ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 343 ความอึดอัดของสองชายหญิง
อันที่จริงนางไม่มีอะไรให้จัดเก็บมากนัก เหตุเพราะที่นี่เป็นที่อยู่ของนาง ข้าวของทั้งหมดยังคงถูกวางอยู่ในตำแหน่งเดิม
ห้องของป๋ายซูยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยดังเดิม
บางทีทุกคนคงคิดว่าหญิงสาวที่มักไม่พูดไม่จา แต่กลับรักเพื่อนพ้องคนนั้นอาจจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง
หลินเมิ้งหยายืนอยู่ข้างโต๊ะอ่านหนังสือ สมุดคัดตัวอักษรที่เสี่ยวอวี้ใช้ฝึกยังคงวางอยู่บนโต๊ะ
ทว่าพู่กันที่เขามักจะใช้ขีดเขียนแห้งกรังหลังจากไม่มีใครหยิบจับมานาน ขนของพู่กันไร้ซึ่งความอ่อนนุ่มสวยงามเหมือนก่อน
หลินเมิ้งหยายิ้ม แต่กลับมิอาจทำใจโยนมันทิ้งไป
แม้จะเคยชินกับการจากลา แต่ลึกๆ ในใจกลับยังหวังว่าจะได้เจอเสี่ยวอวี้อีกครั้ง
“นายหญิง ท่านยังคงคิดถึงนายน้อยอวี้หรือ? ไม่รู้ว่านายน้อยอวี้จะได้กลับมาอีกครั้งเมื่อไหร่ ยิ่งไม่อาจรู้ได้เลยว่านายน้อยอวี้อยู่ด้านนอกนั่นได้กินหรือสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ หรือไม่”
ป๋ายจียกขนมบัวลอยเข้ามา กลิ่นหอมหวานทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกหิว
“เหตุใดเจ้าจึงทำเร็วขนาดนี้? ทุกคนได้กินหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยานั่งลงบนเก้าอี้ ท่าทางตะกละตะกลามเผยออกมาให้เห็น
แม้วังหลวงจะหรูหรา แต่อาหารกลับไม่อร่อยเหมือนอย่างที่นี่
ทั้งที่เป็นเพียงบัวลอยธรรมดา แต่เมื่อได้กินกับทุกคนกลับหอมหวานเอร็ดอร่อยจนเกินจะพรรณนา
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ข้าทำไม่ทัน นี่เป็นสิ่งที่โรงครัวส่งมาให้ บางทีอาจเป็นความปรารถนาดีจากท่านอ๋อง”
ป๋ายจีแย้มยิ้มขณะเอ่ย
พวกนางเพิ่งจะกลับมาถึงจวนเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ทว่าโรงครัวกลับทำบัวลอยที่นายหญิงชื่นชอบเป็นพิเศษส่งมาให้ อีกทั้งยังใส่พุทราที่นายหญิงชอบมาด้วย
แม้ท่านอ๋องจะมิได้รีบมาปรากฏตัวในทันที แต่อย่างน้อยท่านอ๋องก็ใส่ใจนายหญิงเป็นอย่างดี
“เขามีน้ำใจแล้ว จริงสิ เจ้าต้มให้ทุกคนกินคนละถ้วยเถิด ตี้หลงที่ตำหนักไม่มีแล้ว ฉะนั้นจึงไม่อบอุ่นเหมือนก่อน”
ทว่าแม้หลินเมิ้งหยาจะมีสีหน้าท่าทางเหมือนก่อน แต่ป๋ายจีมักรู้สึกว่านายหญิงมีบางอย่างเปลี่ยนไป
ร่างสูงในชุดสีฟ้าเข้มยืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าประตูสวนหลิวซิน หลงเทียนอวี้ยืนนิ่งอยู่ตรงนี้นานราวหนึ่งนาที
“ท่านอ๋อง แค่กๆ อากาศหนาว ท่านเข้าไปพักผ่อนภายในเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านเติ้งมองหน้าท่านอ๋องด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก อย่าว่าแต่จวนเลย แม้กระทั่งวังหลวงก็มิเคยมีที่ใดที่ท่านอ๋องของเขาไม่อาจเข้าไปได้
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ท่านอ๋องของเขาจึงยืนทำตัวไม่ถูกอยู่หน้าตำหนักหลิวซินเช่นนี้
ดวงตาสีดำคมกริบมองทอดยาว
หลงเทียนอวี้คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะมีวันที่รู้สึกเขินอายเช่นนี้
หันไปมองพ่อบ้านเติ้ง ราวกับคนถูกแซวจนรู้สึกเขินอาย เขาที่ควรจะเดินเข้าไปภายในกลับยืนแข็งทื่อเสมือนท่อนไม้
“พวกเรากลับ…”
ขณะที่คิดจะหาเหตุผลเพื่อเดินจากไป หลงเทียนอวี้ไม่รู้ตัวเลยว่าบัดนี้ตนเองกำลังกลายเป็นคนขี้ขลาด
อยู่ๆ ประตูตำหนักหลิวซินพลันเปิดออก
ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่น่ารักเผยออกมาด้านหลังประตู มองซ้ายแลขวา ป๋ายจื่อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้เห็นหลงเทียนอวี้
“ท่านอ๋อง เหตุใดไม่เข้ามาเล่าเจ้าคะ? นายหญิงของข้ากำลังรับประทานอาหาร เช่นนั้นเชิญท่านอ๋องเข้าไปรับประทานอาหารร่วมกันเถิด”
คำเชื้อเชิญอย่างน่ารักนี้ทำให้หลงเทียนอวี้มิอาจปฏิเสธได้
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินผ่านประตูเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว
ตี้หลงใต้ตำหนักเริ่มกลับมาทำงานเป็นปกติแล้ว หลังจากช่วงเวลาหนาวเหน็บที่สุดผ่านพ้นไป จากนั้นจึงเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ
หลินเมิ้งหยาถือแก้วชาขิงพุทรานั่งเหมือนลอยอยู่บนเบาะนั่งขนสัตว์
ทั้งที่คนหายไปเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่นางกลับรู้สึกว่าตำหนักของนางว่างเปล่าเงียบเหงาเหลือเกิน
ช่างเถิด ตอนนี้พายุกำลังโหมกระหน่ำเมืองหลวง ใครจะยังมีกระจิตกระใจอยู่พูดคุยล้อเล่นที่นี่อีกเล่า?
หลงเทียนอวี้เดินเข้าไปยืนข้างศาลาเงียบๆ แต่กลับไม่รู้จะพูดอะไร
นางนั่งอยู่ในศาลา ใบหน้าด้านข้างสะท้อนความงดงามราวกับภาพวาด พื้นหลังของภาพนั้นคือฤดูใบไม้ผลิ
หลังจากเงียบอยู่นาน เขาคิดว่าตนเองควรถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของนาง
ดวงตาเปล่งประกายน่าดึงดูดกำลังเลื่อนลอย นิ้วมือเรียวยาวทั้งห้าจับถ้วยชาเอาไว้
ผ้าสีขาวอ่อนนุ่มวางคลุมร่างของนางเอาไว้จนสายลมมิอาจพัดผ่านกระทบผิวหนัง
น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นนางยามสงบนิ่ง หลงเทียนอวี้ทำเพียงมองนางเงียบๆ แม้แต่เสียงลมหายใจก็เบาลง
“มาแล้วหรือ เชิญนั่งเพคะ”
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยุดลง
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของหลงเทียนอวี้ปะปนอยู่ในอากาศ
หลินเมิ้งหยาเงยหน้า ก่อนจะส่งยิ้มให้กับเขา ราวกับพวกเขาทั้งสองมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน คนหนึ่งไม่ถาม อีกคนเองก็ไม่ตอบ
“หม่อมฉันถูกคนลึกลับช่วยเหลือเอาไว้ เขาไม่อยากเปิดเผยตัวตน ฉะนั้นหม่อมฉันจึงไม่อาจบอกได้ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นในว่านหลิวถังเลขที่สิบสามเป็นฝีมือของหม่อมฉันเอง”
ราวกับรู้ว่าหลงเทียนอวี้อยากถามอะไร หลินเมิ้งหยาจึงเป็นฝ่ายอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
หลงเทียนอวี้ผงกศีรษะลงเบาๆ แต่เพราะเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ทั้งสองจึงไม่มีเรื่องให้สนทนากันอีก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเงียบ หลงเทียนอวี้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย บางทีอาจเพราะศาลาแห่งนี้อบอุ่นมากเกินไป ฉะนั้นจึงส่งผลให้คนขี้เกียจกระทั่งจะสนทนา
“อาการประชวรของฮ่องเต้….น่าจะเกิดจากยาพิษ หม่อมฉันจะรีบปรุงยาถอนพิษถวาย แต่ช่วงนี้หม่อมฉันจะเป็นต้องเข้าออกวังหลวงบ่อยครั้ง ส่วนใครเป็นผู้วางยานั้น หม่อมฉันคิดว่าพระองค์อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่ามจะดีกว่า เหตุเพราะดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิด”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาล้วนเป็นสิ่งที่เขาอยากรู้
ทว่าตอนนี้สิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดคือคำถามอื่น
“เจ้า…เป็นอย่างไรบ้าง?”
ตอนแรกคิดว่าหลงเทียนอวี้จะเอ่ยถามเรื่องอื่น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะถามถึงตัวนางเอง
หลินเมิ้งหยาซ่อนมือข้างที่บาดเจ็บเอาไว้ทางด้านหลัง ก่อนจะหยักยิ้มอ่อนโยน
“หม่อมฉัน…ไม่เป็นไรเพคะ”
รู้สึกขวยเขินเล็กน้อย หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ถึงอาการแปลกประหลาดของหลงเทียนอวี้
“ขอบใจเจ้ามากที่ดูแลอาการประชวรของเสด็จพ่อ หากไม่ใช่เพราะเจ้า เกรงว่าเรื่องนี้คงถูกตรวจสอบไม่ได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน”
นี่เขา…กำลังขอบคุณนาง?
หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจมากขึ้น
เท่าที่นางรู้ หลงเทียนอวี้หาได้เอ่ยปากขอบคุณใครง่ายๆ
ใช่ว่าเขาไม่มีหัวใจ แต่เขามักจะเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองเสมอ
ตกลงเขาเป็นอะไรกันแน่? ทั้งที่ไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่วัน แต่เหตุใดอุปนิสัยของเขาจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้?
“ไม่เป็นไรเพคะ นี่คือสิ่งที่หม่อมฉันสมควรทำ”
เอื้อนเอ่ยด้วยท่าทางเกรงใจ ทั้งสองกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
ทั้งสองทำเพียงนั่งเงียบ บรรยากาศชวนอึดอัด แต่กลับน่าขบขันเล็กน้อย
“พรืด” หลินเมิ้งหยาอดทนไม่ไหว นางจึงหลุดขำออกมา จากนั้นบรรยากาศจึงแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่น
“เหตุใดพระองค์ต้องแสดงท่าทางเช่นนี้ด้วยเล่า ท่านหาใช่คนแบบนี้ไม่”
หลินเมิ้งหยาจับปอยผมขึ้นทัดหู ทว่าอีกมือกลับหดอยู่ในแขนเสื้อ
หางตาของหลงเทียนอวี้พลันสังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของนาง มือหนารีบยื่นเข้าไปจับข้อมือของนางเอาไว้ หลินเมิ้งหยาร้องด้วยความตกใจ คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
“ใครทำ?”
เพียงพริบตาเดียว บรรยากาศอบอุ่นพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
หัวใจของหลินเมิ้งหยาเหมือนร่วงหล่นลงพื้น เหตุเพราะสายตาเย็นชาของเขากำลังทำให้นางเจ็บปวดใจ
“หม่อมฉันไม่ระวังตัวเองเพคะ แต่ก็ต้องขอบคุณมือข้างนี้มาก มิเช่นนั้นป่านนี้หม่อมฉันคงได้ไปเดินเล่นบนสวรรค์แล้ว”
แม้วันนั้นอารมณ์ของหลินเมิ้งหยาจะถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง แต่นางก็ยังจำภาพเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี
หลงเทียนอวี้ดึงมือของนางเข้าหาตัวด้วยความระมัดระวัง กลิ่นยาหอมอ่อนๆ ทำให้หัวใจของเขาสงบลงมาก วันนั้นเขาได้พบเห็นเพียงร่างไร้วิญญาณของผู้หญิงคนหนึ่งในตรอก
แม้จะรู้ว่าหลินเมิ้งหยาได้รับบาดเจ็บ แต่หลังจากลองสำรวจดูแล้ว นอกจากบาดแผลที่มือ นางก็มิได้รับบาดเจ็บส่วนใดอีก
มองร่างกายของหลินเมิ้งหยาอย่างละเอียด เมื่ออีกฝ่ายแสดงท่าทางเขินอาย ความกังวลของหลงเทียนอวี้จึงคลายลง
“ขออภัย”
เอ่ยออกมาโดยไม่เกริ่นอะไรเลยแม้แต่น้อย หลินเมิ้งหยาชะงักจ้องหน้าเขานิ่ง
อยู่ๆ หลงเทียนอวี้ก็ดึงร่างของนางเข้าหาอ้อมกอด เรี่ยวแรงที่ส่งออกมาเหมือนต้องการจะฝังร่างของนางให้จมอยู่ในร่างกายของเขา
“พระองค์ไม่ผิด หม่อมฉันไม่ระวังเองเพคะ บางทีหม่อมฉันคงน่ารังเกียจมาก ฉะนั้นทุกคนจึงอยากได้ชีวิตของหม่อมฉัน หากภายภาคหน้าพวกเราไม่มีเงินเหลือ เช่นนั้นพระองค์จะขายหม่อมฉันก็ได้นะเพคะ”
หัวเราะคิกคักขณะเอ่ย หลินเมิ้งหยากลับรู้สึกได้ถึงแรงที่ส่งออกมามากขึ้นจากหลงเทียนอวี้
เลิกดึงดันที่จะดิ้นหนี หลินเมิ้งหยาทำเพียงซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา ทว่าไม่นานหลงเทียนอวี้ก็คลายวงแขนออก ก่อนจะวางตัวนางให้นั่งลงบนเก้าอี้
“ข้าจะหาคนมารักษาเจ้าและจะไม่มีวันปล่อยให้เกิดแผลเป็นเป็นอันขาด เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด ตอนเย็นข้าจะมาหาเจ้าอีกครั้ง”
ทิ้งไว้เพียงประโยคนี้ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
หลินเมิ้งหยาจ้องแผ่นหลังของเขานิ่งเสมือนคนโง่
ผู้ชายคนนี้คือหลงเทียนอวี้หรือ?
สาวเท้ายาวๆ กลับไปยังห้องอ่านหนังสือของตัวเอง ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมจนไม่มีใครกล้าหายใจแรงๆ
เขารู้จักตัวตนของผู้หญิงคนนั้นดี หากนางไม่ตาย เกรงว่าเขานี่แหละที่จะชำแหละนางเป็นชิ้นๆ