ขยะแห่งตระกูลเคานต์ Trash of the Count’s Family - ตอนที่ 195.1
บทที่ 195 ทำลายมัน! 4 (1)
ตึก! ตึก!
ตึก!!
คาร์ลค่อยๆหยุดฝีเท้าลง
เขาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะขนาดยาวรูปทรงรี ที่นั่งหัวโต๊ะถูกสงวนไว้ให้กับเคานต์เฮนิตัสโดยเฉพาะ
คาร์ลยังคงยืนนิ่งและไม่ได้ทรุดตัวลงนั่งแต่อย่างใด สายตาของเขาพุ่งไปที่เคานต์วิลส์แมนผู้เป็นบิดาของอีริค เขาเอ่ยทักทายเคานต์วิลส์แมนผ่านสายตา
เขาได้คุยรายละเอียดกับเคานต์วิลส์แมนมาบ้างแล้ว
~มนุษย์!~
เสียงของราอนดังเข้ามาในหัวของคาร์ลทันที ราอนมาถึงที่นี่ก่อนหน้าเขาพักใหญ่แล้ว
~คนพวกนี้พูดถึงเจ้าไม่ดีเลย! เฮ๊อะ..กล้ามาก!! พวกเขากล้าพูดแบบนั้นได้อย่างไร?..สงสัยพวกเขาคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง!!~
‘อ่า..ช่างเป็นเด็กที่ใจคอโหดเหี้ยมเสียจริง’
ตรงกันข้ามกับความเห็นในใจของเขาท่าทางที่เขาแสดงออกในตอนนี้กลับดูสงบนิ่ง
เขากวาดสายตาไปมองกลุ่มขุนนางอย่างใจเย็น
“อะแฮ่ม..อื้มม”
ขุนนางบางรายเริ่มกระแอมไอออกมาเป็นเพราะพวกเขารู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นสายตาที่คาร์ลใช้มองพวกเขา
ช่วงเวลานั้นเอง ไวส์เคานต์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่ากำลังติดตาม‘มาร์ควิสไอลัน’ผู้นำกลุ่มขุนนางทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ก็เริ่มพูดขึ้น
“ทุกคนคงรู้กันดีว่าตอนนี้พันธมิตรไร้พ่ายกำลังพุ่งเป้ามาที่อาณาจักรโรมัน”
เขาเป็นที่รู้จักในฐานะขุนนางที่น่าเคารพและเป็นคนฉลาด แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจการมีตัวตนของคาร์ลเมื่อหันไปเอ่ยกับเคานต์วิลส์แมนแทน
“ภาคตะวันตกเฉียงเหนือเข้ารวมตัวกับมาร์ควิสสแตนแล้ว..ส่วนภาคตะวันตกเฉียงใต้ก็เริ่มระดมกำลังเงินและกำลังคนโดยมีท่านดยุกคนใหม่..อันโตนิโอ กิลล์เป็นศูนย์กลางการนำทัพของพวกเขา”
สายตาของไวส์เคานต์จ้องไปที่ผู้นำของอาณาเขตอัลบาทันที
ทุกคนรู้เกี่ยวกับฐานทัพเรือที่ถูกสร้างขึ้นในอาณาเขตอัลบา มันเป็นอาณาเขตที่อำนาจขององค์ชายรัชทายาทมาถึงแล้ว อย่างไรก็ตามไวส์เคานต์และขุนนางคนอื่นๆไม่รู้ว่าฐานทัพเรือตั้งอยู่ที่ใดกันแน่ อาจเป็นพื้นที่ที่อำนาจเงินของตระกูลเฮนิตัสเข้าถึงจนสามารถปิดบังเอาไว้ได้
“อะแฮ่ม..แม้ว่าเราจะมีฐานทัพเรือในอาณาเขตอัลบาจริงแต่มันก็ยังไม่พร้อมใช้งานไม่ใช่หรือ? สุดท้ายแล้วอาณาเขตต่างๆในภาคตะวันออกเฉียงใต้ก็จะเข้าร่วมทัพกับมาร์ควิสไอลัน”
ขุนนางคนอื่นๆที่เลือกติดตามขุนนางทางฝั่งภาคกลางหันไปจ้องไวส์เคานต์ตาเขม็ง
“อาณาเขตไอลันต่างเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีกองกำลังอัศวินที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรโรมัน”
ปัจจุบันมาร์ควิสไอลันคือคนที่มีฝีมือดาบเป็นอันดับหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ไวส์เคานต์เริ่มยิ้ม
“ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเราต้องหาภูมิภาคที่อยู่ใกล้ๆขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการนำทัพในครั้งนี้..ทางที่ดีที่สุดของเราคือการเลือกติดตามภูมิภาคที่มีกองกำลังอัศวินเป็นจุดแข็งเพราะเรากำลังจะสู้กับอาณาจักรแห่งอัศวินผู้พิทักษ์ นายน้อยคาร์ล ไม่สิ!? ท่านเคานต์เฮนิตัสจะเห็นด้วยกับสิ่งนี้หรือไม่?”
สายตาของไวส์เคานต์จ้องไปยังคาร์ลที่ยังคงยืนอยู่เช่นเดิม เขาได้ยินมาว่าอาณาเขตเฮนิตัสเสริมความแข็งแรงให้กับกำแพงเมืองแต่นอกจากเรื่องนี้เขาก็ไม่ได้ยินข่าวอะไรจากอาณาเขตเฮนิตัสอีกเลย
ในสถานการณ์เช่นนี้ตระกูลเฮนิตัสไม่ได้มีสิ่งที่พวกเขาต้องให้ความสำคัญถึงขนาดนั้น
ทันใดนั้นเอง
“เราต้องคิดให้มากกว่านั้น”
ไวส์เคานต์ผู้มีวัยวุฒิมากที่สุดเริ่มเอ่ยขึ้น เขาเป็นชายชราอายุย่าง 80 ปีและเป็นคนที่เลือกติดตามขุนนางของฝั่งภาคกลาง
“หากเราต้องปรับตัวให้แข็งแกร่งในตอนนี้ มันคงจะไม่ทันกาล…ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเราจำเป็นต้องพึ่งใครสักคนให้มาจัดการเรื่องนี้แทน มันยากเกินไปที่เราจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเราเอง”
ชายชราหันมามองคาร์ล
“แม้ว่าชื่อของนายน้อยโล่เงินจะฟังดูน่าเชื่อถือและเรียกขวัญกำลังใจจากทหารได้ไม่น้อยแต่..ของจริงมันย่อมแตกต่างจากที่คิดเอาไว้”
ชายชราพยายามโน้มน้าวทุกคนด้วยคำว่า‘ของจริง’เขาอยากให้ทุกคนได้ตระหนักว่านี้คือสนามรบของจริง มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆและควรให้คนที่มีความพร้อมเข้ามาจัดการเรื่องนี้แทน
“เราควรเข้าร่วมกับ‘ดยุกโอรเซน่า’จากภาคกลางเพื่อให้ทุกอย่างๆสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น”
ในที่สุดเขาก็บอกทุกคนให้เข้าร่วมกับขุนนางจากภาคกลาง
สงครามคือช่วงเวลาที่ถือกำเนิดวีรบุรุษและอิทธิพลของกลุ่มขุนนางชุดใหม่แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเอาชีวิตตัวเองให้รอดด้วย
บารอนและไวส์เคานต์ต้องการที่จะเป็นวีรบุรุษ
“สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องเข้าร่วมกับขุนนางจากภาคกลางที่ใกล้ชิดกับองค์ชายรัชทายาทมากที่สุดเพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของพวกเรา”
“แต่กองกำลังอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้!”
“ฮึ!..เจ้าควรฟังสิ่งที่ข้าพูด..ข้ามีประสบการณ์มากกว่าเจ้าหลายเท่านัก!”
แน่นอนว่าขุนนางเหล่านี้ต้องการจะเป็นวีรบุรุษและเพิ่มอิทธิพลให้กับกลุ่มของตนเองไม่ใช่ทำเพื่ออาณาจักร!
~มนุษย์! นี่พวกเขาโง่หรือเปล่า? หากอาณาจักรโรมันถูกทำลายก็จะไม่มีขุนนางเหลืออยู่เช่นกัน!~
‘ถูกต้อง’
คาร์ลเห็นด้วยกับราอน นั่นคือสาเหตุที่เขากวาดสายตาไปมองรอบๆ
เขากำลังมองหาว่าขุนนางคนใดที่ประเมินสถานการณ์ในตอนนี้ได้ถูกต้อง เขาไม่ต้องการฟังความเห็นประเภทต้องเข้าร่วมกับภาคตะวันออกเฉียงใต้หรือภาคกลางอีกแล้ว
นั่นคือเหตุผลที่เขาต้องจัดการเรื่องไร้สาระพวกนี้โดยเร็วที่สุด
ตอนนั้นเองที่คาร์ลสบตาเข้ากับคนผู้หนึ่ง
คนผู้นี้คือผู้นำของอาณาเขตอัลบา เธอคือมารดาของอามูร์นั่นเอง
ขุนนางคนอื่นๆก็เริ่มเปล่งเสียงของตนขึ้นอีกครั้ง
“ไวส์เคานต์อายุแค่30กว่าปีจะไปรู้เรื่องอะไร?! การทำสงครามต้องอาศัยคนมีประสบการณ์ ข้าต้องการฟังคนที่มีประสบการณ์เท่านั้น!”
“แล้วองค์ชายรัชทายาทกับกลุ่มขุนนางภาคกลางมีกองกำลังอัศวินที่แข็งแกร่งหรือไม่? มีประสบการณ์แล้วอย่างไรเพราะเป้าหมายสำคัญคือการเอาชีวิตตัวเองให้รอด..ดังนั้นเราต้องเข้าร่วมกับกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น!”
“เขาพูดถูก! ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการเข้าร่วมกับภาคตะวันออกเฉียงใต้เพราะอย่างน้อยเราก็อยู่ภาคตะวันออกเช่นเดียวกัน!”
ผู้นำแห่งอาณาเขตอัลบาพูดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านี้
“นายน้อยคาร์ล”
ทุกสายตาจับจ้องมาที่เธอทันที
‘ฐานทัพเรือ’ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของเธอ ย่อมหมายความว่าเธอคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้พวกเขาคาดว่าพันธมิตรไร้พ่ายจะยกทัพมาทางเรือ นั่นทำให้อาณาเขตอัลบามีความสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก
ผู้นำทางภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคกลางได้บอกกลุ่มของตนให้ดึงอาณาเขตอัลบาเข้ามาร่วมกับพวกเขาให้ได้ ทำให้พวกเขาหยุดการสนทนาลงชั่วคราวและหันมาจดจ่อกับสิ่งที่เธอจะพูดแทน
“นายน้อยคาร์ล..ท่านมีความเห็นอย่างไรกับสถานการณ์ในตอนนี้?”
ผู้นำแห่งอาณาเขตอัลบาเอ่ยกับคาร์ลอย่างให้เกียรติ ในขณะที่คาร์ลยังคงยืนเงียบและไม่คิดที่จะตอบอะไรออกมา
ไวส์เคานต์วัยชรายิ้มเยาะคาร์ลทันที
“ท่านอัลบา..นายน้อยคาร์ลยังเป็นแค่เด็กเท่านั้น เขาคงไม่สามารถปกป้องภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วยโล่จากพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณได้หรอกนะ ประชาชนผู้ใสซื่อของเราอาจยกย่องให้เขาเป็นนายน้อยโล่เงินแต่เด็กเช่นเขาจะไปรู้เรื่องอะไรล่ะ? ”
จากนั้นเขาก็หันไปมองคาร์ลพร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นราวกับจะบอกว่า‘สิ่งที่เขาพูดไม่ผิดเลยสักนิด’
“นายน้อยคาร์ลเป็นเด็กมีแวว อนาคตข้างหน้าเขาต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ข้ามั่นใจว่านายน้อยคาร์ลเป็นเด็กหนุ่มที่มีความสามารถและมีหลายๆอย่างที่น่าทึ่งแต่เรื่องนี้..ต้องอาศัยคนที่มีประสบการณ์อย่างพวกเราเท่านั้นถึงจะรับมือกับมันได้”
“ข้าเห็นด้วย”
ขุนนางที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคกลางต่างพยักหน้าเห็นด้วย
ตอนนั้นเองที่คาร์ลเริ่มหัวเราะออกมา
“…เจ้าหัวเราะงั้นรึ”
ขุนนางที่พากันพยักหน้าเห็นด้วยต่างหยุดชะงักทันที แม้ว่าคาร์ลจะมาจากตระกูลเคานต์แต่กลุ่มของพวกเขาก็มีทั้งมาร์ควิสและดยุกที่คอยให้การสนับสนุนพวกเขาอยู่
อีกอย่างพวกเขาทั้งหมดต่างถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการไม่ได้เป็นแค่นายน้อยเช่นที่คาร์ลเป็น
อย่างไรก็ตามมีบางอย่างที่พวกเขาไม่รู้
องค์ชายรัชทายาทคือคนให้การสนับสนุนคาร์ลอยู่เบื้องหลัง
เขาหยิบป้ายเงินออกมาจากกระเป๋าแล้วโยนลงบนโต๊ะทันที เขาทำราวกับป้ายเงินนี้ไม่มีความสำคัญต่อเขา ไม่สิ! มันไม่มีความสำคัญกับเขาจริงๆนั่นล่ะ
เคร้ง!
ป้ายเงินตกลงบนโต๊ะก่อนจะหมุนวนราวกับลูกข่าง มันยังคงหมุนไปเรื่อยๆจนกระทั่งเคลื่อนไปหยุดที่กลางโต๊ะ
กึก!
ทุกคนหันไปมองป้ายโลหะอย่างพร้อมเพรียง
มันมีสัญลักษณ์ของราชวงศ์ประทับเอาไว้
ขุนนางทั้งหมดต่างรู้ดีว่าป้ายเงินแผ่นนี้คือสิ่งใด
ป้ายเงินนี้เกี่ยวข้องกับการควบคุมกองทัพ
‘ทำไมเขาถึงมีสิ่งนี้ได้’
แม้แต่ผู้นำจากภาคอื่นๆก็ยังไม่มีแผ่นป้ายนี้แล้วทำไม?..มันถึงอยู่ในมือของนายน้อยผู้นี้ล่ะ?!
ปฏิกิริยาของขุนนางแต่ละคนเริ่มเปลี่ยนไป ร่างก็เริ่มสั่นเล็กน้อย
ในขณะที่เหล่าขุนนางจ้องไปที่ป้ายเงินแผ่นนี้ด้วยความสับสน เสียงของคาร์ลก็ดังขึ้น
“หากให้ดาบปะทะกับโล่…พวกท่านคิดว่าใครคือผู้ชนะ?”
มีประโยคที่ไม่คาดคิดออกจากปากคาร์ล อย่างไรก็ตามท่าทางและสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ความนอบน้อมที่เด็กพึงมีต่อผู้ใหญ่เลือนหายไปและสิ่งที่เหลืออยู่คือสายตาเย็นชาที่ใช้มองพวกขุนนางเหล่านี้
คาร์ลพูดต่อเมื่อเห็นว่าพวกขุนนางยังคงพากันอึ้งจนไม่สามารถตอบคำถามของเขาได้
“แน่นอนว่า..โล่คือผู้ชนะ”
มันต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว
“ไม่ว่าอย่างไรโล่ก็คือผู้ชนะ”
นายน้อยโล่เงิน!
คาร์ลวางแผนที่จะใช้ฉายาที่แสนน่าอายนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง การใช้กลยุทธ์บางอย่างเข้าช่วยคือสิ่งสำคัญในการทำสงคราม
มันเป็นการต่อสู้กับความกลัวในจิตใจเพื่อกระตุ้นให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาต้องการสร้างกำลังใจที่ดีเพื่อไม่ให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว เขาจำเป็นต้องปลุกขวัญกำลังใจให้กับพลเมืองชาวอาณาจักรโรมัน
คาร์ลตัดสินใจจะเริ่มแผนดังกล่าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขาวางแผนที่จะสร้างวีรบุรุษให้กับอาณาจักรโรมัน
‘แน่นอนว่าจะไม่มีฉันรวมอยู่ในนั้นด้วย’
หลังสงครามเสร็จสิ้นอาณาจักรโรมันจะเต็มไปด้วยวีรุบุรุษหน้าใหม่และผู้คนจะลืมเลือนนายน้อยโล่เงินไปในที่สุด
“โล่คือผู้ชนะอย่างแน่นอน!”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นโล่ป้องกันก็คือผู้ชนะ
ทันใดนั้นเอง
ตึกตัก!ตึกตัก!ตึกตัก!
จู่ๆหัวใจของคาร์ลก็เต้นแรงขึ้น
‘เกิดอะไรขึ้น?’
มันคือพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณ หนึ่งในพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณเริ่มเคลื่อนไหวในตัวของเขา
-เจ้าพูดถูก..โล่คือผู้ชนะ!-
มันเป็นเสียงเจ้าของโล่นิรันดร์กาล
มันเป็นเสียงของนักบวชหญิงจอมตะกละ
นานมากแล้วที่คาร์ลไม่ได้ยินเสียงของเธอ ตั้งแต่ที่เขาได้รับพลังนี้มานี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอพูดให้เขาได้ยิน
เสียงของเธอดังขึ้นอีกครั้ง
-ข้าอาจเคยแพ้มาก่อนแต่ครั้งนี้ข้าจะชนะให้ได้! ข้าต้องชนะ! –
‘เธอกำลังพูดเรื่องอะไร?’
คาร์ลพยายามซ่อนความกังวลที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันแต่รอยสักโล่นิรันดร์กาลที่อยู่ตรงหน้าอกของเขาเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ
-แต่..ข้าหิว-
นักบวชจอมตะกละเริ่มตะโกนดังขึ้น
-มากกว่านี้..ข้าต้องกินมากกว่านี้!!-
‘มากกว่านี้? เธออยากกินขนมปังเพิ่มอย่างนั้นหรือ?’
คาร์ลพยายามคิดอย่างใจเย็น
-ข้าอยากกลืนกินพลังของคนอื่น! มากกว่านี้! ข้าต้องการมากกว่านี้!!-
‘อะไรนะ?’
ตึกตัก!ตึกตัก!ตึกตัก!
หัวใจของคาร์ลกระหน่ำแรงขึ้น โล่นิรันดร์กาลกำลังเคลื่อนไหวภายในร่างกายของเขาแม้ว่ามันจะมองจากภายนอกไม่เห็นแต่นั่นคือสิ่งที่คาร์ลรู้สึกในตอนนี้
~มนุษย์! ทำไมจู่ๆเจ้าถึงดูแข็งแกร่งขึ้นล่ะ?~
‘เกิดอะไรขึ้น?’
คาร์ลรู้สึกงุนงงแต่สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม
คาร์ลละสายตาออกจากขุนนางเพื่อหันไปมองประตูทางเข้าที่ถูกเปิดอยู่
เขาเรียกใช้รังสีเหนืออำนาจจนถึงขีดสูงสุด
“ฮิลส์แมน!”
ฮิลส์แมนจึงนำนักเวทย์เข้ามาในห้องประชุมทันทีที่คาร์ลเอ่ยเรียก
“เจ้า..เจ้าจะทำอะ—”