ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 349 ของแทนความรักและความเชื่อใจ
หลังจากอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง หลงเทียนอวี้จึงเอ่ยออกมาด้วยความระมัดระวัง
“ข้าคิดว่าเจ้าเองก็น่าจะสังเกตเห็นแล้วว่าอันที่จริงต้าจิ้นหาได้อยู่ในกำมือของเสด็จพ่อข้าเพียงคนเดียวไม่ ไม่สิ ต้องพูดว่าเหตุที่ต้าจิ้นวุ่นวายเช่นนี้ก็เพราะมีคนแอบควบคุมภายในราชสำนักและกองทัพ”
หลงเทียนอวี้พูดพลางสังเกตสีหน้าของหลินเมิ้งหยา
มองดูสีหน้ามิได้ตกใจของนาง หลงเทียนอวี้จึงผ่อนลมหายใจ
คนฉลาดเช่นนางจะไม่รู้เบาะแสเหล่านี้ได้อย่างไร
แต่คำพูดต่อไปนี้คือสิ่งที่นางควรรู้
“ปกติพวกเขาไม่ยอมเปิดเผยตัวตนและไม่เข้ามายุ่มย่ามกับพวกเรา แต่หากเป็นการชิงอำนาจหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของเจียงซาน คนเหล่านั้นจะทำทุกวิถีทางเพื่อขจัดปัญหา”
หลินเมิ้งหยาฟังคำกล่าวของหลงเทียนอวี้นิ่ง แต่พูดไปพูดมาล้วนเป็นข้ออ้างของผู้หญิงคนนั้นมิใช่หรือ?
เพราะเหตุนี้นางจึงเข้าวังได้อย่างราบรื่น
ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างทางที่กลับมา คนเหล่านั้นจึงร่วมมือกันเพื่อกำจัดนาง
“เหตุเพราะราชสำนักก่อนเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ข้าไม่หวังให้เจ้าได้รับบาดเจ็บใดๆ ฉะนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะพิจารณาทุกเรื่องอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่เจ้าจะตัดสินใจทำอะไร”
หลงเทียนอวี้มองสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงของนาง เขาคิดว่าหลินเมิ้งหยาสามารถยอมรับเรื่องเหล่านี้ได้ เขาจึงลอบถอนหายใจ
อันที่จริงเมื่อคืนเขาได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง
เนื้อหาเขียนว่าหลินเมิ้งหยาถวายการตรวจชีพจรฮ่องเต้สำเร็จ แต่ถึงกระนั้นก็อย่าคิดหยิ่งผยอง สตรีชั่วจะเข้ามาวุ่นวายทำลายกฎระเบียบมิได้ ฉะนั้นคำพูดและน้ำเสียงควรอ่อนน้อมถ่อมตน
หลงเทียนอวี้คิดว่าควรบอกหลินเมิ้งหยาให้รับรู้เรื่องนี้
แม้สิ่งที่เขาทำทั้งหมดจะไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว
แต่เขามั่นใจว่าอำนาจของเหล่าขุนนางจะต้องเอนเอียงไปทางฮองเฮาอย่างแน่นอน ฉะนั้นหลังจากสร้างแรงกดดันให้ไท่จื่อแล้ว พวกเขาจึงส่งจดหมายฉบับนี้มาเตือนเขา
“หม่อมฉันเข้าใจเพคะ ขอเพียงไม่ทำให้พระองค์ต้องลำบากใจก็เพียงพอแล้ว หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง เรื่องบางเรื่องก็มิอาจเข้าไปยุ่งได้”
เป็นเพราะนางออกหน้ามากจนเกินไป จึงทำให้มีคนจับตามองนาง
ที่นี่คือยุคโบราณที่ให้ความสำคัญกับเรื่องระบบชนชั้น พวกเขาไม่มีวันยอมให้ผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชาย
น่าเสียดาย แม้นางจะสามารถดึงฮองเฮาลงจากหลังม้าได้ แต่นางไม่มีทางเปลี่ยนแปลงสังคมหรือขนบธรรมเนียมประเพณีได้
เมื่อเห็นนางไม่พูดอะไร ทำเพียงหลุบตาต่ำราวกับคนไร้ความสุข หัวใจของหลงเทียนอวี้เริ่มเรียกร้องความยุติธรรมแทนนาง
แต่เขากลับไม่รู้จะปลอบโยนนางเช่นไร
เขาไม่มีประสบการณ์ในการปลอบใจผู้หญิงมาก่อน โดยเฉพาะผู้หญิงฉลาดเฉลียวตรงหน้า
ครุ่นคิด อยู่ๆ หลงเทียนอวี้ก็เดินออกจากตำหนักหลิวซิน
“เอ๋ พระองค์จะไปไหนเพคะ?”
หลินเมิ้งหยาเงยหน้า ทันเห็นเพียงแผ่นหลังของเขาเท่านั้น
ยังไม่ทันจะพูดจบ ร่างสูงพลันลับหายไปจากแนวสายตา
จริงๆ เลย หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า นางเคยชินกับการอยู่ๆ ก็มา อยู่ๆ ก็ไปของหลงเทียนอวี้แล้ว
ขณะที่คิดจะร้องเรียกป๋ายจีและป๋ายซ่าวเพื่อออกไปเดินเล่น นางกลับได้เห็นหลงเทียนอวี้สาวเท้ายาวๆ เดินกลับมา
“ให้เจ้า”
เบิกตาโต หลินเมิ้งหยามองกล่องไม้ที่หลงเทียนอวี้นำมาวางด้านหน้าตัวเอง
กล่องไม้แกะสลักด้วยลวดลายงดงาม มุมทั้งสี่ประดับด้วยดอกไม้สีเหลืองทองอร่าม
หลินเมิ้งหยาค่อยๆ เปิดออก ก่อนแสงของอัญมณีจะเปล่งประกายแทงตาของนาง
นี่มัน….
ภายในกล่องมีปิ่นปักผมทองและหยกเป็นจำนวนมาก
ด้านล่างสุดคือธนบัตรหนาปึกใหญ่ แม้จะถูกพับไว้แต่ก็ยังสามารถเห็นจำนวนได้
หลินเมิ้งหยามองเขาด้วยสายตาประหลาดใจพลางครุ่นคิด ของเหล่านี้นางได้รับมามากมายแล้ว
หรือเขาไปปล้นคลังมา?
“พระองค์หมายความว่าอย่างไรเพคะ?”
รู้สึกขบขันเล็กน้อย เมื่อก่อนหากหลงเทียนอวี้ทำกับนางเช่นนี้ นางคงรู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องการทำให้นางเป็นเศรษฐีนี
แต่นางพบว่าหลงเทียนอวี้กำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป
มิเช่นนั้นเหตุใดทุกครั้งเขาจะต้องมอบของมีค่ามากมายให้กับนางด้วยเล่า ทั้งที่นางรู้ดีที่สุดว่าสมบัติในจวนมีมากน้อยเพียงไหน
เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้หลายครั้ง ดูเหมือนหลงเทียนอวี้จะนำเงินทองของเขาส่วนใหญ่มามอบให้นางหมดแล้ว
“ข้าเคยได้ยินมาว่าสิ่งที่เจ้าชอบมากที่สุดก็คือเงิน ถ้าเงินพวกนี้ยังไม่พอแล้วล่ะก็ เช่นนั้น…”
หลงเทียนอวี้เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ทว่าหลินเมิ้งหยากลับหลุดขำพรืดออกมา
นางนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้ว แต่ก่อนนางมักจะแกล้งหลงเทียนอวี้และบอกเขาเสมอว่านางชอบเงิน
“นี่พระองค์…กำลังปลอบใจหม่อมฉันหรือเพคะ?”
แม้หลงเทียนอวี้จะไม่ยอมรับ แต่สีหน้าของเขากลับเคร่งขรึมและประหม่า
อืม เหมือนนางจะเดาถูกแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หม่อมฉันจะขอรับน้ำพระทัยของพระองค์เอาไว้”
ยิ้มจนตาหยีแล้วรับกล่องไม้จากมือเขาไป
น้อยครั้งนักที่หลงเทียนอวี้จะแสดงออกถึงด้านน่ารักเช่นนี้ หลินเมิ้งหยารู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก
มองดูใบหน้าเปื้อนยิ้มของนาง หลงเทียนอวี้จึงรู้สึกสบายใจ
หากใช้เงินแลกรอยยิ้มของนางได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นเขายินยอมนำเงินที่เก็บไว้ด้านนอกเหล่านั้นมามอบให้นางทั้งหมด
“ข้ายังมีเรื่องให้จัดการ เช่นนั้นขอตัวก่อน”
พาอารมณ์ที่ผ่อนคลายลงเดินจากไป เมฆดำทะมึนในหัวใจของเขาพลันจางหายไป
ตั้งแต่ยังเด็ก เขาที่อาศัยอยู่ในวังหลวงมองเงินทองของมีค่าแตกต่างจากคนอื่น
นอกจากอ๋องอวี้ที่อยู่ในราชสำนัก สี่จตุรเทพของเขาล้วนกุมอำนาจในราชอาณาจักรแห่งนี้
พรคคที่มีเครือข่ายยิ่งใหญ่ย่อมมีเงินทองมากมาย
อาจพูดได้ว่ากิจการภายใต้ชื่อของเขามีอยู่ราวครึ่งหนึ่งของต้าจิ้น
หากหลินเมิ้งหยารู้ว่านางได้แต่งงานกับองค์ชายที่มีทรัพย์สินเงินทองมากมายจนนับไม่ถ้วน นางจะรู้สึกว่าตัวเองโชคดีหรือไม่
มองตามหลงเทียนอวี้ที่เดินจากไป หลินเมิ้งหยากอดกล่องไม้อย่างทะนุถนอม
อยู่ๆ หัวใจพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
มือเล็กลูบคลำกล่องไม้ นางไม่มีวันยอมรับหรอกว่าตนเองหวั่นไหวเพราะเงิน
ล้อเล่นหรือไร นางที่เป็นเจ้าของกลุ่มสามสหายถือเป็นสตรีที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ เชียวนะ
แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่รังเกียจเงินทองเล็กๆ น้อยๆ หรอก ยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ก็ยังสั่งให้ป๋ายซ่าวนำกล่องไม้ไปวางไว้ในฝั่งทรัพย์สินของหลงเทียนอวี้
หลินเมิ้งหยาที่ขาดประสบการณ์ด้านความรักไม่ทันสังเกตเลยว่าอัญมณีแวววาวและเงินปึกหนาน่าตกใจเหล่านั้นเปรียบเสมือนของแทนใจของนางและหลงเทียนอวี้
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน หลินเมิ้งหยางีบหลับราวครึ่งชั่วโมง ก่อนจะลงไปยังคุกใต้ดิน
เพื่อความทะมัดทะแมง วันนี้นางไม่ได้ใส่ชุดชาววังหรูหรา
แต่กลับสวมชุดขี่ม้าสีม่วงอ่อนปักลายดอกไห่ถัง ปกเสื้อรัดแน่น อีกทั้งยังมีสายคาดเอวประดับอัญมณีระยิบระยับ เมื่อรวมกับรองเท้าหนังแกะสีขาวจึงทำให้นางดูงดงามและคล่องตัว
แม้ว่าผู้คุมคุกใต้ดินจะเปลี่ยนเป็นเมิ่งวินหลานแล้ว แต่หลังจากการปะทะกันคราวก่อน ลูกน้องของเขาจึงให้ความเคารพมากขึ้น ฉะนั้นคราวนี้นางจึงเข้ามาถึงห้องศิลาโดยมิเจอปัญหาใดๆ
บริเวณรอบๆ ไม่มีใครคอยคุ้มกันแล้ว
พวกองครักษ์ได้รับคำสั่งจากหลงเทียนอวี้ว่ามิให้เข้าไปใกล้ห้องศิลาของป๋ายหลี่รุ่ยโดยไม่จำเป็น
เดินเข้าไปในห้อง อาจารย์มิได้คลั่งไคล้ยืนปกป้องต้นโสมโลหิตมนุษย์อีก
กลิ่นคาวเลือดจางหายไปแล้ว ดินในอ่างหยกสีขาวกลับมาเป็นสีดำ ใบไม้สีเขียวของต้นโสมโลหิตมนุษย์เริ่มเหี่ยวเฉา
หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเล็กน้อย
เหตุเพราะหลงเทียนอวี้ไม่ยินยอมมอบเลือดและเนื้อให้แก่ท่านอาจารย์ ฉะนั้นต้นโสมโลหิตมนุษย์จึงเริ่มเหี่ยวเฉา
แม้จะเสียดายยาสมุนไพรชนิดนี้ แต่เมื่อนึกถึงกลิ่นเลือดและความโหดร้ายของมันขึ้นมา หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าควรปล่อยให้มันเฉาตายไปจะดีกว่า
“เจ้าสำนัก ท่านกลับมาแล้วหรือ”
เสียงอ่อนหวานพลันดังออกมาจากส่วนลึกสุดของห้อง
จากนั้นร่างบางในชุดสีขาวราวหิมะของหยุนจู๋พลันปรากฏขึ้นแล้วสาวเท้าเข้ามาทีละก้าว
“อืม ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่เล่า?”
หลินเมิ้งหยารู้สึกยินดีกับความรักระหว่างหยุนจู๋และท่านอาจารย์ ตอนนั้นความรักของพวกเขาพังลงเพราะการเข้าใจผิด ฉะนั้นพวกเขาจึงทำเพียงเฝ้าคะนึงหาอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว
หยุนจู๋เป็นคนมีความสามารถ หากนางกลายเป็นฮูหยินของท่านอาจารย์ได้ล่ะก็ เช่นนั้นจะต้องมีข่าวดีอย่างแน่นอน
“ข้ามาดูแลเขา คิดไม่ถึงเลยว่าเวลาเพียงไม่กี่วัน อาการของเขาจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าร่างกายของเขาจะรับไม่ไหว”
น้ำเสียงเจือความห่วงใย
หลินเมิ้งหยาลอบสำรวจนางเล็กน้อย ใบหน้าขาวนวลดุจหิมะของนางฟื้นฟูมากกว่าเดิมหลายเท่า
อันที่จริงเมื่อเทียบกับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน นางนับว่าอ่อนเยาว์กว่าคนเหล่านั้นมาก
เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากของนาง ดูเหมือนนางจะเป็นคนพยุงท่านอาจารย์ไปพักผ่อนด้วยตัวเองใช่หรือไม่