ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 1 บทที่ 25 คู่ต่อสู้ที่เชื่อฟัง
หลินเมิ้งหยาตื่นจากภวังค์ ก่อนจะรีบผละตัวไปยังมุมหนึ่ง ใบหน้าแดงแจ๋ประหนึ่งสีโลหิต
คุณพระ เพราะแบบนี้หลงเทียนอวี้จึงหน้ามืดตามัว ที่แท้ก็เป็นเพราะยาโป๊
จู่ๆ ท่าทางก็ผิดแผกแปลกประหลาด คนเราสามารถพูดจามั่วซั่วได้ แต่ไม่สามารถกินยามั่วซั่วได้นี่นา!
นี่เขา…เป็นอะไร?
หลงเทียนอวี้รู้อยู่ก่อนแล้วว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ เขาไม่ใช่เด็กที่ยังไม่รู้ความ ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ความร้อนแรงยิ่งระอุขึ้นดั่งเปลวเพลิงแห่งความพิโรธ
กล้าวางยาเขาเช่นนั้นหรือ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!
“ตีข้าให้สลบ!” เสียงทุ้มต่ำเย็นยะเยือก คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากันแน่นจนเป็นปม แค่ยาโป๊คิดว่าจะควบคุมเขาได้อย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ!
“ตี…ตีท่านอ๋อง?” หน้าผากของหลินเมิ้งหยาปรากฏเส้นดำสามเส้น ตีเขาให้สลบ? ล้อเล่นหรือไง!
“ท่านอ๋องรอก่อน หม่อมฉันมีวิธีช่วยท่าน” ตอนนี้จะไปหายามาถอนพิษก็คงไม่ทันการณ์ จริงสิ เจาะเลือดออกมาแล้วกัน
หลินเมิ้งหยาดึงปิ่นปักผมประดับไข่มุกออกมา ขณะเดียวกัน เส้นผมสีดำขลับพลิ้วไหวสยายลงมากระทบบ่าเพิ่มความขวยเขินให้นางยิ่งขึ้น
หลงเทียนอวี้พยายามอย่างหนักที่จะไม่หันหน้ากลับไป บางทีอาจเป็นเพราะฤทธิ์ยา มิเช่นนั้นเขาจะมองเห็นพระชายากิริยาวาจาแปลกประหลาดคนนี้งดงามน่าหลงใหลได้อย่างไร
เขาส่ายหน้า นี่เขา…กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?
นางจับปลายปิ่นปักผมเข้าไปรนไฟเพื่อฆ่าเชื้อ
“อดทนหน่อยนะเพคะ หม่อมฉันจะเจาะเลือดพระองค์” หลินเมิ้งหยาจับมือข้างหนึ่งของหลงเทียนอวี้ขึ้นมา มือหนาเห็นรูปกระดูกแข็งแรงชัดเจน หลังมือมีรอยขีดข่วนจากการฝึกฝนร่างกายจางๆ
อุณหภูมิความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลทำให้ผิวหนังหยาบกร้านเล็กน้อย หลินเมิ้งหยาใช้ปลายปิ่นปักผมเจาะลงบนปลายนิ้วของหลงเทียนอวี้ด้วยความระมัดระวัง
ครู่ต่อมา เลือดสีดำไหลออกมาจากบาดแผล
อุณหภูมิร้อนระอุภายในร่างกายเริ่มคลายลง สมองของหลงเทียนอวี้พลันกลับมาแจ่มแจ้งดังเดิม
“เจ้ารู้วิธีถอนพิษได้อย่างไร?” คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สายตาจ้องมองไปทางหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสงสัย
“หม่อม…หม่อม…หม่อมฉันมีประสาทสัมผัสเกี่ยวกับยาค่อนข้างไวมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นหม่อมฉันจึงพอจะรู้วิธีถอนพิษเบื้องต้นอยู่บ้างเพคะ” สมองประมวลผลอย่างหนัก สุดท้ายหลินเมิ้งหยาเลือกวิธีการพูดที่หลงเทียนอวี้พอจะเชื่อมากที่สุด
ถึงอย่างไรเหล่าข้ารับใช้ในบ้านสกุลหลินล้วนรู้ดี ว่าแม้คุณหนูใหญ่จะโง่เขลาและสติฟั่นเฟือนถึงเพียงไหน ทว่านางกลับมีประสาทสัมผัสที่ว่องไวเป็นพิเศษเกี่ยวกับยา
ถ้ามิใช่เพราะนางมีพรสวรรค์เหล่านี้ เกรงว่านางคงจะตายด้วยน้ำมือของแม่เลี้ยงไปตั้งนานแล้ว
“ท่านอ๋อง…ไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่?” หลินเมิ้งหยาหลบอยู่ที่มุมเตียง นางไม่กล้าเงยหน้าสบตาหลงเทียนอวี้
หลงเทียนอวี้พยักหน้าลงแล้วเดินตรงเข้าไปนั่งบนตั่งไม้ตัวยาวเพื่อเริ่มทำสมาธิปรับสมดุลการหายใจ เพลานี้กลิ่นอายของความเร่าร้อนเมื่อครู่จางหายไปแล้ว แต่บรรยากาศชวนอึดอัดกลับเข้ามาแทนที่
เวลาราวครึ่งถ้วยชาต่อมา หลงเทียนอวี้ที่หลับตาสนิทมาโดยตลอดค่อยๆ ลืมตาขึ้น
หญิงสาวผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ กลับนอนหลับฝันหวานบนเตียงไปเสียแล้ว
สายตาเย็นชาน่ากลัวถูกส่งออกมา สกุลหลินของเจิ้นหนานโหวผู้มีคุณธรรมกลับทำเรื่องระยำต่ำช้าได้ถึงเพียงนี้!
“เย่ ไปสืบความมาให้แน่ชัด” เสียงทุ้มต่ำอันเจือไว้ซึ่งความเย็นชาถูกส่งออกมา ด้านนอกหน้าต่างพลันมีเงาดำผลุบหายไปโดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น
มิอาจรู้ได้เลยว่าบ้านสกุลที่แสนอบอุ่นแห่งนี้ยังมีเล่ห์เพทุบายอันใดแฝงเอาไว้
พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มกลับมาเงียบสงบดังเดิมอีกครั้ง
หลินเมิ้งหยากะพริบตาปริบๆ ทว่ากลับได้เห็นร่างอันคุ้นเคย
ใบหน้ากลม ดวงตาโต ร่างกายที่ยังไม่โตเต็มที่ถูกห่อหุ้มด้วยชุดกระโปรงผ้าป่านสีฟ้าอ่อน เส้นผมบนศีรษะถูกม้วนขดไว้เป็นทรงกลมคล้ายซาลาเปาทั้งสองฝั่งซ้ายขวา
นางกำลังยุ่งกับการเก็บกวาดเรือนพลางแอบยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตา
“หรูเยว่ นั่นเจ้าหรือ?” สมองพลันปรากฏชื่ออันแสนคุ้นเคยออกมา
เด็กสาวหันขวับมามองทางคุณหนูของตนเองซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยความดีใจ ไอ้หยา คุณหนูจำนางได้ด้วย!
“คุณหนู…ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าพระชายาถึงจะถูก หรูเยว่คิดถึงพระองค์เหลือเกิน” หรูเยว่เป็นบ่าวรับใช้ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับหลินเมิ้งหยา แม้จะเป็นเพียงลูกของบ่าวรับใช้ แต่เพราะพ่อแม่ของนางด่วนจากไป อีกทั้งยังเป็นทาสรับใช้ของเจ้านายที่อุปนิสัยเกกมะเหรก ดังนั้นจึงถูกรังแกเสมอมา
“เรียกข้าว่าคุณหนูเถอะ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเราเป็นดุจดั่งพี่น้องร่วมสายเลือด” หรูเยว่จ้องมองใบหน้าของคุณหนูด้วยความตื่นตะลึง นี่…นี่นางคือคุณหนูผู้โง่เขลาสติฟั่นเฟือนของนางจริงหรือ?
ใบหน้างดงามประหนึ่งเทพธิดา ท่วงท่าสง่างาม แม้แต่คุณหนูรองเองก็เทียบไม่ติด
“คุณหนู” หรูเยว่จ้องมองคุณหนูของตนเอง ราวกับว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วพูดโพล่งออกมา “คุณหนูเจ้าคะ พาหรูเยว่ไปด้วยได้มั้ยเจ้าคะ หรูเยว่อยู่ที่นี่ก็เป็นได้เพียงทาสรับใช้ขวางหูขวางตา หรูเยว่ไม่อยากถูกลงโทษอีกต่อไปแล้ว!”
ทันทีที่สิ้นเสียงลง หยาดน้ำตาสีใสพลันรินไหลลงมา
ภายในความทรงจำของหลินเมิ้งหยา แม้หรูเยว่จะเป็นเพียงสาวใช้ ทว่านางกลับปกป้องหลินเมิ้งหยาเสมอมา
หลินเมิ้งหยาออกเรือนแต่งงานไปเพียงไม่กี่วัน ทว่านางกลับซูบผอมลงเป็นเท่าตัว ครั้งนี้หลงเทียนอวี้กลับบ้านมาพร้อมกับตนเองด้วยโดยมิได้วางแผนไว้ล่วงหน้า เกรงว่าหากมีเรื่องนี้เกิดขึ้นอีก ซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่คงโกรธจนอกแตกตาย
“ได้ เจ้าควรจะเป็นเพ่ยเจี้ย1ของข้าอยู่แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปด้วย” แม้ตำหนักของท่านอ๋องจะไม่อันตรายเท่าที่นี่ แต่ถึงอย่างนั้นนางเองก็อยากมีคนสนิทที่เพียงมองตาก็รู้ใจอยู่ใกล้ๆ เช่นเดียวกัน
หรูเยว่ทรุดตัวโขกศีรษะลงกับพื้นเพื่อแสดงความขอบคุณ ก่อนจะรีบเข้าไปช่วยหลินเมิ้งหยาจัดแต่งทรงผม
“ท่านอ๋องอวี้เสด็จ…พระชายาเสด็จ…” เสียงร้องกังวานดังขึ้นจากทางด้านนอกสู่ด้านในห้องรับแขกแห่งบ้านสกุลหลิน
หลินเมิ้งหวู่และซ่างกวนฉิงที่รู้สึกประหนึ่งได้รับความทุกข์ทรมานตลอดทั้งคืน ฝืนยิ้มต้อนรับคนทั้งคู่ที่กำลังเยื้องย่างเข้ามาภายใน
พวกนางได้เห็นใบหน้าที่แม้จะเย็นชาประดุจน้ำแข็งแต่กลับหล่อเหลาเกินเทพบุตรของท่านอ๋องอวี้ อีกทั้งยังใบหน้างดงามมีเสน่ห์ซึ่งกำลังหยักยิ้มขึ้นที่มุมปากของพระชายา
ขณะเดียวกัน หลินเมิ้งหวู่ขบฟันแน่น เพราะเหตุใดนังแพศยาคนนั้นจึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างไป?
“บ้านหลังนี้คับแคบนัก หากท่านอ๋องและพระชายามิพอใจ หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ” เมื่อเทียบกับหลินเมิ้งหวู่ที่ไม่อาจอาการไม่พอใจจนสีหน้าบิดเบี้ยว ซ่างกวนฉิงดูจะเป็นคนมีความคิดลึกซึ้งและเจ้าเล่ห์กว่ามาก
ไม่อาจมองเห็นความพ่ายแพ้หรือความโกรธเกรี้ยวของนางเลยแม้แต่น้อย กลับกันสีหน้าขอนางกลับยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น
แสดงได้ดี แต่วิธีการที่ใช้กลับแย่ไปหน่อย
หลินเมิ้งหยาแอบประเมินในใจ ทว่าใบหน้าของนางยังคงเผยให้เห็นความใสซื่อ ก่อนที่นางจะเดินเข้าไป
“ท่านแม่อย่าพูดเช่นนั้นเลย ข้าซึ่งเป็นพระชายาเองก็อยู่ที่นี่มานานสิบกว่าปี ที่นี่เป็นบ้านของข้า ข้าจะรู้สึกไม่ดีได้อย่างไรกัน แต่เพราะไม่ได้กลับมาหลายวัน ดังนั้นยุงที่เรือนหยาเตียจึงเยอะมาก ตอมไปตอมมาจนน่ารำคาญ อีกทั้งยังทำให้นึกรังเกียจอีกด้วย” หลินเมิ้งหยาปล่อยหมัดใส่ฝ่ายตรงข้ามเบาๆ นอกจากพวกเขาทั้งสี่คนแล้ว ไม่มีใครรู้เบื้องลึกเบื้องตื้นทั้งสิ้น
“หลินเมิ้งหยา เจ้า…” เมื่อถูกเปรียบเทียบเป็นยุง หลินเมิ้งหวู่ที่โมโหเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแทบจะหักห้ามใจไว้ไม่ได้
ทว่าทันทีที่อ้าปากเอ่ย ซ่างกวนฉิงรีบกระตุกแขนเสื้อของนางเพื่อไม่ให้นางพูดอะไรออกไป ดังนั้นคำพูดจึงถูกกลืนลงท้อง
ถูกโยนออกมาจากเรือน หากไม่ใช่เพราะเวลากลางคืนไร้ซึ่งผู้คนแล้วละก็ ป่านนี้นางคงกลายเป็นตัวตลกประจำบ้านสกุลหลินไปแล้ว
*************************
1 เพ่ยเจี้ยคือทาสรับใช้ของฝ่ายหญิงที่ติดตามเจ้านายไปรับใช้ที่บ้านของฝ่ายชายด้วย