ขยะแห่งตระกูลเคานต์ Trash of the Count’s Family - ตอนที่ 207.2
บทที่ 207 เจ้ากลับมาแล้ว 2 (2)
คาร์ลเงยหน้าขึ้นและมองไปยังหน้าจอทันทีเมื่อได้ยินเสียงของอามูร์ ใบหน้าของอัลเบิร์กเริ่มปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
อามูร์และนักเวทย์ทั้งสองโค้งคํานับต่อคาร์ล
“เราจะออกไปคอยท่านอยู่ข้างนอก..ท่านสามารถออกไปแจ้งเราได้ทันทีหากท่านคุยธุระเสร็จสิ้นแล้ว”
ผู้บัญชาการและองค์ชายรัชทายาทจําเป็นต้องมีการพูดคุยกันแบบส่วนตัวเท่านั้น อามูร์และนักเวทย์ทั้งสองโค้งคํานับให้กับคาร์ลอีกครั้งและรีบออกไปจากห้องสํานักงานทันทีเมี่อคาร์ลพยักหน้าอนุญาต
จังหวะที่อามูร์กําลังเปิดประตูอุปกรณ์เวทย์สื่อสารก็เชื่อมต่อโดยสมบูรณ์พอดี
พรึ่บ!
ใบหน้าหล่อเหลาขององค์ชายรัชทายาทปรากฏขึ้นบนหน้าจอโดยสมบูรณ์ เสียงของเขาดังก้องไปทั่วห้อง
[“สวัสดีคาร์ล เฮนิตัส..ผู้เป็นดั่งดวงดาราแห่งอาณาจักรเรา”]
อามูร์พยักหน้าเห็นด้วยเมื่อค่อยๆเปิดประตูออกกว้าง
“องค์ชายตรัสถูกแล้วนายน้อยคาร์ลคือดวงดาราแห่งอาณาจักรเราจริงๆ”
เธอต้องรีบออกไปก่อนที่พวกเขาทั้งคู่จะเริ่มคุยธุระกันอย่างเป็นทางการ อามูร์รีบก้าวออกไปนอกประตูที่ถูกเปิดออก อย่างไรก็ตามข้อความที่อัลเบิร์กพูดก็ดังมาถึงหูเธอเสียก่อน
[“จากการประชุมขุนนางระดับสูงได้ตกลงกันว่าจะมอบเหรียญเกียรติยศขั้นหนึ่งให้กับเจ้า เจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้?”
การประชุมขุนนางระดับสูง นี่คือการประชุมที่รวบรวมขุนนางในตําแหน่งมาร์ควิสและขุนนางระดับสูงของอาณาจักรโรมัน พระราชาหรือตัวแทนส่วนพระองค์มักจะเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้เสมอ ดังนั้นอัลเบิร์กจึงเป็นผู้นําของการจัดการประชุมในครั้งนี้ในฐานะตัวแทนของพระราชา
เหรียญเกียรติยศขั้นหนึ่งของอาณาจักรโรมัน นับเป็นเหรียญเกียรติยศสูงสุดแห่งอาณาจักรโรมัน
สงครามยังไม่ถือว่าสิ้นสุดแต่พวกเขาก็ไม่เคยแพ้ให้กับพันธมิตรไร้พ่ายเช่นกัน
ความจริงที่ว่าขุนนางระดับสูงต้องการมอบเหรียญดังกล่าวให้กับคาร์ลย่อมหมายความว่าพวกเขาให้ความสําคัญกับชัยชนะที่เกิดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นอย่างมาก พวกเขาคิดที่ จะมอบรางวัลให้กับผู้บัญชาการซึ่งถือเป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุด มันเป็นเหรียญเกียรติยศที่ไม่เคยมี ใครได้รับมาตลอด 200 ปี คาร์ลจะเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับเกียรติในครั้งนี้
หากคาร์ลได้รับเหรียญเกียรติยศนี้แล้ว เขาจะสามารถเติบโตขึ้นและกลายเป็นขุนนางที่มีอิทธิพลระดับสูงของอาณาจักรโรมัน
อามูร์และนักเวทย์ทั้งสองไม่ได้รู้สึกแม้แต่น้อยว่าใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาคิดว่าเหมาะสมแล้วที่คาร์ลจะได้รับเหรียญนี้ จากการต่อสู้ที่ผ่านมา คาร์ลคือคนที่คู่ควรที่สุดและน่าจะเป็นคนเดียวตลอดทั้งสงครามที่คู่ควรกับรางวัลนี้ การที่เขาจะได้รับเหรียญเกียรติยศดังกล่าวทําให้อามูร์และนักเวทย์ทั้งสองส่งเสียงเชียร์ในใจ
อามูร์และนักเวทย์ทั้งสองหันมาส่งยิ้มให้กันก่อนจะเดินพ้นประตูออกไปจากนั้นก็ปิดประตูลงอย่างระมัดระวังและให้เงียบที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนการสนทนาภายในห้อง
อย่างไรก็ตามเสียงของคาร์ลก็ดังขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่พวกเขาจะปิดประตูได้สนิท
“กระหม่อมไม่ต้องการพะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องการ?”
มือของอามูร์ที่กําลังจะปิดประตูตามหลังถึงกับหยุดชะงัก
“สงครามยังไม่จบ.กระหม่อมไม่ต้องการคําชมที่ว่างเปล่าเช่นนี้”
คาร์ลไม่ต้องการมันจริงๆ เหรียญเกียรติยศงั้นรึ? มันจะไม่เป็นการดีสําหรับเขาหากเขา ได้รับมัน เขาจะไม่สามารถพักผ่อนได้ตามที่เขาต้องการ เขาอาจต้องทํางานหนักไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา
มันจะเป็นหายนะที่รุนแรงที่สุด
เขาไม่ต้องการมัน! เขาไม่ต้องการคําชมที่ว่างเปล่า เขาไม่ต้องการที่ดินหรือเงินทองใดๆเพราะตอนนี้เขาอาจเป็นคนที่ร่ํารวยที่สุดในอาณาจักรโรมันแล้วก็ได้ เขาต้องการแค่เวลาในการเที่ยวพักผ่อนและใช้เงินเพื่อความสุขของตนเอง
เขาไม่ต้องการที่จะได้รับรางวัลดังกล่าวและถูกจับเป็นตัวประกันเพื่อแก้ไขปัญหาของอาณาจักรต่อไปในอนาคต
คาร์ลสบตากับคนหน้าทิ้งที่จ้องเขม็งเขาผ่านทางหน้าจอ
“แค่มีเวลาให้ทหารได้อิ่มท้องไปกับเสบียงอร่อยๆ..กระหม่อมก็พอใจแล้วพะย่ะค่ะ”
“ฉันเองก็จะได้มีเวลาไปหาอะไรกินเช่นกัน”
นั่นคือความปรารถนาของคาร์ล
คลิก!
อามูร์ปิดประตูให้สนิทด้วยมืออันสั่นเทา จากนั้นเธอก็มองผ่านประตูที่ถูกปิดแน่นเข้าไปและค่อยๆละมือออกจากลูกบิดประตู คิ้วของเธอกําลังผูกเป็นปม เธอยกมือขึ้นเช็ดหางตาเมื่อเริ่มมีน้ําคลอออกมาเล็กน้อย ประโยคของคาร์ลยังคงสะท้อนอยู่ในใจของเธอ
“ทําไมคนๆหนึ่งถึงได้ ”
เธอไม่สามารถหาคําจํากัดความให้แก่คาร์ลได้ สีหน้าของนักเวทย์ทั้งสองก็เป็นเช่นเดียวกับเธอ คนทั้งสามรับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกันเป็นเวลาเกือบหนึ่งนาทีก่อนจะพากันเดินออกไปด้วยท่าทางที่มุ่งมั่นและตั้งใจกว่าเดิม
“ท่านผู้บัญชาการมักจะกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของเรา เขาไม่ต้องการชื่อเสียงหรืออํานาจใดๆ เขาให้ความสําคัญกับปากท้องของเรามากกว่าสิ่งอื่น
การคิดถึงเรื่องนั้นทําให้พวกเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ อามูร์และนักเวทย์ทั้งสองเร่งสาวเท้าไปปฏิบัติภารกิจที่ตนได้รับมอบหมายอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่อีกฝั่งนั้น อัลเบิร์กกําลังจ้องมองคาร์ลด้วยใบหน้าบึ้งตึง
[“ลืมเรื่องเสบียงของทหารไปก่อน..ทําไมเจ้าถึงไม่นึกถึงตัวเองบ้าง–1”
อัลเบิร์กเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสียเมื่อมองใบหน้าที่ซีดเซียวของคาร์ลราวกับคนอดอาหารเป็นเวลา กว่าหนึ่งสัปดาห์ เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อเพราะรู้สึกอยากจะถอนหายใจออกมาแรงๆ
“องค์ชายพะย่ะค่ะ.กระหม่อมก็เป็นทหารของพระองค์เช่นกัน”
คาร์ลหมายความตามที่พูดจริงๆแต่อัลเบิร์กไม่สามารถเชื่อน้ําคําเขาได้
“สิ่งหนึ่งที่เจ้านี่ไม่ถนัดคือการหาคําพูดดีๆเพื่อพูดคุยกับคนอื่น! แล้วเรื่องสุขภาพของตัวเองแท้ๆทําไมถึงได้ดูโง่ขนาดนี้?”
เจ้าขยะคนนี้มีความเฉียบแหลมและมีไหวพริบมากพอที่จะไม่ทําให้สุขภาพของตนเองย่ําแย่ หรือต้องทุกข์ทรมาน
“นั่นสินะ! ไม่มีทางที่คนฉลาดๆเช่นเจ้านี่จะโง่จนยอมให้ร่างกายของตัวเองย่ําแย่ไปได้ เขาอาจจะแกล้งๆละเลยสุขภาพตัวเองก็เป็นได้
อัลเบิร์กแต้มรอยยิ้มขมขื่น
สงคราม
ในฐานะองค์ชายรัชทายาทซึ่งถือเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดคนปัจจุบันของอาณาจักรโรมัน เขาสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าทําไมเจ้าขยะคนนี้ถึงได้ละเลยสุขภาพของตนเอง นั่นคือเหตุผลที่อัลเบิร์กเลือกที่จะไม่สนใจสภาพอันซีดเซียวของคาร์ลและเอ่ยต่อไป
[“เจ้าคงปวดหัวกับวิหารที่ติดต่อมาไม่ใช่น้อย”]
เขากําลังจะพูดอย่างอื่นต่อ เขากําลังจะพูดว่า “ข้าจะจัดการตัดสัญญาณของนักบวชทั้งหมดให้เจ้าโดยเร็วที่สุด ดังนั้นไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้มากไป”
อย่างไรก็ตามคาร์ลกลับเอ่ยตัดบทขึ้นมาก่อน
“ไม่เลยพะยะค่ะ มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น”
อัลเบิร์กเห็นว่าคาร์ลเอนหลังพิงกับเก้าอี้จนแทบจะล้มตัวลงไปนอนได้ทุกเมื่อ คาร์ลฉีกยิ้มราวกับไม่เคยยิ้มมาก่อนในชีวิตของเขา
ในขณะที่อัลเบิร์กนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกๆเมื่อเห็นรอยยิ้มดังกล่าว มันเป็นสัญชาตญาณบางอย่างที่กําลังร้องเตือนเขาอยู่และคาร์ลก็เริ่มพูดราวกับสนองต่อสัญชาตญาณนั้น
“อาณาจักรคาโรรวยมากใช่มั้ยพะย่ะค่ะ?”
[“ก็ใช่”]
อัลเบิร์กกําลังนึกถึงข้อมูลที่ว่าพันธมิตรไร้พ่ายกําลังมุ่งหน้าไปยังชายฝั่งของอาณาจักรคาโร
“อาณาจักรคาโรยังไม่ได้มีการเตรียมตัวเพื่อป้องกันการโจมตีของพันธมิตรไร้พ่ายใช่มั้ยพะย่ะค่ะ?”
อาณาจักรโรมันสามารรับมือกับสงครามได้เพราะพวกเขามีการเตรียมตัวที่ดีและยังมีคาร์ล เฮนิตัสเป็นหัวหอกสําคัญ อัลเบิร์กตระหนักถึงความจริงในข้อนี้
เสียงของคาร์ลดังเข้ามาในหูของอัลเบิร์กในขณะนั้น
“กระหม่อมคาดว่าชัยชนะของเราจะกระจายไปทั่วทั้งทวีปตะวันตกในวันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ?”
อัลเบิร์กยังไม่ได้ตอบอะไรออกไปคาร์ลก็ชิงพูดต่อทันที
“อาณาจักรคาโรมีวิหารหลายแห่งที่เกี่ยวข้องกับพลังแห่งแสงสว่าง”
[“..บอกรายละเอียดให้มากกว่านี้”]
คาร์ลสงสัยว่าตัวเองต้องพูดอะไรต่อหรือไม่ เขาเงยหน้าขึ้นมององค์ชายรัชทายาทและส่งเสียงเย้าขึ้นทันที
“องค์ชาย..ตอนนี้พระองค์ทรงสรวลอยู่พะย่ะค่ะ”
องค์ชายรัชทายาทกําลังยิ้ม
อาณาจักรคาโรที่ร่ํารวยจากการเปิดบ้านประมูลและสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไม่ได้แข็งแกร่งมากพอที่จะต่อกรกับพันธมิตรไร้พ่ายได้ เช่นเดียวกับวิหารที่เกี่ยวข้องกับแสงสว่างก็ไม่สามารถต่อกรกับได้พวกเขาเช่นกัน
อาณาจักรคาโรเองก็ต้องการที่จะมีชีวิตรอด
แล้วพวกเขาจะไปพึ่งใคร?
พวกเขาคงนึกถึงชัยชนะที่อาณาจักรโรมันสามารถคว้ามาได้ อาณาจักรคาโรจะต้องติดต่อมา ยังอาณาจักรโรมันเพื่อขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
คาร์ลได้ยินเสียงของราอนที่ดังเข้ามาในหัว
-มนุษย์! เจ้ายิ้มกว้างกว่าองค์ชายรัชทายาทเสียอีก!
คาร์ลไม่ได้สนใจในการเปรียบเทียบของเด็กหกขวบ เขามองไปยังอัลเบิร์กและพูดต่อไป
“องค์ชาย..อาณาจักรคาโรอ่อนแอ
[“ข้าคิดว่าพวกเขาจะติดต่อเรามาเพื่อขอความช่วยเหลือ”]
คาร์ลพยักหน้ารับและเตรียมตัวพูดต่อ
หากอาณาจักรคาโรขอความช่วยเหลือจากพวกเขาแล้วล่ะก็?
“ถ้าเป็นเช่นนั้น”
คาร์ลยังจําสัญญาที่เขาให้ไว้กับแมรี่และทาช่าไว้ได้ เขาต้องการจะสร้างวีรบุรุษขึ้นมาและต้องการที่จะเปลี่ยนมุมมองของวีรบุรุษในสายตาของคนอื่นๆ เขาสังเกตเห็นว่าองค์ชายรัชทายาทอาจมีความคิดคล้ายคลึงกับเขา
“อาณาจักรโรมันจะได้รับขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่านี้ สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในถังขยะจะกลับขึ้นสู่ผิวโลก ภายใต้การควบคุมของอาณาจักรโรมันและนั่นจะสร้างความชอบธรรมให้กับอาณาจักรของเราให้ปรากฏแก่สายตาของคนทั่งทั้งทวีป”
สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในขยะ
ดินแดนแห่งความตาย
ดาร์กเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งความตาย
เลือดอีกเสี้ยวหนึ่งของอัลเบิร์ก ครอสแมนก็เป็นดาร์กเอลฟ์เช่นกัน เขาที่ต้องดําเนินชีวิตโดยการปกปิดตัวตนที่แท้จริงเอาไว้มาจนถึงทุกวันนี้อดที่จะรู้สึกเย้ยหยันกับคําพูดที่ว่าพวกเขาคือขยะไม่ได้
“สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในถังขยะจะได้รับการยอมรับ”
คําพูดที่ออกมาจากปากมนุษย์ทําให้ความรู้สึกอันหลากหลายปรากฏขึ้นในใจของอัลเบิร์ก อย่างไรก็ตามในฐานะองค์ชายรัชทายาทเขาจําเป็นต้องทบทวนเรื่องนี้ให้ดีก่อนจะตัดสินใจออกไป
การที่จะได้รับการยอมรับจําเป็นต้องชนะสงครามเท่านั้น
พันธมิตรไร้พ่ายอาจพ่ายแพ้ต่ออาณาจักรโรมันแต่พวกเขาจะพยายามเอาชนะอาณาจักรคาโรและอาณาจักรเบร็คให้ได้ แน่นอนว่าความแข็งแกร่งต้องเพิ่มไปอีกเท่าตัว
“พวกเขาจะมุ่งหน้าไปยังหุบเขาแห่งความตายหลังจากเสร็จศึกกับอาณาจักรคาโรแล้ว”
นั่นหมายความว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะเป็นประโยชน์ต่ออาณาจักรโรมันอย่างแน่นอน
อัลเบิร์กเริ่มพูด
[“เจ้าเจ้านี่มันทั้งบ้าและเจ้าเล่ห์จริงๆ! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”]
คาร์ลไม่ได้พูดอะไรเพื่อแก้คํากล่าวหานั้น
“ลองดูก็ไม่เสียหายพะย่ะค่ะ”
คําพูดเหล่านั้นทําให้องค์ชายรัชทายาทพยักหน้ารับ
คาร์ลหลับตาและค่อยๆลืมขึ้นมาใหม่
“มนุษย์อ่อนแอ! เจ้าหนาวหรือเปล่า?”
ลมทะเลในฤดูหนาวพัดผ่านร่างเขาไปช้าๆ เขาล้มตัวลงและเหยียดขาไปบนแผ่นหลังที่เรียบลื่นของวาฬตัวใหญ่
“อาร์ชี..เราใกล้ถึงแล้วใช่มั้ย?”
“ใช่แล้วท่านราอน”
คาร์ลกวาดสายตาไปมองรอบๆเมื่อได้ยินประโยคที่ราอนสนทนากับอาร์ชี เขาสามารถเห็นชายฝั่งของอาณาจักรพารันซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของทวีปตะวันตก
เผ่าวาฬกําลังจะทําลายป้อมตรวจการของอาณาจักรพารันในไม่ช้านี้