ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 10 บทที่ 287 เจ็บปวดจนมิอาจทานทน
ได้เจอแล้วอย่างไรเล่า? คนที่มีความสัมพันธ์กับหลงเทียนอวี้เห็นจะเป็นคนที่ทุกคนเล่าขานว่าปกปิดตัวตนเป็นความลับคนนั้นเสียมากกว่า…คุณชายเหมย
นางควรจะแสดงความใจกว้างสิถึงจะถูก แต่เพราะเหตุใดจึงรู้สึกปวดใจมากขนาดนี้กันนะ
เจ็บปวดจนมิอาจทานทน
มือเล็กยกขึ้นกุมหน้าอกตำแหน่งหัวใจ ดูเหมือนคนเราจะมิอาจข้ามผ่านช่วงเวลาอันแสนโศกเศร้าไปได้ง่ายๆ โชคดีที่นางยังมิได้ถลำลึก อย่างน้อยนางก็ยังถอนตัวออกมาได้
มุ่งหน้าไปยังจวนอวี้ หยาดน้ำตารินไหล ชิวอวี้ที่เดินตามมาตบบ่าของนางเบาๆ
ทว่าเขากลับได้เห็นใบหน้านวลเริ่มแดงระเรื่อ
“เจ้า…”
ชิวอวี้จ้องหน้านางนิ่ง เขามิรู้มาก่อนเลยว่าหญิงสาวผู้อาจหาญและสง่างามจะมีมุมอ่อนแอเช่นนี้
หลินเมิ้งหยาหันหน้าไปอีกทางพลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ก่อนจะหันหน้ามาหาเขาด้วยสีหน้าปกติราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“ข้าไม่เป็นไร เหตุใดเจ้าจึงไม่อยู่ชมดอกเหมยที่ร้านเป่ยโหลวเล่า?”
ชิวอวี้สอดมือเข้าไปหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองส่งให้กับหลินเมิ้งหยา พร้อมยกยิ้มอ่อนโยน
“ดอกเหมยสามารถไปดูได้ทุกเวลา แต่เกิดเรื่องอันใดกับเจ้าอย่างนั้นหรือ? ลองเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยายื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าของชิวอวี้ด้วยท่าทางเกรงใจ นางหาใช่คนออดอ้อนออเซาะแต่อย่างใด แต่เมื่อมีคนมาเห็นตอนที่ตัวเองกำลังร้องไห้ นางรู้สึกว่าความเข้มแข็งของตนเองถูกทำลายลง
“ไม่มีอะไร แค่แสงทำให้ข้าแสบตาเพียงเท่านั้น จริงสิ ดูเหมือนเจ้าจะคุ้นเคยกับร้านเป่ยโหลวเป็นอย่างดี หรือเจ้าเองก็เป็นหนึ่งในคุณชายเจ้าของร้าน?”
คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่นางหาข้ออ้างได้อย่างไร้สาระเช่นนี้เพื่อปกปิดน้ำตาของตัวเอง
ทว่าชิวอวี้กลับเป็นคนที่เข้าใจหัวอกผู้อื่นเป็นอย่างดี เขารู้ว่านางไม่อยากเล่า ดังนั้นเขาจึงทำเพียงเชื่อข้ออ้างที่นางบอก
“งานในสำนักหมอหลวงกดดันยิ่งนัก ข้าก็เลยออกมาหาอะไรทำแก้เบื่อ”
หลินเมิ้งหยาพินิจพิจารณาชิวอวี้ เมื่อเทียบกับหมอหลวงคนอื่นแล้ว เขาเหมือนคุณชายหนอนหนังสือผู้แสนอ่อนโยน
ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน หลินเมิ้งหยารู้สึกทึ่งกับความสามารถทางการแพทย์ของชิวอวี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงคุยกันอย่างสนุกสนานตลอดทาง
“ได้ยินมาว่าเจ้าจะเข้าวังเพื่อรักษาพระอาการประชวรของฮ่องเต้?”
คำถามของชิวอวี้ทำให้หลินเมิ้งหยาชะงัก แต่ถึงกระนั้นก็พยักหน้า
เรื่องนี้หาใช่ความลับแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้นางยังเป็นลูกสะใภ้ของฮ่องเต้ เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว นางดูจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
ราวกับชิวอวี้มีเรื่องลำบากใจ หรือจะเป็นปัญหาที่นางยังหาคำตอบไม่เจอกัน?
“วังหลวง…หาได้บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่เจ้าคิด หากเจ้าเข้าไปในวังหลวงแล้ว เกรงว่าเจ้าจะพบกับความอันตรายรอบด้าน แม้เจ้าจะเป็นพระชายา แต่ก็มิอาจหลีกหนีความผิดได้”
ทุกคนที่รู้ว่านางจะเข้าวังหลวงมักจะเอ่ยกับนางเช่นนี้
อันที่จริงหลินเมิ้งหยามีวิธีการของตัวเอง
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังเป็นกังวลเรื่องอะไร เกรงว่าสำนักหมอหลวงจะมิได้สงบสุขนัก”
ชิวอวี้ยิ้มแห้งๆ ราวกับว่ามิได้ใส่ใจคำพูดนี้
“คนในสำนักหมอหลวงก็มีคนจำพวกใช้ปากทำงาน จะว่าอย่างไรดีนะ ส่วนใหญ่มักจะถูกควบคุมเอาไว้โดยใครบางคน หากคิดจะล้มล้างสิ่งเหล่านี้ เกรงว่าจะมิใช่เรื่องง่าย”
ประโยคนี้ค่อนข้างสื่อความหมายอย่างชัดเจน หลินเมิ้งหยาเริ่มมั่นใจในวิธีการของตัวเอง
ดูเหมือนพระอาการประชวรของฮ่องเต้จะมิได้ง่ายดายเหมือนที่พวกเขาเล่า
“หรือว่าฮ่องเต้จะมิได้ป่วยติดเตียง?”
หลินเมิ้งหยาคิดอยากสืบเรื่องอาการประชวรของฮ่องเต้ ทว่าชิวอวี้กลับไม่ยอมเปิดเผยสิ่งใดออกมาง่ายๆ
“เรื่องนี้…รอพระชายาเข้าวังหลวงแล้วก็จะรู้เอง ด้านหน้าคือจวนอวี้แล้ว เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา”
หมุนตัวเดินจากไป หลินเมิ้งหยามองตามแผ่นหลังของเขา ก่อนจะตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด
ตอนแรกคิดว่าการได้เข้าไปดูพระอาการของฮ่องเต้เป็นทางเลือกที่ดี
ตอนนี้แม้ชิวอวี้จะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่เห็นได้ชัดว่าจะต้องมีแผนร้ายอะไรบางอย่างแฝงอยู่ จะไปหรือไม่ไป ตอนนี้กลายเป็นตัวเลือกที่ยากจะตัดสินใจ
“นายหญิง ท่านกลับมาแล้ว”
เพียงเดินถึงประตูจวน คนเฝ้าประตูก็วิ่งออกมาต้อนรับ
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง ตอนนี้การเข้าออกจวนของนางกลายเป็นเรื่องปกติแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีใครกล้าถามละลาบละล้วงกับนาง คนทั้งจวนล้วนอยู่ในการควบคุมดูแลของนาง
ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน ตอนนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหว
เดินเข้าไปในบริเวณด้านหน้าสวน ก่อนจะอ้อมเข้าไปบนทางเดิน ขณะที่หลินเมิ้งหยากำลังจะกลับไปยังตำหนักของตนเอง จู่ๆ นางก็เจอกับหลงเทียนอวี้โดยบังเอิญ
นางยืนอยู่บริเวณทางเดิน ส่วนเขายืนอยู่ในสวน
วันนี้เขาสวมชุดสีดำสนิท ท่วงท่าสง่างามเสมือนปรมาจารย์แห่งยุทธภพ
ทั้งที่ไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่วันเท่านั้น หลงเทียนอวี้กลับรู้สึกว่าทั้งห้องหัวใจและสมองล้วนปรากฏเป็นภาพของนาง
ตอนแรกคิดอยากจะเอ่ยทักทาย แต่สายตาพลันเหลือบไปเห็นผ้าเช็ดหน้าสีเทาอ่อนในมือของนาง
นั่นมัน…ผ้าเช็ดหน้าผู้ชาย
“วันนี้เจ้าไปเจอใครมา?”
ทันทีที่สิ้นเสียง หลงเทียนอวี้รู้สึกเสียใจขึ้นมา เขาเพียงแค่อยากรู้ว่านางหายไปไหน ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับเสมือนกำลังสอบสวนนางอย่างไรอย่างนั้น
หากดูจากนิสัยของนางแล้ว นางจะต้องโกรธเกรี้ยวอย่างแน่นอน
ผลปรากฏว่า หลินเมิ้งหยาเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเข้าไปในวงแขน เหยียดยิ้มเย็นชา สายตาไร้ซึ่งความอ่อนโยน
“หม่อมฉันไปที่ไหนหาได้เกี่ยวข้องกับท่านอ๋องไม่ หรือท่านอ๋องต้องการให้หม่อมฉันรายงานพระองค์ทุกเรื่องเพคะ? เช่นนั้นท่านอ๋องส่งคนติดตามหม่อมฉันไปก็ได้ หม่อมฉันเหนื่อยแล้ว ทูลลา”
หลินเมิ้งหยาตั้งใจเดินผ่านหน้าหลงเทียนอวี้ เมื่อครู่นางตั้งใจเผยผ้าเช็ดหน้าในมือออกมาให้เขาเห็น แต่เสียงที่เขาเปล่งออกมากลับทำให้นางรู้สึกโกรธ
ทั้งที่นางมีเพียงผ้าเช็ดหน้าของผู้ชายเท่านั้น แต่เขากลับถามซักไซ้ขนาดนี้ แล้วทีเขานอกใจนางเล่า ทำไมเขาถึงไม่คิดบ้างว่านางจะโกรธ
ดวงตาวาวโรจน์ ทว่าเขากลับเดินอ้อมเข้ามาดักหน้านางเอาไว้
ก้มหน้าลงมองหญิงสาวตรงหน้า สายตาของนางในเวลานี้น่ากลัวเหลือเกิน
ราวกับถูกยั่วยุ หลินเมิ้งหยาถลึงตาโต เรื่องนี้นางไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว!
ทั้งสองจึงถลึงตาใส่กันเช่นนี้อยู่ครู่หนึ่ง หลงเทียนอวี้ที่ได้เห็นท่าทางขุ่นเคืองของนางพลันรู้สึกว่านางน่ารักเล็กน้อย
ดวงตาเบิกกว้าง แม้จะเจือไว้ซึ่งความโกรธ แต่กลับเปล่งประกายชวนมอง
มิได้คิดคำนึงถึงสิ่งใด เขาก้มหน้าลงไปเพราะคิดอยากจะสัมผัสริมฝีปากสีเชอรี่
แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะยกขาขึ้นมาถีบเขา
“เจ้า…”
มองดูท่าทางแยกเขี้ยวยิงฟันราวกับแมวกางกรงเล็บ นางหมุนตัวแล้วเดินจากไป หลงเทียนอวี้รู้สึกเหมือนถูกแมวข่วนเข้าให้แล้ว
“ข้าทำไม? ใครใช้ให้มาขวางทางข้ากันเล่า หากคราวหน้ายังกล้าขวางทางข้าอีก ข้าจะถีบขาท่านให้หักเลย”
ส่งเสียงขู่คำรามออกมา หลงเทียนอวี้มองตามเสมือนคนโง่ แต่ก่อนเขาเคยชินกับท่าทางอ่อนโยนและฉลาดเฉลียวของนาง
แต่พอมาวันนี้นางกลับแตกต่างออกไป!
หลินเมิ้งหยาที่ลอบด่าเขาอยู่ในใจมิรู้เลยว่าตนเองได้ไปกระตุ้นสันดานดิบที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจหลงเทียนอวี้เข้าให้แล้ว
นั่นก็เพราะนางกำลังโกรธมากจริงๆ
ตอนแรกคิดว่าหลงเทียนอวี้จะหึงหรือไม่ก็สำนึกผิด แต่ใครจะรู้ว่าเขายังมีท่าทีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ซ้ำยังสอบสวนนางอีกด้วย แล้วไหนยังคิดจะจูบนางเล่นอีก
ชิ! เขาเห็นนางเป็นตัวอะไร
เดินกลับไปยังตำหนักของตัวเองด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว ก่อนจะแสดงสีหน้าเคร่งขรึมขณะเอ่ยกับป๋ายจื่อ
“นับแต่นี้เป็นต้นไปจงใส่พริกในอาหารของท่านอ๋องทุกจาน!”
เขาชอบหญิงสาวเผ็ดร้อนมิใช่หรือ? ดี เช่นนั้นนางจะให้เขากินเผ็ดเสียให้หนำใจ
ป๋ายจื่อผงะ ก่อนจะก้มหน้ามองขนมเถาซูในมือของตนเอง จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองประตูห้องที่ถูกปิดสนิทอีกครั้ง
นายหญิงโกรธใครมานะ?
หลังจากเกิดเรื่องที่สวนวันนั้น หลินเมิ้งหยาขังตัวเองอยู่แต่ในห้องทุกวันไม่ยอมออกมา แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่คนภายนอกเห็น
แต่ในความเป็นจริง หยุนจู๋มักจะแอบมารับนางออกไปยังกลุ่มสามสหายนอกเมือง
อีกเพียงสามวันก็จะถึงวันสิ้นปีแล้ว ไม่ว่าเซียนเซิงหรือหม่าถุยต่างอยากกลับบ้านกันทั้งสิ้น นางสั่งซื้อของขวัญจำนวนมากเพื่อมอบให้พวกเขานำกลับบ้านไปด้วย
ส่วนคนที่ไม่มีที่ไป นางจัดการเรื่องที่พักให้พวกเขาเหล่านี้ คฤหาสน์แห่งนั้นมีห้องหับมากเพียงพอสำหรับทุกคน
แม้สายลมหนาวภายนอกจะกระโชกแรง แต่ห้องของนางกลับอุ่นและเงียบสงบ
คนในกลุ่มสามสหายไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาในบริเวณที่พักของนาง เหตุเพราะโทษที่พวกเขาจะได้รับคือความตาย ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่มย่าม
เหล้าเลิศรสหอมหวานทำให้หลินเมิ้งหยาเมามาย
นั่งอยู่บนตั่ง นางมิต่างอันใดจากแมวที่ถูกมอมเหล้า ชิงหูนั่งอยู่ตรงหน้านาง เผยสีหน้าเอ็นดู
“เจ้านี่หนา เจ้าเกลียดพวกขี้เมาที่สุดมิใช่หรือ เหตุใดวันนี้จึงดื่มเหล้าเมาเสียเองเล่า?”
ชิงหูยกเหล้าขึ้นจากพื้นแล้วดื่มลงไป กลิ่นเหล้าหอมหวานละมุนลิ้น เพราะเหตุนี้เจ้าเด็กน้อยถึงเมามายสินะ
“จริงสิ เจ้าบอกว่าจะไปจากที่นี่สองสามวันนี่ เหตุใดจึงกลับมาเร็วนัก?”
เมื่อคืนนางเห็นเกี้ยวของร้านเป่ยโหลวอีกครั้ง
เมื่อเจ็บปวดหลายครั้งเข้า มันจึงกลายเป็นความชินชา เหตุเพราะรู้สึกเบื่อ ดังนั้นนางจึงอยากดื่มเหล้ากับหยุนจู๋สักแก้วท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเมาก่อนหยุนจู๋เสียอีก
“เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้แล้วข้าจะวางใจได้อย่างไร เจ้าเด็กน้อย หากข้ามิได้อยู่ข้างกายเจ้าแล้ว เจ้าจะต้องดูแลตัวเองให้ดี”
เป็นครั้งแรกที่ชิงหูส่งสายตาเอ็นดูและไม่อยากแยกจาก
เขาเป็นเพียงคนไร้อนาคต ดังนั้นเขาจึงไม่อาจแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองออกมาได้มากมายนัก บนโลกใบนี้คงมีเพียงเจ้าเด็กน้อยที่เขาอยากจะครอบครอง
“จะไปไหน? ไม่ได้ เจ้ารับปากกับข้าแล้วว่าเจ้าจะมอบเวลาที่เหลือในชีวิตของเจ้าให้กับข้า”
หลินเมิ้งหยายกยิ้มเพราะความเมา ก่อนจะหลับไป
มุมปากของชิงหูยกขึ้นเล็กน้อย ยื่นมือหนาออกไปลูบเส้นผมของนางเบาๆ
เจ้าเด็กน้อยไม่เคยมองเขาเป็นผู้ชาย แต่ก็ถูกต้องแล้ว…เขาแทบจะไม่ใช่ผู้ชายแล้วด้วยซ้ำ
สายตาแสดงออกถึงความเจ็บปวด
“เจ้าจะไปจริงๆ หรือ? โอกาสที่เจ้าจะรอดตายมีน้อยมาก หากเจ้าสำนักรู้ นางจะต้องเสียใจมากอย่างแน่นอน”
ไม่ไกลกันนั้น ร่างบางของหยุนจู๋พลันปรากฏตัวออกมา