือนกับปลาที่รอการฆ่าบนกระดานเหนียว ซึ่งไม่เป็นที่น่ายินดีนัก
เมื่อร่างกายเย็นลง
ซั่งกวนหมิงหลางหลับตาลงอย่างทุกข์ทรมาน
หากสามารถฆ่าตัวตายได้ เขาคิดจะฆ่าตัวตายตอนนี้ ซึ่งดีเสียกว่าถูกกระทำอย่างไร้ยางอายเช่นนี้
ทว่าตระกูลซั่งกวน……ไม่สามารถก่อเรื่องบาดหมางต่อจักรพรรดินีได้
เขาไม่สามารถพูดจาหยามเกียรติ เพราะเขาถือเป็นตัวแทนของตระกูลซั่งกวนทั้งตระกูล
ซั่งกวนหมิงหลางหายใจด้วยความอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงอย่างสุดซึ้ง
ไม่รู้ว่าเพราะจักรพรรดินีหายใจแรงเกินไปหรือไม่
หรือเป็นเพราะฝูกวงหายใจแรงเกินไป
ทำให้เสียงของฮวาอิ่งค่อยๆ ดังขึ้น
“ไม่ต้องเป็นห่วง รอให้ข้าโปรดปรานบำเรอเขาเสร็จแล้ว ก็จะมาโปรดปรานเจ้าต่อ เสี่ยวฝูกวง เจ้าอย่าได้รีบร้อนไปเลย”
ซั่งกวนหมิงหลางคาดหวังว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น เช่นเดียวกับปาฏิหาริย์คืนวันนั้นที่จักรพรรดินีต้องการโปรดปรานบำเรอเขา แต่กลับไม่มา
ทว่า……
กลับไม่มีปาฏิหาริย์ตามความต้องการของเขา
มีเพียงฮวาอิ่งเท่านั้นที่ครอบคลุมบนร่างกายของเขา
“ซี๊ด……”
เมื่อรู้สึกเจ็บไหล่ ก็กลับเห็นว่าฮวาอิ่งกำลังกัดที่ไหล่ของเขาอย่างบ้าคลั่ง
“หวาน……หวานมากเหลือเกิน เลือดของยอดฝีมือระดับสามขั้นสูงสุดช่างแตกต่างและวิเศษเหลือเกิน ข้าไม่ได้ลิ้มรสเลือดสดรสชาติอร่อยเช่นนี้มานานมากแล้ว”
ซั่งกวนหมิงหลางเงยหน้าขึ้น ทว่าสิ่งที่ประทับติดตาเขาคือสายตาที่กระหายเลือดของฮวาอิ่งคู่นั้น
เมื่อกะพริบตาแล้วยังเห็นสายตาเช่นนี้ ทำให้ซั่งกวนหมิงหลางสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
เป็นสายตาที่น่าหวาดกลัวอย่างมาก
ราวกับต้องการเลาะกระดูกฉีกเนื้อหนังของผู้อื่นยังไงยังงงั้น
เขารู้สึกว่าจักรพรรดินีน่าสะพรึงกลัวกว่าที่เขาคิดไว้อย่างไร้เหตุผล
ความน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้สามารถทำลายล้างโลกใบนี้ได้
“ทำอย่างไรดี ข้าอดใจไม่ไหวแล้ว……”
“ปล่อยมือ ปล่อยข้าน้อยเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ……”
ซั่งกวนหมิงหลางดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมานเพื่อต่อต้านการรุกล้ำลึกเข้าไปเรื่อยๆ ของจักรพรรดินี
ฝูกวงก็อดร้อนใจแทนเขาไม่ได้
ทว่าตัวเขาเองก็แทบเอาตัวไม่รอด
เช่นนั้นจะไปปกป้องเขาได้อย่างไร?
ผู้หญิงบ้าคลั่งคนนี้ไม่ทรมานให้เขาต้องเลือดตกยางออกก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
หากถูกพระนางทรมานเช่นเดียวกับฝูกวงเช่นนั้น เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าจะอดทนต่อไปได้หรือไม่
“ติ่ง……”
มีน้ำตาไหลออกมาจากมุมตาของซั่งกวนหมิงหลาง
เฝ้ารอให้จักรพรรดินีกระทำการขั้นตอนสุดท้ายอย่างไร้สิ้นความหวัง
ทันใดนั้น ภายนอกประตูก็เกิดเสียงฝีเท้าดังขึ้น จากนั้นขันทีคนหนึ่งจึงรีบกล่าวว่า
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ คุณชายเยี่ยป่วยหนักพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดเพียงคำเดียว ทำให้การกระทำของฮวาอิ่งหยุดชะงักลง
“ป่วยหนัก? หมอจินอยู่เฝ้าดูอาการของเขาตลอดเวลาไม่ใช่หรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ……เมื่อช่วงเช้าตรู่หมอจินได้ทำการรักษาขาให้กับคุณชายเยี่ย จากนั้นทำการทุบตีกระดูกเข่าของคุณชายเยี่ยจนแตกเป็นเสี่ยงๆ คุณชายเยี่ยอดทนไม่ไหวและเป็นลมหมดสติไปหลายครั้ง ตอนนี้……ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงมีอาการไข้สูงไม่ลด อาเจียนออกมาไม่หยุด หมอหลวงกล่าวว่า เกรงว่าคุณชายเยี่ยจะทนต่อไปไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หมอจินล่ะ?”
“หมอจินเหน็ดเหนื่อยติดต่อกันมาหลายวัน หมด……หมดสติไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ……”
ดูเหมือนว่าขันทีจะไม่กล้าพูดมากไปกว่านี้
เขาเกรงว่าหากฝ่าบาทโกรธเกรี้ยวขึ้นมาและฆ่าหมอจินไปเสีย แม้แต่เขาเองก็ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
เดิมทีฮวาอิ่งคิดอยากจะเก็บรวบรวมหยางบำรุงอินวันนี้ และดูดเลือดของฝูกวงและซั่งกวนหมิงหลางออกมาให้หมดก่อน จากนั้นค่อยๆ ทรมานลั่วอิ่งและเซี่ยวอวี่เซวียน เพื่อจะได้พุ่งไปสู่วรยุทธ์ระดับเจ็ด
ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับเยี่ยจิ่งหาน
นางไม่ต้องการให้เกิดปัญหาติดขัดขึ้นกับเรื่องใหญ่ที่จะดำเนินการในวันนี้เพราะเรื่องของเยี่ยจิ่งหานเป็นเหตุ
จักรพรรดินียังคงไม่สนใจต่อคำพูดของขันที
ยังคงถลำลึกลงไปข้างล่าง
ขันทีอีกคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งเข้ามา เขาไม่รู้ถึงความคิดของฮวาอิ่งและกล่าวตะกุกตะกักออกมา “ฝ่าบาท คุณชายเยี่ยกระอักเลือดออกมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงกล่าวว่าจะมีชีวิตอยู่ไม่เกินคืนนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูกวงรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายใจอย่างมาก
คุณชายเยี่ย?
เยี่ยจิ่งหานที่อยู่ในหอดาบ?
สามีของนายท่าน?
เหตุใดถึงบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้น?
ใครกันเหตุใดถึงโหดเหี้ยมชั่วร้ายถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงทุบตีกระดูกเข่าของเขาจนแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ?
“เอาตัวออกไป ตัดศีรษะเสีย”
ฮวาอิ่งกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
ทันใดนั้นก็มีคนมาลากขันทีทั้งสองคนออกไปตัดศีรษะ
ภายนอกประตูมีเสียงร้องโอดครวญโหยหวนของขันที
ความสนใจของฮวาอิ่งถูกขันทีทั้งสองทำลายจนเสียบรรยากาศไปหมด
เมื่อมองไปที่ฝูกวงและซั่งกวนหมิงหลาง นางก็ไม่มีความสนใจที่จะกระทำต่อ
จากนั้นจัดเสื้อผ้าปิดเข้าหากันและลุกขึ้น ฮวาอิ่งกวาดสายตาไปที่พวกเขาทั้งสองอย่างเยือกเย็น และเดินออกไปจากตำหนักเฉิงลู่
“ชายรูปงามทั้งสองอย่าได้รีบร้อน รอให้ข้าจัดการเรื่องในมือให้เสร็จเสียก่อน จากนั้นจึงจะมาโปรดปรานบำเรอพวกเจ้าทั้งสองคน”
ซั่งกวนหมิงหลางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
สวรรค์รับรู้ได้ว่าเมื่อสักครู่นี้เขาหวาดกลัวและไร้สิ้นความหวังมากเพียงใด
ฝูกวงกลับยิ่งร้อนรนกระวนกระวายใจมากขึ้น
หากเกิดอะไรขึ้นกับเยี่ยจิ่งหาน เช่นนั้นพวกเขาจะอธิบายต่อนายท่านฟังได้อย่างไร?
ภายนอกหน้าต่างมีเสียงอันเย็นชาของทหารองครักษ์ดังขึ้น
“งู งู งู……เหตุใดถึงมีงูมากมายเช่นนี้”
“ฝ่อ……”
ร่างหนึ่งเดินเข้ามาและยืนมองพวกเขาอยู่หน้าเตียง
ซั่งกวนหมิงหลางและฝูกวงพูดออกมาพร้อมกัน
“มู่หน่วน……”
“เป็นเจ้า……”
“ชู่ว เบาๆ หน่อย อย่าทำให้ทหารองครักษ์เข้ามาได้”
กู้ชูหน่วนฟื้นคืนสู่โฉมหน้าเดิม
ภายใต้แสงเทียนภายในห้องนอน นางมองเห็นเสื้อผ้าอันบางเบาแนบเนื้อของซั่งกวนหมิงหลางและฝูกวง
สายตาทั้งสี่คู่จ้องมองกัน
สีหน้าของฝูกวงแดงก่ำ
ซั่งกวนหมิงหลางก็รู้สึกละอายอย่างเห็นได้ชัด
มีเพียงแค่กู้ชูหน่วนเท่านั้นที่มีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่ได้คิดอะไร และเพียงแค่ดึงผ้าห่มมาปกคลุมร่างกายของพวกเขา
จากนั้นจึงกล่าวว่า “ขอโทษด้วยนะ”
กู้ชูหน่วนคลายจุดฝังเข็มให้กับพวกเขา
เมื่อได้ทำการคลายจุด ซั่งกวนหมิงหลางรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเองทันที
กำลังในการดึงของเขานั้นมากเกินไป ไม่เพียงแค่ดึงผ้าห่มไป แม้แต่เสื้อผ้าบนร่างกายของฝูกวงก็ถูกดึงออกไปด้วย
ฝูกวงจ้องมองซั่งกวนหมิงหลางด้วยความโกรธเคือง จากนั้นหยิบเสื้อผ้าของตัวเอง เพื่อปกปิดจุดสำคัญ
และรีบกล่าวว่า “แม่นาง เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่อยู่ในหอดาบเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่ตายหรอก…”
“จริงหรือ? เช่นนั้นเมื่อสักครู่……”
“เป็นเพียงเรื่องโกหกเท่านั้น รีบใส่เสื้อผ้าเถอะ”
กู้ชูหน่วนปลดเสื้อคลุมของตัวเองออก และคลุมไว้ที่ร่างกายของฝูกวง เพื่อปกปิดเรือนร่างของเขา
ฝูกวงค่อยๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“กระดูกหัวเข่าของคุณชายเยี่ย……ถูกทุบตี……จนแตกละเอียดจริงๆ หรือ?”
“นั่นเป็นเพราะต้องการช่วยชีวิตของเขา จึงต้องลงมือทำเช่นนั้น”
“ใครกันนะที่โหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้? ไม่คิดหาวิธีการรักษาหนทางอื่นเลยหรือ?”
มุมปากของกู้ชูหน่วนขยับเล็กน้อย
นางอยากจะตอบกลับไป ว่าคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตคนนั้นก็คือนางเอง
เมื่อเห็นสายตาเป็นกังวลมากเช่นนั้นของฝูกวง คิดไปคิดมาจึงไม่พูดออกมา
“ขอเพียงแค่สามารถรักษาโรคร้ายที่ขาของเขาได้ เช่นนั้นก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”
“โรคร้ายที่ขาของคุณชายเยี่ยมีมาตั้งแต่เขายังเด็ก ไม่ใช่เป็นเรื่องที่สามารถรักษาให้หายได้โดยง่าย หมอท่านนั้นคงไม่ทำไปมั่วๆ หรอกนะ”
“วางใจได้ ทำมั่วไปไม่ได้หรอก อย่าสนใจคนอื่นเลย เจ้าสนใจตัวเองจะดีกว่า ยาที่ข้าให้เจ้าไป เจ้าไม่ได้กินหรอกหรือ? เหตุใดอาการบาดเจ็บยังคงสาหัสเช่นนี้?”
“ให้ลั่วอิ่งไปหมดแล้ว”
“ลั่วอิ่งก็มียาไม่ใช่หรือ?”
“เขาเป็นคนเย็นชา ไม่ชอบพูด ข้ากลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บอีก”
“อ้าปาก”
กู้ชูหน่วนหยิบยาอายุวัฒนะออกมา และลงมือป้อนให้เขาด้วยตัวเอง
การปรากฏตัวของกู้ชูหน่วน ทำให้ซั่งกวนหมิงหลางรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา
นางเป็นเหมือนฟางช่วยชีวิต ทำให้ซั่งกวนหมิงหลางมองเห็นความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
ซั่งกวนหมิงหลางจ้องมองเสื้อคลุมบนตัวของฝูกวงด้วยความอิจฉา และถามว่า “แม่นางมู่ ยังมีเสื้อผ้าอีกหรือไม่?”
เสื้อผ้าของเขาถูกจักรพรรดินีฉีกขาดไปหมดแล้ว
การจะใช้ผ้าห่มห่อตัวไปตลอดก็ไม่ถือเป็นเรื่องดี
กู้ชูหน่วนตอบกลับโดยไม่คิด “ไม่มี”
“เช่นนั้นเจ้า……ได้หรือไม่……”
“ไม่ได้”
คิดว่านางว่างมากเลยหรือ?
หากไม่ใช่เพราะต้องการช่วยเหลือฝูกวง
นางไม่มีทางสนใจเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
เขาจะถูกจักรพรรดินีดูดเลือดไปจนหมดตัวหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องของนาง
ดวงตาของซั่งกวนหมิงหลางหรี่ลง
แต่ยังคงรู้สึกขอบคุณที่กู้ชูหน่วนช่วยชีวิตของเขา