ขยะแห่งตระกูลเคานต์ Trash of the Count’s Family - ตอนที่ 194.1
บทที่ 194 ทำลายมัน! 3 (1)
ข้อความของคาร์ลถูกส่งออกไปพร้อมกับพระอาทิตย์กลางฤดูหนาวขึ้นสู่กลางยอดฟ้า
<‘พันธมิตรไร้พ่ายของเราขอประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเข้ายึดครองดินแดนที่ไม่ถูกแช่แข็งอย่างเปิดเผยและยุติธรรม!’ >
พันธมิตรทางตอนเหนือทั้งสามอาณาจักร เผ่าหมีและเผ่าคนแคระไฟ รวมตัวกันในชื่อ ‘พันธมิตรไร้พ่าย’ ข้อมูลนี้ทำให้ช่วงปลายฤดูหนาวของทวีปตะวันตกร้อนแรงกว่าที่เคยเป็นมา
ปี๊บบบบบบ!!!!
อุปกรณ์เวทย์สื่อสารยังคงดังเป็นระยะๆเนื่องจากมีคนส่งสัญญาณเข้ามาไม่ขาดสายทำให้คาร์ลและองค์ชายเพ็นอยู่ฟังข้อความดังกล่าว
<จักรวรรดิขอแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและขอให้สันติสุขกลับคืนสู่ทวีปตะวันตกโดยเร็ว!!>
บรรยากาศภายในกระโจมไม่ค่อยดีนัก
‘จักรวรรดิต้องการสันติสุขอย่างนั้นรึ?’
“ช่างน่ารังเกียจเสียจริง!”
หลายๆคนถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินความเห็นของคาร์ลแต่ไม่มีใครคิดที่จะพูดหรือแสดงอาการอะไรออกมาเช่นกัน
‘ข้ารู้สึกว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอาจารย์อยู่’
เคานต์เอ็ทครอสรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างจากตัวคาร์ลราวกับเขากำลังเผชิญหน้ากับอาจารย์ผู้เคร่งขรึมอยู่
ปี๊บบบบบบ!!!!ปี๊บบบบบบ!!!!
สัญญาณยังถูกส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
<‘อาณาจักรคาโรจะดำเนินการปิดประมูลและปิดคาสิโนทั้งหมดลงชั่วคราว!’>
อาณาจักรคาโรเลือกที่จะหดหัวอยู่ในกระดอง
<‘ในนามของอาณาจักรทางตอนเหนือและอาณาจักรใกล้เคียงเราขอสนับสนุนคำประกาศของพันธมิตรไร้พ่าย!’>
อาณาจักรอื่นๆที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปและรัฐอิสระต่างๆซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงยืนยันที่จะสนับสนุนการทำงานของพันธมิตรไร้พ่าย
<‘อาณาเขตย่อยของจักรวรรดิและรัฐอิสระต่างๆไม่ขอฝักใฝ่ฝ่ายใด! พวกเราเห็นด้วยกับคำประกาศของจักรวรรดิ! ขอให้สันติภาพกลับคืนสู่ทวีปตะวันตกโดยเร็ว!’>
‘วุ่นวายชะมัด’
คาร์ลแสดงความคิดเห็นในใจสั้นๆก่อนจะลุกขึ้นยืน
ครืด!
เสียงเลื่อนเก้าอี้ของคาร์ลเรียกสติของทุกคนกลับคืนมา เคานต์เอ็ทครอสลุกขึ้นยืนและตั้งคำถามต่อคาร์ลทันที
“นายน้อยคาร์ล อาณาจักรโรมันรู้เรื่องเผ่าหมีและเผ่าคนแคระไฟมาก่อนหรือไม่?”
เคานต์เอ็ทครอสกำลังจะเอ่ยถามอย่างอื่นอีกแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นสายตาที่คาร์ลจ้องมา
~ มนุษย์?เจ้ารู้มาก่อนจริงเหรอ?! แต่ข้าว่าไม่น่าจะใช่! ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดีแม้ว่าจะชอบแกล้งทำตัวเป็นคนเลวก็ตาม! หากเรื่องนี้เจ้ารู้มาก่อนเจ้าก็ต้องบอกคนอื่นๆสิ! เฮ้อ…สงสัยข้าต้องพยายามทำงานให้หนักขึ้นแล้วล่ะ! จะได้รู้เรื่องต่างๆได้มากกว่านี้!~
คาร์ลไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมาเมื่อได้ยินเสียงเครียดๆของราอน นั่นเพราะเขารู้ตัวเองดีว่าเขาเป็นคนเลวเพียงใด ด้วยเหตุผลที่ว่าตัวเองเป็นคนเลวคาร์ลจึงไม่คิดจะบอกอะไรแก่เคานต์เอ็ทครอส เขาต้องการให้ท่านเคาน์ต์ผู้นี้ทำงานให้เขาก็เท่านั้น
คาร์ลถอนหายใจยาวเมื่อเห็นเคานต์เอ็ทครอสสะดุ้งโหยงหลังจากสบตาเข้ากับเขาก่อนจะเอ่ยตอบด้วยการสวมมาดขุนนางอีกครั้ง
“เราไม่ทราบหรอกขอรับ”
คำตอบสั้นๆแต่สะท้อนไปทั่วกระโจมหลังนี้
ทันใดนั้นเอง
พรึ่บ!
กระโจมถูกเปิดออกก่อนจะมีร่างหนึ่งเดินเข้ามา
“นายน้อยคาร์ล เกิดอะไรขึ้นรึ?”
ร่างของเสือขาวการ์ชานค่อยๆเดินเข้ามาในกระโจม เขายังไม่ทันได้กลับคืนร่างมนุษย์
‘เผ่าเสือ’และ‘เผ่าหมี’ คนในกระโจมเริ่มนึกถึงสองเผ่านี้ แสงแดดอ่อนๆเริ่มลอดเข้ามาจากหน้ากระโจมที่การ์ชานเดินผ่านเข้าไป อย่างไรก็ตามมีเพียงแค่คาร์ลเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในร่มเมื่อร่างอันใหญ่โตของเสือขาวการ์ชานหยุดยืนตรงหน้าเขา นั่นทำให้สีผมอันแดงสดของคาร์ลดูโดดเด่นขึ้นเมื่อตัดกับเงามืดจากร่างการ์ชาน
“นายน้อยคาร์ล เกิดอะไรขึ้นรึ?”
คาร์ลเริ่มตอบเมื่อเห็นว่าการ์ชานเอ่ยถามตนอีกครั้ง
“ไม่มีอะไรมากหรอก”
ปี๊บบบบบบ!!!!
น้ำเสียงของคาร์ลยังคงดูสงบเมื่อเอ่ยแทรกเสียงอุปกรณ์เวทย์สื่อสารที่ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“เราแค่ทำตามแผนเดิมของเราก็พอ”
จากนั้นเขาก็หันไปมององค์ชายเพ็น
“เราเองก็แข็งแกร่งเช่นกันพะย่ะค่ะ”
เพ็นเริ่มคิดถึงสิ่งที่เขาต้องทำทันทีที่ได้ยินคำพูดของคาร์ล
เดิมทีพันธมิตรทางฝ่ายพวกเขามีสี่อาณาจักรและหนึ่งเผ่าสัตว์อสูรแต่ตอนนี้พวกเขายังมีเผ่าเสือเพิ่มเข้ามา
แม้ว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่พวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอลง
นั่นหมายความว่าเขาต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด
ตอนนี้เขาคือตัวแทนของอาณาจักรเบร็คและมีอำนาจมากที่สุดในสถานที่แห่งนี้ องค์ชายเพ็นเริ่มพูดขึ้นทันที
“นักเวทย์ที่รับผิดชอบอุปกรณ์เวทย์สื่อสารให้บันทึกข้อความทั้งหมดเอาไว้และคอยรายงานสถานการณ์ปัจจุบันให้เราทราบเป็นระยะๆ …เคานต์เอ็ทครอส!”
“พ..พะย่ะค่ะ!?”
“ข้าได้ยินมาว่ายังมีระเบิดพลังเวทย์เหลืออยู่ ให้เริ่มดำเนินการใหม่อีกครั้ง..ทันที!”
เขาย้ำคำพูดของคาร์ลเมื่อก่อนหน้านี้
“พวกเราทุกคนจะพุ่งความสนใจไปที่งานของตัวเองเท่านั้น!”
องค์ชายเพ็นมองไปทางคาร์ล เขายังจำสิ่งที่โรสลินพี่สาวของตนบอกไว้ได้
‘เขาเป็นคนที่เจ้าสามารถเชื่อถือได้ ไม่สิ!? เขาเป็นคนที่เจ้าไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออะไรได้แค่เชื่อใจและทำตามเขาก็พอ’
สิ่งนี้ยังก้องอยู่ในหัวของเขาก่อนที่คาร์ลจะเอ่ยขึ้นมา
“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา”
เพ็นพยักหน้ารับและคาร์ลก็เดินออกจากกระโจมทันที เพ็นยังคงมองตามร่างของคาร์ลด้วยอาการสงบก่อนที่ร่างของคาร์ลจะหายลับไปกับแสงแดดที่ส่องเข้ามา เขาค่อยๆยกมือขึ้นมาลูบหน้าของตนเบาๆเมื่อเห็นว่าคาร์ลหายไปจากสายตาแล้ว
‘ข้ารู้สึกว่าตัวเองหายใจได้สะดวกสักที’
เพ็นสามารถสูดอากาศอันหนาวเหน็บในยามเช้าได้อย่างโล่งปอด ตอนนี้ความกดดันที่มาจากคาร์ลหายไปแล้ว อย่างไรก็ตามตรงข้ามกับอากาศที่หนาวเหน็บ หัวใจของเขากับร้อนเป็นไฟและเต้นรัวแรงขึ้น
ภาระอันหนักหน่วงที่จู่โจมเข้ามาอย่างกะทันหันและทำให้ใจร้อนเป็นไฟนี้เป็นความรู้สึกเดียวกันกับกระโจมที่สมาชิกของคาร์ลพักอยู่
อย่างไรก็ตามไม่มีการพูดคุยใดๆเกิดขึ้น
ก๊อก!ก๊อก!ก๊อก!ก๊อก!
คาร์ลกำลังเคาะนิ้วชี้ของตนไปยังพนักเก้าอี้ที่ตนนั่งอยู่อย่างใช้ความคิด
เขากำลังนึกถึงเนื้อหาในนิยายเรื่อง‘กำเนิดวีรบุรุษ’
<เผ่าหมีค่อนข้างฉลาดและเจ้าเล่ห์>
‘น่าหงุดหงิดชะมัด’
ในที่สุดคาร์ลก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง
เนื้อหาของนิยายเล่มที่ห้าจบลงแล้ว ทุกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้คืออนาคตที่คาร์ลไม่เคยรู้มาก่อน ความจริงดังกล่าวทำให้คาร์ลรู้สึกปวดหัวจนต้องยกมือขึ้นมากดขมับของตนเบาๆ
“มนุษย์! เจ้าปวดหัวงั้นรึ? เจ้าไม่สบายหรือเปล่า?”
มังกรดำบินอยู่รอบๆตัวคาร์ลด้วยความเป็นห่วง ราอนคลายเวทย์ล่องหนออกเพราะมีเพียงสมาชิกในกลุ่มของคาร์ลเท่านั้นที่อยู่ในกระโจมหลังนี้ การ์ชานนั่งพิจารณาบางอย่างอยู่เงียบๆและเอ่ยขึ้น
“เผ่าคนแคระไฟ? ข้าน้อยไม่เคยได้ยินเผ่านี้มาก่อน”
คาร์ลเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเช่นกัน แม้จะรู้จักมุลเลอร์ที่เป็นคนแคระมาบ้างแต่เขาก็เป็นเพียงครึ่งคนแคระครึ่งหนูเท่านั้น
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้คาร์ลวุ่นวายใจยิ่งนัก
คนแคระเป็นเผ่าพันธุ์ที่รู้จักกันทั่วไปว่าสามารถประดิษฐ์สิ่งต่างๆได้อย่างมีคุณภาพ เรื่องที่กวนใจคาร์ลอยู่ตอนนี้ค่อยๆไหลออกมาจากปากคาร์ล
“เพิ่มมากขึ้น..”
“ขอรับ?”
การ์ชานถามกลับเมื่อได้ยินคาร์ลพึมพำบางอย่างออกมา ทันใดนั้นคาร์ลก็รู้สึกว่าสมองของตัวเองสว่างวาบทันที
กองกำลังอัศวินไวย์เวิร์นและเรือหลายร้อยลำ
ถ้าคนแคระถูกเพิ่มเข้าไปในการนี้ การโจมตีของพันธมิตรทางตอนเหนือทั้งอากาศและทางน้ำจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
มันจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
คาร์ลมั่นใจว่ามีอีกอย่าง เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคิดอย่างนั้นเป็นเพราะเขารู้ความจริงของอัศวินผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักรพารัน
เขารู้ความจริงของทะเลสาบน้ำตาพระเจ้า อาณาจักรพารันไม่ชอบแม่น้ำที่ไหลทอดยาวเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตประชาชนทั่วทั้งทวีปแต่เปลี่ยนให้มันเป็นทะเลสาบเพื่อผูกขาดมันฝ่ายเดียว
‘อาณาจักรพารันไม่ใช่อาณาจักรที่เปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมและเปิดเผยอย่างที่พวกเขาแอบอ้าง’
คาร์ลเริ่มพูด
“เราจะกลับมาที่นี่โดยเร็วที่สุด”
“ขอรับ! ท่านคาร์ล”
เชวฮันตอบกลับอย่างมั่นใจ เชวฮันคือคนที่สงบที่สุดในกระโจมหลังนี้แต่ทันใดนั้นคิ้วของเขาก็ยกสูงขึ้นเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของคาร์ล
“ล็อก เจ้าคิดเรื่องนั้นหรือยัง?”
‘ล็อก? คิดเรื่องอะไรงั้นหรือ?’
เชวฮันหันไปมองล็อกทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ตนไม่เคยรู้มาก่อน เขาสังเกตเห็นล็อกมีท่าทางเคร่งเครียดมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ล็อกสะดุ้งเมื่อเห็นสายตาที่เชวฮันจ้องไปที่เขาก่อนจะก้มศีรษะลงทันที
แน่นอนว่าล็อกเข้าใจในสิ่งที่คาร์ลเอ่ยถาม
คาร์ลเอ่ยถามเขาตั้งแต่เมื่อคืนซึ่งเป็นตอนที่คนอื่นๆกำลังกระโดดลงจากหน้าผา
‘จนกว่าข้าจะเดินทางกลับมา..ข้าต้องการใครสักคนคอยดูแลหุบเขาแห่งความตายเอาไว้’
เขาไม่กลัวอันตรายจากหุบเขาแห่งความตาย เพราะต้องคอยปกป้องคนอื่นๆเขาจึงแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากนักและเขาก็ยังสามารถแข็งแกร่งได้ขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่อยากอยู่คนเดียว
สำหรับล็อกที่ไม่เคยอยู่ตามลำพังมาก่อน เขาเพียงต้องการใครสักคนให้เขาสามารถยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นแหล่งให้เขาดึงความกล้าหาญของตนออกมาได้ อาจจะเป็นคนในครอบครัวหรือน้องๆร่วมเผ่าของเขาก็ได้
ล็อกก้มศีรษะลงเมื่อในหัวเริ่มคิดบางอย่าง
‘ข้าอยากกลับไปกับพวกท่าน’
เขาไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่คนเดียวแต่คำพูดเหล่านี้พูดได้ยากยิ่งนัก
ทำไมมันถึงพูดยากขนาดนี้นะ?
มันเป็นช่วงเวลานั้นเอง
“เจ้าคิดอะไรอยู่ก็พูดออกมาได้แล้ว”
“…เอ่อ?”
ล็อกเงยหน้าขึ้นทันที
ประโยคลักษณะนี้เขาเคยได้ยินมาก่อน
มันเป็นตอนที่เขาเข้าไปขอบคุณคาร์ลที่ให้การช่วยเหลือเขาเมื่อตอนกลายร่างเป็นครั้งแรกและคอยให้การช่วยเหลือน้องๆในเผ่าของเขา ประโยคนี้เป็นประโยคที่คาร์ลเอ่ยออกมาเมื่อเห็นเขากระวนกระวายและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
‘เจ้ามีอะไรก็พูดออกมาได้แล้ว’
จากนั้นคาร์ลก็พูดออกมาอีกประโยค
“ดี! เมื่อเจ้ากำลังพูดกับใครเจ้าก็ควรสบตากับเขาเช่นนี้..เจ้าลืมไปแล้วหรือ?”
‘เจ้าลืมไปแล้วหรือ?’
ประโยคนี้มีน้ำหนักในใจของล็อกมากนัก ประโยคที่เขาเคยพูดกับคาร์ลย้อนเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง
‘ข้า….ข้าเป็นพี่ชาย’
‘ข้า….ต้องดูแลน้องๆในเผ่า’
‘ข้ายังเป็นหลานชายและน้องชายอีกด้วย’
‘นั่นคือเหตุผลที่ข้าอยากแก้แค้น’
ตอนนั้นคาร์ลตอบเขากลับมาว่า
‘เจ้าคือหมาป่า’
หมาป่า
คำนี้ติดอยู่ในใจของล็อก
“ท่านคาร์ล”
เชวฮันเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที ล็อกเปรียบเหมือนน้องชายของเขาทำให้เขาอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“มีอะไร?”
“ท่านให้ล็อกคิดอะไรหรือขอรับ?”
“ข้าขอให้ล็อกคอยเฝ้าระวังและคอยปกป้องหุบเขาแห่งความตายเอาไว้จนกว่าข้าจะกลับมา”
“..คนเดียวหรือขอรับ?”
“นักเวทย์ของอาณาจักรเบร็คยังคงประจำการอยู่ที่นี่หากเกิดสิ่งผิดปกติพวกเขาจะส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์เวทย์สื่อสารให้เราทราบทันที…สรุปก็คือล็อกเป็นคนเดียวของกลุ่มเราที่จะรออยู่ที่นี่”
เชวฮันมองสลับไปมาระหว่างคาร์ลที่ไม่คิดหันกลับมามองหน้าเขาและล็อกที่ยังยืนเงียบอยู่ เชวฮันเริ่มพูดหลังจากยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“แต่เขาเป็นเด็กขี้เหงา”
ล็อกมีบาดแผลทางใจตั้งแต่อายุยังน้อย ครอบครัว เพื่อนบ้านและคนในหมู่บ้านของเขาต่างถูกสังหารหมู่ต่อหน้าต่อตา ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าสุขภาพใจของเด็กคนนี้จะดีขึ้น แม้ว่าเชวฮันจะต้องการให้ ล็อกแข็งแกร่งขึ้นแต่เขาก็ไม่ต้องการให้ใจของล็อกต้องกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง
เชวฮันไม่ต้องการให้ล็อกเดินตามรอยของเขา เชวฮันรู้ดีว่าหัวใจที่ว่างเปล่าเป็นเช่นไร นั่นคือเหตุผลที่น้ำทุกหยดที่ชโลมจิตใจของเขาคือสิ่งสำคัญที่สุด เชวฮันไม่ต้องการให้ล็อกเป็นคนขี้เหงาเช่นเดียวกับตนเอง
คาร์ลหันไปมองเชวฮัน
“ล็อกอยู่คนเดียวหรือไง?”
“…ขอรับ?”