กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 941
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 941
ไป๋หลี่หมิงเยียนกล่าวว่า “หากว่าข้าอยู่ภายใต้อาการได้รับบาดเจ็บสาหัสจะไม่มีวันทุ่มสุดกำลังกับขั้นสูงสุดระดับหกอีกผู้หนึ่ง”
เป็นขั้นสูงสุดระดับหกเช่นเดียวกัน หากฝ่ายหนึ่งได้รับบาดเจ็บงั้นอีกฝ่ายหนึ่งก็มีโอกาสเอาชนะได้สูงมาก
ยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วจะไม่เผชิญหน้ากับผู้ที่มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับตนหรืว่าแข็งแกร่งกว่าตนเองโดยง่ายดาย
ต้องรู้ว่าทั่วทั้งดินแดนวิญญาณเยือกแข็ง ยอดฝีมือขั้นสูงสุดระดับหกสามารถนับจากนิ้วออกมาได้หมด
ต้องการไปให้ถึงยังขั้นจสูงสุดระดับหกช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียจริงๆ
เหวินเส่าอี๋หยิบฉินหิมะตรงด้านหลังออกมาแล้วยิ้มอย่างอบอุ่น “ผู้อาวุโสไป๋หลี่ได้โปรดสั่งสอนข้าด้วย”
“บึ้ม……”
ไม่เห็นว่าพวกเขาเคลื่อนไหวอย่างไร ก้อนหินโดยรอบได้ระเบิดออกมาทีละก้อนๆ
หมอกดำปกคลุมอยู่ในอากาศอีกครั้งและก่อตัวเป็นหัวกระโหลกทีละหัวๆเต็มไปทั่วค่อยๆกัดเซาะเหวินเส่าอี๋
เหวินเส่าอี๋นั่งอยู่บนพื้นเล่นฉินด้วยมืออันสวยงาม จังหวะเสียงอันไพเราะได้ล้อมพื้นที่ทั้งเขตหวงห้ามไว้
ตามเสียงฉินที่ดังขึ้นแสงสีขาวราวหิมะลำแสงหนึ่งได้พัดพาก้อนเมฆให้เกิดเป็นหมอก และทำให้หมอกดำกลายรูปกลายร่างเป็นหัวกะโหลกพัดกระจัดกระจายกันออกไป
กู้ชูหน่วนมีอาการปวดศีรษะราวจะแตกออก ไหนเลยจะใส่ใจว่าพวกเขาต่อสู้กันอย่างไร นางหยิบปิ่นปักผมอันหนึ่งออกจากมวยผมแล้วกรีดข้อมือของตนเองอย่างเด็ดเดี่ยว
ข้อมือถูกกรีดออกแล้วเลือดที่ไหลออกมาจากภายในล้วนเป็นสีดำ
กู้ชูหน่วนคลำบนร่างกายและพบเข็มเงินไม่กี่เล่ม นางใช้เข็มเงินสกัดจุดปราณหลายจุดในร่างกายของตน พยายามบังคับโลหิตพิษให้ออกจากร่างกายให้มากที่สุด
ซือม่อเฟยกล่าวด้วยความสับสนว่า “ท่านผู้เฒ่าผู้นั้นคงจะมิใช่เป็นผู้ที่มีพิษผู้หนึ่งหรอกนะ เหตุใดเขาเพียงแค่เขาทำร้ายท่านจนบาดเจ็บ ร่างกายภายในของท่านก็เต็มไปด้วยพิษ”
กู้ชูหน่วนพยักหน้าอย่างอ่อนแรง
หากมิใช่ว่านางชำนาญการใช้พิษและร่างกายนี้ก็ได้กินยาอายุวัฒนะไปมากมายจนพิษแทบจะไม่สามารถซึมเข้าไปได้ ไม่เช่นนั้นนางไม่กล้าที่จะจินตนาการเลย
พิษของเขาค่อนข้างฉลาดล้ำลึกและเกือบจะรวมเป็นหนึ่งเข้ากับร่างของเขา
โดยทั่วไปแล้วไม่มีทางที่จะสามารถสังเกตได้ เมื่อถึงเวลาที่สังเกตเห็นก็สายเกินไปเสียแล้ว
อุณหภูมิในอากาศได้ลดลงในทันใด น้ำค้างในป่าโดยรอบบริเวณเขตหวงห้ามได้ลอยขึ้นทีละหยดๆและวนเวียนหมุนไปมาราวกับกำลังเต้นระบำทำให้อากาศบริสุทธิ์
ดูเหมือนว่าเหวินเส่าอี๋ก็สังเกตเห็นพิษที่ไป๋หลี่หมิงเยียนมีอยู่ในตัว
หมอกดำและหยดน้ำค้างเป็นแนวนอนและแนวขวางประสานกันโดยที่ต่างก็ไม่ยอมให้กันและต่อสู้กันพัลวัน
ไป๋หลี่หมิงเยียนยืนอยู่ทางด้านซ้ายโดยที่หมอกสีดำจากหน้าท้องของเขาแผ่กระจายออกมาทีละส่วนๆกระจัดกระจายไปทั่ว
หมอกดำทุกหยดล้วนแฝงด้วยลมหายใจของผู้ที่สิ้นลมไป
ต้นไม้โดยรอบเขตหวงต้องห้ามสัมผัสกับหมอกดำจนต่างเหี่ยวเฉาไป
ส่วนเหวินเส่าอี๋ยังคงนั่งขัดสมาธิดังเดิมโดยที่เล่นฉินด้วยมืออันงดงาม เมื่อมองดูท่าทางดำดิ่งของเขาซึ่งดูไม่เหมือนว่ากำลังสู้รบอยู่ แต่เสมือนเล่นฉินอยู่ในป่าอย่างสบายๆโดยที่รื่นเริงบันเทิงอยู่เอง
“ตูมตาม…… ”
หลังจากที่หยดน้ำค้างกับหมอกดำบรรจบกัน ท้องฟ้าครู่หนึ่งก็ผ่านเมฆจนเห็นหมอกซึ่งท้องฟ้าปลอดโปร่งสดใสนัก
ครู่เดียวเมฆดำก็ม้วนตัวและกลายเป็นยามค่ำคืน
เป็นซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าวนเวียนแล้วกี่รอบกัน
พวกเขาดูสงบนิ่ง แต่กู้ชูหน่วนรู้ว่าหากว่ามีฝ่ายใดทนไม่ไหวนั่นอาจจะไม่ใช่แค่ความพ่ายแพ้ แม้กระทั่งว่าอาจจะสิ้นลมหายใจไปด้วยเหตุนี้
คนธรรมดาทั่วไปต่อให้สู้รบกันเช่นไรก็ไม่สามารถควบคุมสภาพอากาศได้
ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ท้องฟ้าแจ่มใสก็แจ่มใสขึ้นเลย ต้องการทำให้ท้องฟ้ามืดมนและมืดมนไปเลย
โลหิตพิษถูกบีบออกพอประมาณแล้วกู้ชูหน่วนถึงได้สามารถเพิ่มพลังปราณแท้จริงได้เล็กน้อย
นางรีบใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาสำคัญนี้เคลื่อนวรยุทธ์รักษาอาการบาดเจ็บ
ซือม่อเฟยยืนคุ้มกันอยู่ข้างนางอย่างเชื่อฟังและปกป้องนางอยู่
อุณหภูมิเย็นลงชั่วขณะ เย็นจนนางร่างกายสั่นเทา
ครู่หนึ่งก็แปลเปลี่ยนเป็นมืดมนและน่าหงุดหงิด แทบอยากจะหยิบมีดขึ้นมาฆ่าฟันผู้คนอย่างดุเดือด
ได้รับผลกระทบจากพวกเขาอาการบาดเจ็บของกู้ชูหน่วนฟื้นตัวได้ชักช้านัก แม้กระทั่งเนื่องจากการสู้รบของพวกเขาร่างกายของนางนั้นถูกแช่เป็นน้ำแข็ง หนาวจนทั้งร่างเกิดเป็นหมอกน้ำแข็งขึ้นจึงไม่สามารถดึงลมปราณมารักษาอาการบาดเจ็บได้อีก
ครูด……
สองคนนี้ไปต่อสู้กันให้ไกลก่อนได้หรือไม่ ต่อสู้กันที่นี่อันใดกัน
ขณะที่เลือดของนางหนาวจนกำลังจะแข็งตัว ข้างหูก็ได้เกิดเสียงบึมดังสนั่นขึ้น ความรู้สึกหนาวเย็นได้หายไปไร้ซึ่งร่องรอย
เมื่อลืมตาขึ้นถึงเห็นว่าปากของเหวินเส่าอี๋ปรากฏเลือดไหลออกมาพร้อมกับใบหน้าซีดเซียวมากกว่าเมื่อครู่นี้
เพียงแต่จากร่างกายของเขานางยังคงมองไม่เห็นความทนทุกข์อันใด
เพียงเห็นเขาวางฉินหิมะลงและยกแขนเสื้อขึ้น และเห็นว่าแขนของเขาเต็มไปด้วยหมอกดำแห่งความชั่วร้ายเป็นก้อนๆ
หมอกดำหนาแน่นราวกับแมลง ได้คลานไปมาจนแทบจะปกคลุมไปทั่วทั้งร่างของเขา
เพียงแต่ว่าขณะที่หมอกดำปกคลุมต้นแขนก็ถูกขัดขวางเอาไว้ ไม่ว่าจะลุยไปอย่างไรก็ไม่สามารถลุยเข้าไปได้
เหวินเส่าอี๋เขา…
ถูกยาพิษเสียแล้ว……
ไป๋หลี่หมิงเยียนยิ้มแล้วกล่าวว่า “หากว่าเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บข้าก็คงจะกลัวเจ้านัก น่าเสียดาย…… หึ……”
เหวินเส่าอี๋พยายามหลายครั้งก็ไม่สามารถบังคับหมอกพิษให้ออกมาได้ ดังนั้นจึงวางแขนเสื้อลงแล้วเงยศีรษะขึ้นช้าๆแล้วมองไปยังไป๋หลี่หมิงเยียน
“วิธีวางยาพิษของผู้อาวุโสไป๋หลี่นั้นช่างเยี่ยมยอดนัก สามารถเปลี่ยนสิ่งไร้รูปร่างให้กลายเป็นสารได้ ข้าน้อยได้ความรู้มากขึ้นแล้ว”
“หากผู้นำตระกูลเหวินถอนตัวในเวลานี้และรับประกันว่าจะไม่มีส่วนร่วมในเรื่องราวของตระกูลไป๋หลี่และแม่หนูคนนี้และก็ไม่ชิงดวงวิญญาณอีก ข้าสามารถแสร้งทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นและก็สามารถให้ยาถอนพิษแก่เจ้าได้”
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีของผู้อาวุโสไป๋หลี่ น่าเสียดายที่ดวงวิญญาณนี้ข้าต้องเอามาให้ได้อย่างแน่นอน วงแหวนอวกาศและปี่หยกข้าก็ต้องจำเอามาให้ได้เป็นแน่”
“หากว่าเป็นเช่นนี้งั้นก็อย่าโทษข้าที่โหดเหี้ยมเลยนะ”
หน้าตาของไป๋หลี่หมิงเยียนเหี้ยมโหดโดยมือขวาบีบทีหนึ่ง แมลงสีดำแน่นขนัดในมือของเหวินเส่าอี๋ดูเหมือนว่าจะระเบิดออกมาจากร่าง
ขณะที่แมลงสีดำยังคงดิ้นรนไม่หยุด เหวินเส่าอี๋ก็ขมวดคิ้วราวกับว่าต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดมหาศาล
ไม่เพียงแต่แขนและบนร่างกายของเขาเท่านั้น แม้แต่ใบหน้าก็มีแมลงสีดำคืบคลานอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
ซือม่อเฟยหวาดกลัวจนกอดกู้ชูหน่วนเอาไว้
“ช่างน่ากลัวนัก ในร่างกายของเขาเหตุใดถึงเป็นแมลงสีดำเต็มไปหมด พี่หญิง ข้ากลัว”
ร่างกายอันอ่อนแรงของกู้ชูหน่วนเกือบจะถูกเขาโถมเข้าใส่จนล้ม
นางสงสัยจริงจังว่าชายผู้นี้จงใจกระทำ
เขาก็แค่ต้องการแต๊ะอั๋ง
นั่นเป็นแมลงที่ควบแน่นด้วยพิษรุนแรง เพียงแค่ตัวเดียวก็สามารถทำให้คนมีชีวิตแย่ยิ่งกว่าตาย นางนึกไม่ออกเลยว่าในร่างกายของเหวินเส่าอี๋มีแมลงจำนวนมากมายเช่นนี้แล้วจะเจ็บปวดทรมานมากมายเพียงใด
ไม่ว่าเขาจะต่อต้านอย่างไรก็ไม่สามารถต้านทานแมลงสีดำแนน่นขนัดที่กัดเซาะร่างกายของเขาได้
แต่กระบวนท่าที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าของไป๋หลี่หมิงเยียนได้มาถึงแล้ว
เขาโจมตีอย่างโหดเหี้ยมทุกกระบวนท่าเพื่อจัดการเหวินเส่าอี๋ให้ตาย
เหวินเส่าอี๋ทำได้เพียงฝืนทนความเจ็บปวดและเล่นฉินอีกครั้งเท่านั้น
หากว่าทั้งสองคนล้วนยังหลงเหลือขีดจำกัดแม้เพียงเล็กน้อย เช่นนั้นในครานี้การเคลื่อนไหวกระบวนท่าใดๆของทั้งสองคนก็เพียงพอแล้วที่จัดการชีวิตผู้อื่นให้ไปยังปรโลกได้
ลมหนาวพัดเข้ามาอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงฉินที่ดังขึ้น หยดน้ำค้างได้ระเบิดออกมาทีละดวงๆราวกับเทพธิดาโปรยบุปผา ผ่านหมอกสีดำและผ่านก้อนหินใหญ่แล้วยิงไปยังไป๋หลี่หมิงเยียน
ไป๋หลี่หมิงเยียนฮึ่มเย็นชาเสียงหนึ่ง ใช้กำลังภายในสร้างเกราะป้องกันรูปร่างหนึ่งโดยรอบตนเองเพื่อขวางกั้นน้ำค้างเหล่านั้น
หยดน้ำค้างดูเหมือนขนาดเล็กแต่กลับทรงพลังนัก เกราะป้องกันของไป๋หลี่หมิงเยียนถูกน้ำค้างเจาะเป็นรูเล็กทีละรูๆ
กู้ชูหน่วนรู้สึกตกใจอยู่บ้าง
สองคนนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เพียงแค่ต้องการสังหารนางแม้ว่านางจะมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีโอกาสที่จะมีชีวิตรอดชนะไปได้
ผู้นำตระกูลไป๋หลี่ยิ่งตื่นตกใจยิ่งกว่า
เขารู้ว่าความแข็งแกร่งของขั้นสูงสุดระดับหกนั้นร้ายกาจนัก
เพียงแต่ว่าเขาคิดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้
น้ำค้างที่ดูเหมือนไม่อยู่ในสายตากลับสามารถทะลุผ่านก้อนหินขนาดใหญ่ได้ นี่ต้องมีกำลังภายที่แข็งแกร่งเพียงใดกันนะ?
ส่วนเขา…..
ดูเหมือนจะอายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆ…..
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกวิทยายุทธที่ตนเองภาคภูมิใจที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาไม่ควรค่าที่จะเอ่ยถึงเลย
แม้แต่ไป๋หลี่หมิงเยียนก็ยังตกตะลึง
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วยังถูกพิษรุนแรงที่มีแค่หนึ่งไม่มีสองได้ แล้วยังสามารถใช้พลังอันทรงพลานุภาพเช่นนี้ได้
หากว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นเขายังจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาอยู่อีกหรือ?