ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 347 ซ่างกวนมาเยือน
“ช่วงนี้มีใครเข้าพบท่านอาจารย์หรือไม่เพคะ?”
โสมโลหิตมนุษย์มีมูลค่าสูงมาก แต่คนที่ทำให้ท่านอาจารย์สามารถเสี่ยงชีวิตตัวเองได้เช่นนี้ แสดงว่าคนคนนั้นจะต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างกับท่านอาจารย์
มิเช่นนั้นต่อให้พวกเขาจ่อมีดไว้ที่คอของท่านอาจารย์ เขาก็ไม่มีทางร่วมมือปลูกต้นสมุนไพรชนิดนี้อย่างแน่นอน
อันที่จริงหลินเมิ้งหยามีชื่อของผู้ต้องสงสัยในใจแล้ว
แต่หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว หลินเมิ้งยากลับรู้สึกว่าคนเหล่านั้นไม่มีเหตุผลใดๆ ในการนำโสมโลหิตมนุษย์ไปใช้
“ไม่มี ป๋ายหลี่รุ่ยมีอุปนิสัยประหลาด นอกจากคนส่งอาหารสามมื้อแล้ว ไม่มีใครกล้าพูดคุยกับเขาเลยแม้แต่น้อย หรือเจ้ากำลังสงสัยว่ามีคนในจวนคิดจะใช้โสมโลหิตมนุษย์ในการวางแผนร้าย”
สีหน้าของหลงเทียนอวี้เคร่งขรึมลง
อันที่จริงป๋ายหลี่รุ่ยเป็นคนมีพรสวรรค์ อย่าว่าแต่เขาเลย ในดินแดนแห่งนี้ทุกคนล้วนตระหนักถึงความสามารถวิชาแพทย์พิษของเขา
แต่อารมณ์ของเขาค่อนข้างแปรปรวนอย่างยิ่ง คราแรกป๋ายหลี่อู๋เฉินหลอกเขามาขังไว้ที่นี่ แม้จะใช้ไม้อ่อนไม้แข็ง แต่ก็มิอาจทำให้ป๋ายหลี่รุ่ยยอมก้มหัวได้ เขาเป็นคนหัวรั้นเกินเยียวยา
วันนี้เขายอมปลูกโสมโลหิตมนุษย์ขึ้นมา หากมิใช่เพราะความสมัครใจของเขาเอง เช่นนั้นก็คาดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังจะต้องมีข้อต่อรองอย่างแน่นอน
กลับมายังจวนอวี้คืนแรก หลินเมิ้งหยากลับใช้เวลาในการครุ่นคิดเรื่องวุ่นวายเหล่านี้
ตอนนี้นางยังคิดหาข้อดีของโสมโลหิตมนุษย์ไม่เจอ
แต่มีอีกเรื่องที่ทำให้นางรู้สึกยินดี
บางทีอาจเพราะระบบเซินหนงในสมอง ฉะนั้นต้นโสมโลหิตมนุษย์จึงใช้กับนางไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย
นางมีระบบคอยช่วยป้องกัน แต่ท่านอาจารย์ไม่โชคดีเช่นนั้น
นางตื่นนอนแต่เช้าเพราะความเคยชิน ชีวิตในแต่ละวันนับตั้งแต่ข้ามภพมาล้วนเหน็ดเหนื่อย แต่ถึงกระนั้นนางกลับเคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างมีระบบระเบียบเช่นนี้แล้ว
หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ หลินเมิ้งหยาออกมานั่งจิบชาที่ห้องโถง
เมื่อวานนางส่งคนไปเชิญซ่างกวนฮุ่ยมาแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่านางจะตอบรับคำเชิญทันที ดูเหมือนนางจะมีเรื่องร้อนใจเป็นอย่างมาก
รู้สึกเจ็บปวดในใจเบาบาง
นางยังไม่อาจหาวิธีแก้ปัญหาของท่านอาจารย์ได้
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คนที่ถูกทำร้ายก็คือตัวท่านอาจารย์เอง
แม้ท่านอาจารย์จะได้รับผลกระทบจากต้นโสมโลหิตมนุษย์ แต่สิ่งที่พยายามฝึกฝนมาตลอดหลายปียังคงไม่เปลี่ยนแปลง
หากนางแอบวางยา เกรงว่าท่านอาจารย์จะต้องจับได้ เมื่อถึงเวลานั้นเรื่องราวอาจยิ่งแย่ลง
ท่านอาจารย์ดีกับนางมาก ฉะนั้นนางจะต้องหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุด
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เกี้ยวของคุณหนูซ่างกวนก็มาหยุดที่ประตูหลังของจวน
แม้พวกนางจะเชื่อมไมตรีกันนานแล้ว แต่สกุลซ่างกวนคือสกุลของฮองเฮา หากมีใครพบเห็น เกรงว่าจะเกิดเรื่องเอาได้
หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในศาลา ชาหอม ผลไม้และขนมล้วนจัดวางอยู่บนโต๊ะเพื่อรอการมาเยือนของแขก
ป๋ายจีออกไปต้อนรับแขกที่ประตูหลัง ซ่างกวนฮุ่ยสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า วันนี้นางไม่ได้สวมชุดหรูหรางดงาม แต่กลับสวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดา
พวกบ่าวในตำหนักล้วนถูกป๋ายซ่าวไล่ออกไปแล้ว
ฉะนั้นนอกจากหลินเมิ้งหยาและสาวใช้ประจำกายก็ไม่มีใครรู้ว่าผู้มาเยือนคือหญิงสาวเลื่องชื่อในเมืองหลวง ซ่างกวนฮุ่ย
“ท่านพี่รีบมานี่เร็ว ข้ารอท่านนานแล้ว”
หลินเมิ้งหยายิ้มหวานขณะออกไปต้อนรับ
ปิดประตูตำหนัก ซ่างกวนฮุ่ยปลดผ้าคลุมหน้าลง ใบหน้าสีชมพูระเรื่อแย้มยิ้มอ่อนหวานระคนอึดอัด
หลังจากทั้งสองถวายคำนับซึ่งกันและกัน หลินเมิ้งหยาจึงไปรับนางมานั่งที่ศาลา
คานไม้แกะสลักสวยงาม บนโต๊ะมีชาและขนมมากมาย ทว่ากลับมิได้ดึงดูดความสนใจของซ่างกวนฮุ่ยเลยแม้แต่น้อย
ร่างบางนั่งลงบนเก้าอี้หินก่อนจะรับชาจากป๋ายจี ทว่าดวงตาของนางหลุบต่ำ พร้อมทอดถอนหายใจ
“เฮ้อ ในที่สุดเจ้าก็ออกจากวังเสียที หากเจ้ายังไม่ออกมา ข้าคงไม่รู้ว่าจะระบายความทุกข์กับใคร”
หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับนาง สายตาเหลือบมองซ่างกวนฮุ่ย
“เหตุใดจึงเอ่ยเช่นนี้ พี่ซ่างกวนเป็นคนจิตใจดี ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดทำให้ท่านหนักใจหรือ?”
หากเทียบเรื่องกลอุบายแล้ว ซ่างกวนฮุ่ยเก่งกว่าหลินเมิ้งหยามาก
เหตุเพราะนางสามารถเอาตัวรอดอยู่ในสกุลซ่างกวนได้ อีกทั้งยังมีจุดยืนของตนเองอย่างชัดเจน สิ่งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี
หากหลินเมิ้งหยาคนก่อนเฉลียวฉลาดได้อย่างซ่างกวนฮุ่ย คาดว่านางคงไม่ตายในเกี้ยวเจ้าสาวอย่างแน่นอน
“หากต้องต่อกรกับคนในตระกูล ข้าคงไม่หนักใจเท่านี้ แต่คราวนี้ฮองเฮาต้องการให้ข้าไปดูตัว เช่นนั้นเจ้าคงเข้าใจข้าดี เกรงว่าครั้งนี้จะมิอาจหลีกหนีพ้นอีกแล้ว”
ซ่างกวนฮุ่ยพูดอย่างมีเหตุผล
นับตั้งแต่วันที่ฮองเฮาถวายตัวเข้าวัง อำนาจทั้งหมดในสกุลซ่างกวนล้วนตกอยู่ในกำมือของนาง
แต่เพราะเหตุใดฮองเอาจึงใส่ใจเลือกคู่ดูตัวให้ซ่างกวนฮุ่ยเช่นนี้กันเล่า?
หรือนางจะระแคะระคายอะไรขึ้นมา?
“ท่านค่อยๆ เล่าเถิด ข้าคิดว่าท่านจะต้องหาวิธีเอาตัวรอดได้แล้วอย่างแน่นอนใช่หรือไม่? มิเช่นนั้นท่านก็หานักบวชสักคนมาทายทักว่าท่านยังไม่เหมาะสมที่จะออกเรือนเท่านี้ก็ได้แล้วนี่ เหตุใดต้องวิตกด้วยเล่า?”
หลินเมิ้งหยาเสนอวิธีที่มักใช้กันอยู่ทั่วไป แม้คำพูดเหล่านั้นจะเชื่อถือไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถช่วยชีวิตคนได้
ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงานของประชาชนหรือการอภิเษกของคนในวังก็ล้วนเชื่อเรื่องดวงชะตากันทั้งสิ้น
หากนักบวชเอ่ยว่ายังไม่เหมาะ ไม่ว่าแต่งกับใครก็จะเกิดหายนะแล้วล่ะก็ คาดว่าการดูตัวคงไม่มีวันเกิดขึ้นอีก
คนในครอบครัวธรรมดาอาจเพิกเฉยมิสนใจและแต่งงานตามปกติ แต่หากเป็นสกุลที่มีอำนาจ เช่นนั้นปัญหาอาจเกิดขึ้นได้
มองดูสีหน้าของซ่างกวนฮุ่ย หรือนางกำลังจะแต่งงานกับครอบครัวคนธรรมดา? แต่ดูไม่เหมือนว่าเป็นเช่นนั้น
“ข้าเองก็เคยคิดวิธีนี้เอาไว้แล้ว แต่ฮองเฮากลับใจแข็งยิ่งนัก วันเดือนปีเกิดของข้าถูกนำไปให้โหรหลวงตรวจสอบดวงชะตาแล้ว พวกเขาล้วนบอกว่าข้าอยู่ในวัยที่เหมาะสมต่อการแต่งงาน”
ใบหน้าของซ่างกวนฮุ่ยทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก
“เอ๋? คุณชายจากสกุลใดกันนะที่ทำให้ฮองเฮาให้ความสำคัญมากถึงเพียงนี้?”
คิ้วของหลินเมิ้งหยาเลิกสูงขึ้น ช่วงนี้ฮองเฮามิค่อยออกหน้าทำเรื่องใด ดูเหมือนการหาคู่ดูตัวให้ซ่างกวนฮุ่ยจะมิใช่เรื่องเล็ก
ซ่างกวนฮุ่ยชำเลืองมองหลินเมิ้งหยา ก่อนจะเอ่ย
“หาใช่คุณชายไม่ แต่เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่แห่งแคว้นหลินเทียน ฮองเฮาต้องการส่งข้าไปแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์!”
แต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์? หลินเมิ้งหยาเกือบหลุดขำพรืดออกมา คิดไม่ถึงเลยว่าฮองเฮายังสนใจเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อีก
แคว้นหลินเทียน? หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดก่อนจะนึกขึ้นได้ ก่อนนางแต่งงานออกเรือนหนึ่งปี อยู่ๆ ฮ่องเต้ของแคว้นหลินเทียนก็สละบัลลังก์ให้แก่องค์รัชทายาทซึ่งเป็นลูกชายของตนเอง ก่อนที่เขาจะขึ้นครองตำแหน่งไท่ซ่างฮวง
ตอนนั้นองค์รัชทายาทไม่ยอมรับตำแหน่ง แต่หลังจากพ่อลูกคุยกันแล้ว สุดท้ายองค์รัชทายาทก็ขึ้นครองบัลลังก์และกลายเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่
ได้ยินมาว่าสมัยที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังเป็นเพียงองค์รัชทายาท พวกขุนนางล้วนเชื่อฟังคำสั่งของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังบริหารบ้านเมืองอย่างเป็นธรรม
เหตุเพราะต้าจิ้นและหลินเทียนมีเขตพรมแดนติดต่อกัน ฉะนั้นจึงเกิดข้อพิพาทเมื่อหลายปีก่อน แต่ตอนนี้ข้อพิพาทนั้นได้ยุติลงแล้ว
หรือฮองเฮาคิดจะใช้การแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ในคราวนี้สร้างความมั่นคงระหว่างแคว้น?
นับเป็นเรื่องดี ทว่าความคิดกลับไม่เหมือนฮองเฮาคนที่นางรู้จัก
เหตุเพราะความสัมพันธ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับฮองเฮาล้วนมิใช่ความสัมพันธ์ธรรมดา
“หากลำดับจากฐานะของท่าน ท่านจะต้องได้เป็นพระสนมของฮ่องเต้แห่งหลินเทียนอย่างแน่นอน เรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก พี่ซ่างกวนลองสืบดูแล้วหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดฮองเฮาจึงอยากให้ท่านแต่งงานกับฮ่องเต้แห่งหลินเทียน?”
แม้ซ่างกวนฮุ่ยจะร้อนใจ แต่นางเป็นคนละเอียดรอบคอบ ไม่นานนางก็เล่ารายละเอียดให้ฟัง
ตอนนี้คนเดียวที่สามารถช่วยนางได้เห็นจะเป็นหลินเมิ้งหยาแล้ว ฉะนั้นนางจึงไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอะไรทั้งสิ้น
“ข้าได้ยินมาว่าฮ่องเต้องค์ใหม่แห่งหลินเทียนพึงใจในหญิงสาวแห่งต้าจิ้น ยิ่งไปกว่านั้นแคว้นโดยรอบยังมีการจลาจล ฉะนั้นข้าจึงคิดว่าฮองเฮาคงอยากเชื่อมสัมพันธไมตรีอย่างแน่นอน”
นี่เป็นเรื่องจริง นิ้วมือของหลินเมิ้งหยาเคาะโต๊ะเบาๆ สมองเริ่มประมวลข้อมูลที่เพิ่งได้รับ
การแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์เป็นหนึ่งในการสร้างสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน
ทว่าต้าจิ้นมีกองกำลังที่แข็งแกร่ง แม้จะมีการชิงอำนาจกันอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็หาใช่แคว้นที่จะสามารถโจมตีให้แตกพ่ายได้
กลับกัน ดินแดนโดยรอบล้วนเกิดการรบราฆ่าฟันไม่หยุดหย่อน ฉะนั้นพวกเขาจึงมีกำลังไม่มากพอที่จะก่อสงครามกับต้าจิ้น
เท่าที่นางดู การเชื่อมสัมพันธไมตรีน่าจะเป็นเรื่องจริง แต่เป้าหมายหลักคืออะไรนั้น คาดว่านางต้องพิจารณาดูอีกที
“น้องสาว คราวนี้ข้าคงต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าจริงๆ แล้ว ข้ายอม…ยอมเป็นเพียงสาวใช้ของท่านแม่ทัพ ข้าไม่อยากไปเป็นสนมแห่งหลินเทียน เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่?”
หยดน้ำตารินไหลจากใบหน้าของซ่างกวนฮุ่ย ท่าทางของนางน่าสงสารจับใจ
หลินเมิ้งหยารู้ว่าซ่างกวนฮุ่ยชอบพี่ชายของตนจริงๆ มิเช่นนั้นนางเองก็คงไม่ช่วยเหลือซ่างกวนฮุ่ยด้วยความจริงใจเช่นนี้
“ข้าคิดว่าเรื่องการแต่งงานคงมิอาจถูกจัดขึ้นได้ในทันที สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือพระอาการประชวรของฮ่องเต้ หากคิดจะส่งท่านไปแต่งงาน เช่นนั้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากฮ่องเต้ก่อน ฉะนั้นท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย พยายามเข้าหาพวกฮองเฮาและอย่าเผยพิรุธใดๆ ข้าจะช่วยท่านมิให้ต้องไปแต่งงานเอง”
หลังจากได้รับคำสัญญาจากหลินเมิ้งหยา ซ่างกวนฮุ่ยจึงแย้มยิ้มขึ้น
แม้จะยังกังวลอยู่เล็กน้อย แต่นางกลับรู้สึกว่าขอเพียงมีหลินเมิ้งหยาอยู่ เช่นนั้นนางจะปลอดภัย
“ได้ ข้าต้องขอบใจเจ้ามาก นี่คือของขวัญที่ข้าต้องการมอบให้ท่านแม่ทัพ เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนให้เขาเถิด อย่า…อย่าบอกว่าข้าเป็นคนให้”
ขณะพูด นางหยิบห่อผ้าออกมาจากแขนเสื้อ เห็นได้ชัดว่านางใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง เหตุเพราะของชิ้นนั้นถูกห่อเอาไว้ด้วยผ้าหลายผืน
นางมีสีหน้าเขินอายขณะวางลงตรงหน้าหลินเมิ้งหยา