กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 937
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 937
จากจำนวนคนเจ็ดคน ไปแล้วสี่คนในเวลาอันรวดเร็ว
และสามคนที่เหลือ กู้ชูหน่วนเพียงคนเดียวทำอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งสามไปได้
ผู้นำตระกูลไป๋หลี่กล่าว “ยังมีแผนการอะไรก็รีบแสดงออกมา ข้าอยากจะรู้เหลือเกินว่าใครจะสามารถช่วยเจ้าได้”
“ยังมีพวกข้า”
กู้ชูหน่วนยังไม่ทันจะพูดอะไร กระทิงเก้าเขา เจ้าสิงโตตัวน้อย งูจงอางและเหล่าสัตว์ร้ายวรยุทธ์ระดับสูงก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยเลือด และมีบาดแผลมากน้อยปะปนกันไป ซึ่งดูออกว่าพวกเขาผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมาแล้ว
ผู้อาวุโสสูงสุดหัวเราะเย้ยหยัน “พวกเจ้าน่ะหรือ? ก็แค่สิ่งมีชีวิตที่มีระดับวรยุทธ์ขั้นต่ำเท่านั้น”
กระทิงเก้าเขากล่าว “ต่อสู้กับพวกเจ้าสามคน เราก็อาจสู้ได้ก็จริง ฉะนั้นพวกข้าจะร่วมมือกันต่อสู้กับพวกเจ้าคนใดคนหนึ่ง”
“จองหอง อย่าบอกว่าพวกเจ้าต่างได้รับบาดเจ็บ ต่อให้พวกเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บ หากข้าคิดจะฆ่าพวกเจ้าก็ถือเป็นเรื่องง่ายเหมือนการพลิกฝ่ามือ ศิษย์พี่ ท่านผู้นำ สองคนนี้ยกให้เป็นหน้าที่ข้าจัดการเอง”
“ดี”
เมื่อเห็นกระทิงเก้าเขาและเหล่าสัตว์ร้ายกำลังจะพุ่งเข้าไปปะทะกับผู้อาวุโสสูงสุดคนนั้น กู้ชูหน่วนจึงได้กระซิบเตือน “ระวังตัวด้วย ตระกูลไป๋หลี่เชี่ยวชาญด้านการควบคุมสัตว์ร้าย ไม่แน่เขาอาจจะรู้วิชาการควบคุมสัตว์ร้ายก็ได้”
“วางใจได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเรามีกันเยอะเช่นนี้ จะยังไม่สามารถจัดการเขาคนเดียวได้ ข้าไม่มีทางเป็นอะไรหรอก แน่จริงเช่นนั้นเราก็ออกไปต่อสู้กันข้างนอก”
“ฮึ ก็ได้”
ควับๆๆ……
ผู้อาวุโสสูงสุด กระทิงเก้าเขาและคนอื่นๆ ต่างพากันจากไป เขตหวงห้ามที่กว้างขวางและยิ่งใหญ่เหลือเพียงกู้ชูหน่วน ผู้นำตระกูลไป๋หลี่และผู้อาวุโสสูงสุดไป๋หลี่หมิงเยียน
สายตาที่ผู้นำตระกูลไป๋หลี่มองไปยังกู้ชูหน่วน ราวกับมองเหยื่อที่กำลังจะถูกฆ่าตัวหนึ่ง
“ยังมีผู้ช่วยอะไรอีก เรียกออกมาให้หมดเลยเถอะ ไม่เช่นนั้น……”
“ไม่มีแล้ว เหลือเพียงข้าคนเดียว”
“เจ้าคนเดียวต่อสู้กับพวกข้าสองคนอย่างนั้นหรือ?”
“ทำไมหรือ ไม่ได้หรืออย่างไร?”
“เกินตัว ช่างไม่ดูกำลังของตัวเองเอาเสียเลย”
กู้ชูหน่วนติดกระดุมแขนเสื้อและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่
เพิ่งจะมีวรยุทธ์ระดับสี่ต่อสู้กับผู้มีวรยุทธ์ระดับห้าขั้นสูงสุดและผู้ที่น่าจะมีวรยุทธ์ไปถึงระดับหก ช่างถือเป็นการต่อสู้ที่ต้องแลกด้วยชีวิตอย่างไร้ข้อสงสัย
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อว่านางจะเป็นฝ่ายชนะ
แม้แต่นาง นางเองก็ไม่คิดว่าจะชนะ
นางอยากฆ่าไป๋หลี่ป้า
ต้องการจะทำลายตระกูลไป๋หลี่ทั้งหมดให้สิ้นซาก
ผู้นำตระกูลไป๋หลี่และไป๋หลี่หมิงเยียนยิ่งอยากจะฆ่านาง เพื่อแย่งชิงดวงวิญญาณดวงนั้นที่ควรจะเป็นของพวกเขา
ถึงขั้นที่……หาดวงวิญญาณได้มากขึ้น
ผู้นำตระกูลลไป่หลี่กล่าว “เพียงแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ข้าไม่กล้าให้ท่านลงมือหรอก ให้เป็นหน้าที่ของข้าจัดการนางเถอะ”
ไป๋หลี่หมิงเยียนพยักหน้า
วรยุทธ์เพียงระดับสี่ เขาไม่ให้ความสำคัญหรือเกรงกลัวเลย แม้ว่าความสามารถของนางจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ไม่สามารถกระตุ้นอะไรเขาได้
และหากไป๋หลี่ป้ายังไม่สามารถต่อสู้จัดการกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กเพียงคนเดียวได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่ควรเป็นผู้นำอีกต่อไปแล้ว
“นางเด็กน้อย ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย นำดวงวิญญาณและดอกบัวศักดิ์สิทธิ์หลากสีออกมา ไม่เช่นนั้นข้าสาบานได้ว่าเจ้าต้องเสียใจอย่างมากที่เกิดมาบนโลกใบนี้”
ไป๋หลี่หมิงเยียนดวงตาเปล่งประกาย เมื่อได้ยินดอกบัวศักดิ์สิทธิ์หลากสี ราวกับมีความสนอกสนใจต่อดอกบัวศักดิ์สิทธิ์หลากสีอย่างมาก
“ชีวิตนี้ข้าเกลียดเหลือเกินผู้ที่เอาแต่ข่มขู่ข้า และคำพูดข่มขู่ของคนตระกูลไป๋หลี่อย่างพวกเจ้าก็ไร้ค่าและไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว”
กู้ชูหน่วนกางฝ่ามือ จากนั้นขลุ่ยหยกสีเขียวก็ได้ปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือของนาง
ไม่รู้ว่าขลุ่ยหยกทำมาจากอะไร ซึ่งทำให้มีกลิ่นอายและรัศมีของดวงวิญญาณ
ความโลภฉายแววขึ้นมาในแววตาของผู้นำตระกูลไป๋หลี่
“นางเด็กน้อย ของล้ำค่าของเจ้ามีไม่น้อยทีเดียว”
ไป๋หลี่หมิงเยียนมองไปยังขลุ่ยหยก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยและความสับสน และแอบรู้สึกว่าขลุ่ยหยกนี้มีอะไรผิดปกติ
ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านและตะโกนออกไป “ระวัง”
การตอบสนองของไป๋หลี่หมิงเยียนนั้นรวดเร็ว
แต่ไม่ว่าเขาเร็วมากเพียงใดก็ช้าไปเสียแล้ว
และเห็นเพียงกู้ชูหน่วนยกขลุ่ยหยกขึ้นและครอบไปยังผู้นำตระกูลไป๋หลี่
ขลุ่ยหยกก่อตัวเป็นชั้นเกราะขึ้นในอากาศ และปกคลุมไป๋หลี่ป้าทันที
เมื่อไป๋หลี่ป้าได้ยินคำพูดของไป๋หลี่หมิงเยียนก็รู้สึกได้ถึงความไม่ปกติ เขาจึงใช้หมัดของเขาเพื่อทุบทำลายชั้นเกราะที่อยู่ในอากาศ เพื่อต้องการจะหลุดออกไป แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถเปิดออกได้
ประมาทไปแล้ว……
เขาประมาทเกินไปแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่าขลุ่ยหยกอันเล็กนั้นจะมีพลังการต่อสู้ได้มากเช่นนี้
ไป๋หลี่หมิงเยียนทำสีหน้าบูดบึ้งและกล่าวด้วยความเจ็บใจ “ขลุ่ยหยกนี้มีรัศมีของยอดฝีมือวรยุทธ์ระดับเจ็ดเชียวหรือ เจ้าเด็กน้อย เจ้าเอาขลุ่ยหยกนี้มาจากที่ใด? และเจ้ารู้วิธีควบคุมขลุ่ยหยกนี้ได้อย่างไร?”
“เรื่องนี้ข้าคงไม่จำเป็นต้องบอกพวกเจ้ากระมัง”
นางรู้ว่าขลุ่ยหยกสามารถปกป้องคุ้มครองนางได้
แต่นางก็เพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ ว่าขลุ่ยหยกนี้เต็มไปด้วยพลังมหาศาลและอาคมค่ายกล
และด้วยเหตุนี้เอง นางบุกเข้ามายังตระกูลไป๋หลี่นางของนางจึงพอมีทางได้รับชัยชนะขึ้นมา
ไป๋หลี่หมิงเยียนรู้สึกเกิดความสนใจในตัวของกู้ชูหน่วนขึ้นมา ความสนใจนี้ไม่ใช่เพียงเพราะดวงวิญญาณนั้น
เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มุมปากของเขาเผยให้เห็นความชั่วร้าย “ดูไปแล้วตัวตนของเจ้าช่างลึกลับซับซ้อนไม่น้อยเลยทีเดียว”
“ทำไมหรือ เจ้าต้องการใช้อาคมลับของตระกูลไป๋หลี่ของพวกเจ้า เพื่อขุดค้นเอาความทรงจำในหัวของข้าอย่างนั้นหรือ?”
กู้ชูหน่วนกำลังเล่นกับขลุ่ยหยกในมือ แม้ว่าผู้ที่ยืนอยู่หน้านางตรงนี้จะเป็นยอดฝีมือวรยุทธ์ระดับหกก็ตาม นางกลับไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางหวาดกลัวแต่อย่างใด ทว่านางรู้สึกเพียงแค่เคร่งขรึมอย่างมาก
ในขลุ่ยหยกเขียวนี้มีพลังงานของยอดฝีมือวรยุทธ์ระดับเจ็ดหลงเหลืออยู่
ทว่าเวลาผ่านไปหลายปี ประกอบกับเป็นเพียงส่วนที่หลงเหลืออยู่ แต่กลับยังสามารถปกคลุมผู้นำตระกูลไป๋หลี่ได้ สามารถปกคลุมยอดฝีมือวรยุทธ์ระดับหกขั้นสูงสุดคนนี้ได้ เช่นนั้นนับเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างมาก
การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่นี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการกำจัดยอดฝีมือวรยุทธ์ระดับหกขั้นสูงสุดที่อยู่ตรงหน้านี้ทิ้งเสีย มีเพียงการกำจัดเขาได้เท่านั้น ถึงจะสามารถทำลายล้างตระกูลไป๋หลี่ลงได้
“นั่นถือเป็นเกียรติของเจ้า”
ไป๋หลี่หมิงเยียนหัวเราะเย้ยหยัน ฝ่ามือของเขายกขึ้นมากระตุ้นกำลังภายในและดูดกู้ชูหน่วนเข้าไป
กู้ชูหน่วนขัดขืนตามสัญชาตญาณ นางใช้พลังร่วงพวงกาเพื่อทำให้ร่างกายของนางมั่นคง
แต่ความต่างของพละกำลังนั้นห่างกันอย่างมาก แม้ว่ากู้ชูหน่วนจะพยายามใช้พลังทั้งหมดที่มี แต่ก็ยากที่จะสร้างความมั่นคงได้
เมื่อเห็นว่าเกือบจะถูกเขาดูดเข้าไปแล้ว กู้ชูหน่วนจึงยอมแพ้ และปล่อยให้เขาเพิ่มความเร็วตามอำเภอใจ
“ชิ้ว……”
กู้ชูหน่วนยกฝ่ามือขึ้นในขณะที่กำลังจะเข้าใกล้ไป๋หลี่หมิงเยียน จากนั้นเข็มดอกสาลี่พายุฝนก็พุ่งออกไป
ดินแดนวิญญาณเยือกแข็งนี้ไม่มีเข็มดอกสาลี่พายุฝน ในฐานะที่ไป๋หลี่หมิงเยียนคือยอดฝีมือวรยุทธ์ระดับหก เหตุใดถึงไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความอันตรายนี้
เขาหลบและยังคงหลบ แต่เข็มดอกสาลี่พายุฝนกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้น หากไม่ใช่เพราะเขาเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็ว เช่นนั้นเกรงว่าคงถูกเข็มดอกสาลี่พายุฝนกำจัดไปนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม……
หลังจากเข็มดอกสาลี่ผ่านไปแล้ว กู้ชูหน่วนได้ยกปลายนิ้วขึ้น และมีลูกดอกยิงออกไปอีกจำนวนหนึ่ง
แม้ว่าความเร็วของนางจะเร็วมากและแม่นยำ ทำให้ปิดทางหนีของเขาไปได้หมด และสามารถทำให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างเข็มดอกสาลี่พายุฝนได้เป็นอย่างดี
แต่เข็มดอกสาลี่ไม่ดีพอสำหรับกู้ชูหน่วน นับประสาอะไรกับลูกดอกบิน
ไป๋หลี่หมิงเยียนสะบัดแขนเสื้อและโยนลูกดอกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
และในเวลานี้เอง ลูกดอกหนึ่งอันได้เปลี่ยนเป็นลูกดอกเจ็ดอัน โดยมีอันใหญ่ปกคลุมอันเล็กอยู่ และอาวุธลับที่อยู่ในลูกดอกอันเล็กก็ได้พุ่งจู่โจมไปที่ไป๋หลี่หมิงเยียน
เพียงชั่วพริบตา ร่างกายของไป๋หลี่หมิงเยียนกลับเต็มไปด้วยบาดแผลที่ถูกเปิดเผยขึ้น
ไป๋หลี่หมิงเยียนยังคงหัวเราะเย้ยหยันอย่างเยือกเย็น “แม้ว่าอาวุธลับของเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่เพียงแค่อาวุธลับจำนวนเท่านั้นก็สามารถฆ่าข้าได้ ไม่คิดว่าเป็นเรื่องไร้เดียงสาเกินไปหน่อยหรือ”
“จริงหรือ”
กู้ชูหน่วนกำหมัดแน่น
และกลับเห็นลูกดอกบิยของไป๋หลี่หมิงเยียนกลายเป็นฝุ่นผงไปในชั่วพริบตา
ฝุ่นผงไร้กลิ่นและสี มีลมอ่อนพัดผ่าน และถูกสูดเข้าไปในจมูกของไป๋หลี่หมิงเยียน
และจู่ๆ ไป๋หลี่หมิงเยียนก็พูดขึ้นมา “ดูไม่ออกเลยว่า เจ้าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ อาวุธลับทั้งหมด รวมไปถึงผงพิษนั่น ล้วนต่างก็ถูกปล่อยออกมาอย่างเงียบๆ”
“ชมกันเกินไปแล้ว”
กระบวนท่านี้นางคิดค้นศึกษาอยู่นาน ผงพิษนี้ถือเป็นผงพิษที่ร้ายแรงที่สุดที่นางผสมขึ้นมาได้ ณ ดินแดนวิญญาณเยือกแข็งแห่งนี้ ซึ่งก็เพื่อที่จะสามารถฆ่าและทำลายไป๋หลี่หมิงเยียนได้ในเวลานี้
แต่นางรู้ดีว่า ไป๋หลี่หมิงเยียนไม่มีทางตายด้วยกลอุบายที่นางส้รางไว้อย่างง่ายดายเช่นนั้น
แต่นางก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า หลังจากที่ไป๋หลี่หมิงเยียนรุ้สึกประหลาดใจในตัวนางแล้ว เขาได้เผาผลาญพลังภายในและปลดปล่อยกระแสคลื่นไหลเวียนอันแข็งแกร่งออกมา ทำให้สามารถขับพิษทั้งหมดออกมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว
เมื่อเป็นเช่นนั้น ไป๋หลี่หมิงเยียนก็ถือเป็นบุคคลที่น่านับถือในความสามารถเช่นกัน