กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 920
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 920
กู้ชูหน่วนฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาตกใจ โยนผงพิษหนึ่งกำมือใส่ผู้คนนับสิบที่ล้อมรอบนาง และฉวยโอกาสจากความโกลาหล ลากซือม่อเฟยหนีไป
“คิดจะหนีหรือ ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
ผู้นำตระกูลไปหลี่หัวเราะเยาะ เขารวบรวมกำลังภายในไว้ที่ฝ่ามือ และซัดฝ่ามือใส่กู้ชูหน่วนที่อยู่ไกลออกไปอย่างดุเดือด
กู้ชูหน่วนคิดไว้แล้วว่าพวกเขาไม่มีทางปล่อยนางไปง่าย ๆ
นางเอามือขวาผลักจอมมารและกล่าวว่า “ไป รีบไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
จากนั้นก็ซัดฝ่ามือใส่ผู้นำตระกูลไป๋หลี่อย่างแรง
เมื่อต้องเผชิญกับผู้ที่แข็งแกร่ง นางก็รู้ว่าการหลบหลีกนั้นไร้ประโยชน์ ด้วยแรงฝ่ามือของผู้นำตระกูลไป๋หลี่ จะต้องขัดขวางการล่าถอยของนางอย่างแน่นอน สู้ต่อสู้เสียจะดีกว่า
เมื่อทั้งสองฝ่ามือปะทะกัน กู้ชูหน่วนก็โซซัดโซเซ แม้ว่าจะไม่ได้ล้มลง แต่ก็มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของนาง
“หญิงผู้นี้เป็นใครกันแน่ ถึงสามารถรับกระบวนท่าที่แข็งแกร่งของผู้นำตระกูลไป๋หลี่ได้”
“ใครจะไปรู้ว่านางเป็นใคร ไม่ต้องพูดถึงว่านางเป็นพวกเดียวกับปีศาจร้าย หรือต่อให้ไม่ใช่ ถึงอย่างไรนางก็ฆ่าผู้อาวุโสของตระกูลไป๋หลี่ นางก็ต้องตายเช่นกัน”
“กล้าเป็นปฏิปักษ์กับผู้คนทั่วทั้งใต้หล้า ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
“ใช่ เหมือนกับนางชั่วตระกูลมู่ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
“……”
ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างวิพากษ์วิจารณ์ และเฝ้าดูความครึกครื้น
จอมมารจับมือของกู้ชูหน่วน เขาส่ายหัวอย่างแน่วแน่ แล้วเดินไปพร้อมกับนาง “พี่หญิงไม่ไป อาม่อก็ไม่ไป อาม่อจะอยู่กับพี่หญิงตลอดไป”
กู้ชูหน่วนเช็ดเลือดที่มุมปากของตัวเอง นางชายตามองฝูงชน และหันไปมองคนสองคนที่จักรพรรดินีส่งให้มาคุ้มกันนาง
“จั่นเฟิง จั่นอวิ๋น พวกเจ้าสองคนพาอาม่อหนีไปก่อน บอกนายท่านว่าต่อให้ต้องสละชีวิต ข้าก็จะทำให้ตามที่นายท่านสั่งให้สำเร็จ”
จั่นเฟิงและจั่นอวิ๋น องครักษ์ทั้งสองคนตกตะลึง
ฝ่าบาทเพียงแค่ให้นางควักดวงตาของปีศาจร้ายออกมา ไม่ได้ให้นางพาคนที่ยังมีชีวิตอยู่กลับไป
อีกอย่าง……
เกี่ยวกับอะไรกับพวกเขาด้วย?
ทำไมพวกเขาต้องมีส่วนร่วม?
พวกเขาเพียงแค่พานางมาส่งเท่านั้น?
เมื่อเห็นว่าทุกคนจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยความเกลียดชัง และบางคนถึงกับขว้างเคียวใส่พวกเขา
ดูเหมือนว่าจั่นเฟิงและจั่นอวิ๋นจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เข้าใจอะไรเลย
“ข้าบอกแล้วว่านางเป็นแค่เด็กโสโครกที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กล้าดีอย่างไรที่จะเป็นปฏิปักษ์กับผู้คนทั้งใต้หล้า ที่แท้นางก็มีคนหนุนหลัง ทุกคนฆ่าสองคนนั้นก่อน แล้วคอยจัดการกับนางเด็กโสโครกนั่น และต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังของนางเป็นใคร”
วรยุทธ์ของจั่นเฟิงและจั่นอวิ๋นนั้นแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะผู้คนจำนวนมากได้
จึงทำได้เพียงเป่านกหวีดเพื่อเรียกกลุ่มชายชุดดำที่สวมหน้ากากมา
สถานการณ์เปลี่ยนไปในทันที ความโกลาหลและเสียงการต่อสู้ดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน
ผู้คนต่างพากันงุนงง
ผู้คนเหล่านี้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง เอาพลังมาจากไหนกัน?
เหวินเส่าอี๋มองดูท่าทางที่คุ้นเคย จากนั้นก็มองไปยังคนที่เหมือนกันกับกู้ชูหน่วน
และเห็นว่านางกับกู้ชูหน่วนทับซ้อนกัน
วิธีการทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้ มีเพียงนางเท่านั้นที่ช่ำชอง
ตระกูลไป๋หลี่เริ่มสร้างค่ายกล โดยล้อมกู้ชูหน่วนและจอมมารไว้ตรงกลาง
ค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลไป๋หลี่ และมีอานุภาพที่แตกต่างไปจากค่ายกลอื่น ๆ แม้แต่ผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่ง เมื่อถูกขังอยู่ในค่ายกลก็ยากที่จะมีชีวิตรอด
ผู้นำตระกูลไป๋หลี่กล่าวว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้า บอกมาว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังในการช่วยเขาเป็นใคร แล้วข้าจะให้เจ้าตายด้วยอย่างไม่ทรมาน”
ท่านผู้เฒ่าหนิงอดไม่ได้ที่จะนิ่งเฉย จึงกล่าวเตือนว่า “แม่หนู ค่ายกลนี้ ต่อให้เป็นข้าก็ไม่สามารถทำลายได้ เจ้าบอกมาเถอะ เพียงแค่เจ้าไม่ขัดขืนและยอมให้ควบคุม บางทีข้าอาจจะช่วยชีวิตเจ้า”
จอมมารดึงแขนเสื้อของกู้ชูหน่วน และกระซิบว่า “พี่หญิง ค่ายกลง่ายมาก ข้ารู้ว่าจะทำลายมันได้อย่างไร”
ที่นี่มีผู้คนที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งมากมาย
ไม่ว่าเสียงของมารจะเบาเพียงใด พวกเขาก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ คนโง่คนหนึ่งจะรู้วิธีที่จะทำลายค่ายกลได้อย่างไร
ไม่มีใครใส่ใจคำพูดของจอมมาร
แม้แต่กู้ชูหน่วนก็ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถทำลายค่ายกลได้
นางรู้วิชาการสร้างค่ายกลอย่างลึกซึ้ง แต่ค่ายกลนี้ นางเห็นแล้วก็ปวดหัว
นางสามารถทำลายมันได้ แต่ต้องใช้เวลา อย่างเร็วที่สุดก็สองสามวัน
แล้วผู้คนในนิกายจะรอนางสองสามวันได้อย่างไร
วันนี้หากต้องการพาอาม่อจากไป ต้องเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดแน่นอน
“วันนี้ข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้น ๆ จากนั้นก็เผาปีศาจร้ายตนนี้เพื่อสังเวยใต้หล้า”
ไป๋หลี่อวิ๋นเย่ว์ยกมือขึ้น และผู้อาวุโสทั้งแปดของตระกูลไป๋หลี่รวมตัวกันสร้างค่ายกล
ค่ายกลทำให้ท้องฟ้าแปรปรวน ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ และมีฟ้าแลบฟ้าร้อง
มีกลิ่นอายของภัยอันตรายล่องลอยอยู่ในอากาศ
กู้ชูหน่วนตั้งสมาธิแน่วแน่ และหาวิธีที่จะทำลายค่ายกล
นางรู้สึกได้ถึงกระแสน้ำวนในค่ายกล และกระแสน้ำวนก็ค่อย ๆ ควบแน่น
เมื่อกระแสน้ำวนหมุนไปได้ระดับหนึ่ง กระแสน้ำวนก็อาจจะกลืนกินพวกเขา
“อาม่อ เจ้ากลัวหรือไม่?”
“ขอเพียงได้อยู่กับพี่หญิง อาม่อไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น”
จอมมารยังคงอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของนาง และแทบจะเอนกายลงไป
เขาถามอย่างไร้เดียงสาว่า “พี่หญิง ท่านต้องการชีวิตของพวกเขา หรือเพียงแค่ต้องการทำลายค่ายการของพวกเขา?”
“แน่นอนว่าต้องการชีวิตของพวกเขา”
“เช่นนั้นก็ง่ายดาย นั่น ท่านซัดฝ่ามือไปตรงนั้น แค่นี้พวกเขาก็ตายกันหมดแล้ว”
แม้ว่าเหตุการณ์จะวุ่นวาย แต่จั่นเฟิง จั่นอวิ๋น และคนอื่น ๆ ก็ร่วมกันต่อสู้กับผู้คนจากนิกายเหล่านั้น
แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้
เมื่อได้ยินคำพูดของจอมมาร ทุกคนก็ต่างคิดว่ามันไร้สาระ
แม้แต่ตระกูลไป๋หลี่ก็ยังดูถูกเหยียดหยามจอมมาร
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมบรรพบุรุษถึงได้กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าเมื่อพบผู้ที่มีนัยน์ตาต่างกัน จะต้องรีบกำจัดในทันที
ก็แค่คนโง่เขลาคนหนึ่ง
จะสร้างเรื่องเลวร้ายอะไรได้?
หากค่ายกลคุ้มกันของตระกูลไป๋หลี่ทำลายได้ง่ายขนาดนั้น คงจะไม่ได้รับการสืบทอดมานานหลายปี
เหวินเส่าอี๋มองไปที่จอมมาร เขาทำท่าเหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่
พลังของจอมมารนั้นไม่ธรรมดา
และฝีมือการสร้างค่ายกลของเขาก็ยากที่จะหาผู้ใดเปรียบ
ที่ที่เขาชี้ไป บางทีอาจจะสามารถทำลายค่ายกลได้จริง ๆ
กู้ชูหน่วนยิ้มและกล่าวว่า “ได้ อาม่อบอกว่าให้โจมตีไปที่นั่น ข้าก็จะโจมตีไปที่นั่น”
เดิมทีกู้ชูหน่วนก็ไม่เชื่อ แต่ค่ายกลนี้ซับซ้อนมากเกินไป และผู้คนที่สร้างค่ายกลนี้ก็แข็งแกร่งมาก ในตอนนี้นางไม่สามารถหาวิธีที่จะทำลายค่ายกลได้ และไม่สามารถเป็น ปลาที่รอถูกเชือดได้
ดังนั้นจึงโจมตีไปยังจุดที่จอมมารชี้ด้วยกำลังทั้งหมด
“ตูม……”
“ตูม……”
“อัก……”
“อัก……”
เสียงกระอักเลือดดังขึ้น
ค่ายกลถูกทำลายลงในทันที
ไม่เพียงแต่ค่ายกลจะถูกทำลาย แต่ผู้อาวุโสทั้งแปดที่สร้างค่ายกลก็เสียชีวิตในทันที อย่างไม่ทันได้กล่าวลา
ตกตะลึง
ผู้คนต่างตกตะลึง
ทำไมผู้อาวุโสสูงสุดทั้งแปดคน……ตายแล้ว……
หลายคนขยี้ตาและคิดว่ากำลังฝันอยู่
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ตระกูลไป๋หลี่ได้สูญเสียผู้อาวุโสทั้งแปดคนไป สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นหายนะที่เกือบจะทำลายล้างพวกเขา
กู้ชูหน่วนจ้องมองไปที่กำปั้นของตัวเองอย่างงุนงง
แค่นี้ก็……ทำลายได้แล้ว……
นางมองไปที่ซือม่อเฟยที่ยิ้มอย่างไม่มีพิษมีภัยด้วยแววตาที่ดูสับสน และมีคำถามมากมายในใจที่อยากจะถาม แต่ไม่รู้ว่าจะถามอย่างไร
“ที่แท้เจ้าก็เป็นปีศาจร้ายจริง ๆ ทุกท่าน พวกท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่ เพียงแค่เขาเอ่ยปากก็สามารถฆ่าผู้อาวุโสทั้งแปดคนของตระกูลไป๋หลี่ได้ในทันที หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้ารัฐปิงจะต้องถูกทำลายด้วยมือของเขาอย่างแน่นอน”
เดิมทีทุกคนก็มีความตั้งใจที่จะฆ่าเขาอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้น
แม้แต่ท่านผู้เฒ่าหนิงก็มุ่งมั่นที่จะฆ่าเขาด้วยเช่นกัน
ผู้นำตระกูลไป๋หลี่กล่าวเสียงดังว่า “วันนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่ช่วยเขา ล้วนแต่เป็นศัตรูของพวกเราตระกูลไป๋หลี่ รวมถึงเป็นศัตรูของผู้คนทั่วทั้งใต้หล้า ข้าต้องการจะฆ่าเขา ยังมีใครสงสัยอะไรหรือไม่”
คำพูดนี้……
เขาเป็นปีศาจร้าย ใครจะกล้าขัดต่อใต้หล้าเพื่อไปช่วยเขา