ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 350 คนทรยศ
“อาการของท่านอาจารย์เป็นเช่นไรบ้าง? ข้ากลัวว่าไฟชีวิตของเขาใกล้จะมอดเต็มที หากร่างกายของเขารับไม่ไหว เกรงว่าจะต้องแย่แน่ๆ”
สำหรับว่าที่ฮูหยินของท่านอาจารย์แล้ว หลินเมิ้งหยารู้สึกเคารพเลื่อมใสนางมาก
ดวงตางดงามของหยุนจู๋เผยให้เห็นความกังวล
“เจ้าสำนักพูดถูกแล้ว เช่นนั้นพวกเราทำลายเจ้าสิ่งของชั่วร้ายนี้ดีหรือไม่ ข้ากลัวว่าหากเขายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ชีวิตของเขาคงดับสูญ”
ขณะพูด หยุนจู๋ยกมือขึ้นเตรียมทำลายต้นโสมโลหิตมนุษย์
“ช้าก่อน!”
หลินเมิ้งหยารีบร้องห้าม ร่างของนางพุ่งเข้ามาบังต้นโสมเอาไว้
“นี่คือชีวิตของท่านอาจารย์ หากเจ้าทำมันตาย ท่านอาจารย์เองก็จะตายไปด้วย”
หยุนจู๋ตกตะลึง นางรีบชักมือกลับไป
ดวงตากลมโตจับจ้องหลินเมิ้งหยา เมื่อเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจ นางจึงรีบถามหาคำอธิบายทันที
“เป็นไปได้อย่างไร…หรือ…หรือว่าจะไม่มีทางรักษาแล้ว”
ราวกับคนเสียสติ หยุนจู๋คิดไม่ถึงเลยว่าป๋ายหลี่รุ่ยจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
เมื่ออยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย ความโกรธแค้นที่ผ่านมาไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
“มีทางรักษา แต่ตอนนี้ร่างกายของท่านอาจารย์ยังไม่เหมาะที่จะรับการรักษา หากท่านอาจารย์ดูแลฟื้นฟูร่างกายให้ดี เช่นนั้นอาจจะสามารถช่วยเขาได้”
แววเจ้าเล่ห์วาบผ่านดวงตาของหลินเมิ้งหยา
หันหลังกลับ แหงนหน้าทำมุมสี่สิบห้าองศา ก่อนจะเอ่ยเสียงเศร้า
“ทว่าตอนนี้สติสัมปชัญญะของท่านอาจารย์ไม่ปกติ นอกจากข้าแล้ว เกรงว่าเขาคงไม่รู้จักใครอื่นอีก หากข้าส่งคนมาดูแลเขา เกรงว่าจะดูแลเขาได้ไม่ดีพอ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ข้าเองก็คงทนไม่ได้”
ไม่ต้องมองหลินเมิ้งหยาก็รู้ว่าบัดนี้หยุนจู๋กำลังจมอยู่ในสงครามความคิดของตัวเอง
ความแค้นที่สั่งสมมานานจางหายไปตามกาลเวลาเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่หลอมละลาย
ตอนนี้ทั้งสองต้องการเพียงโอกาสในการปรับความเข้าใจกันเท่านั้น หลินเมิ้งหยาจึงต้องการเอ่ยกระตุ้นนาง
หากนางยังรู้สึกกับท่านอาจารย์เหมือนก่อน เช่นนั้นก็เป็นเรื่องน่ายินดี
“เช่นนั้น…เช่นนั้นข้าจะมาดูแลเขาเอง แม้กลุ่มสามสหายจะไม่มีข้า แต่ถึงกระนั้นพวกหัวหน้าแต่ละฝ่ายก็สามารถคุมงานให้เป็นปกติได้ เขา…ตอนนั้นข้าเข้าใจเขาผิดไป ข้า…ติดหนี้เขาอยู่”
เมื่อเห็นว่าแผนการของตัวเองสำเร็จ หลินเมิ้งหยาไม่ลืมที่จะแสดงท่าทีเกรงใจ
“จะไม่เป็นการรบกวนเจ้าหรือ? แต่ก่อนเจ้าเป็นผู้ดูแลกลุ่มสามสหาย ข้าเกรงว่าหากเจ้าต้องเสียเวลามาดูแลท่านอาจารย์อีก เช่นนั้นเจ้าจะเหนื่อยเกินไป”
หลินเมิ้งหยาผินหน้ากลับมา แม้ปากจะพูดว่ารบกวน แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความลำบากใจ
แก้มของหยุนจู๋แดงระเรื่อ สายตาสับสนวุ่นวาย
แต่ก่อนเคยเห็นเพียงใบหน้าเรียบเฉยของหยุนจู๋ หยุนจู๋ในเวลานี้ทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจ
“ไม่รบกวนหรอก ถึงอย่างไรที่นี่ก็มีคนมากมาย อันที่จริงข้า…ข้าก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ทำแค่เพียงเฝ้าเขาเท่านั้นมิใช่หรือ?”
เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก ทว่าหลินเมิ้งหยากลับฟังออกถึงความคาดหวัง
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว ต่อจากนี้ไปข้าคงต้องรบกวนเจ้าดูแลท่านอาจารย์ด้วย”
เวลาเพียงชั่วพริบบตา หลินเมิ้งหยารีบตอบรับความปรารถนาของหยุนจู๋
หลังจากพูดเรื่องการดูแลท่านอาจารย์คร่าวๆ ให้หยุนจู๋ฟัง หลินเมิ้งหยาจึงเดินออกจากคุกใต้ดินด้วยความสบายใจ
อันที่จริง ก่อนนั้นหลินเมิ้งหยารู้สึกว่าคนที่น่าสงสัยที่สุดที่ทำให้ท่านอาจารย์เป็นเช่นนี้คือหยุนจู๋
เหตุเพราะท่านอาจารย์ติดหนี้นาง ฉะนั้นเขาไม่มีวันปฏิเสธคำขอร้องของนาง
ทว่าตอนนี้ความสงสัยของนางจางหายไปแล้ว
แต่ต่อให้คนคนนั้นคือหยุนจู๋ ทว่าตราบใดที่ยังอยู่ในจวนนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวล
โสมโลหิตใกล้จะตายเต็มทีแล้ว
หากไม่มีอะไรหล่อเลี้ยง เช่นนั้นต้นโสมก็จะเหี่ยวเฉาหรือสูญเสียสรรพคุณทางยาไป
แต่ไม่ว่าจะทางไหน มันก็ไม่สามารถทำร้ายใครได้อีกแล้ว
แม้จะไม่รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใคร แต่โชคดีที่เรื่องนี้กำลังจะจบลง
ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ นางกลับเห็นหลินขุยที่มีใบหน้าเคร่งขรึมเดินมุ่งไปทางห้องอ่านหนังสือของหลงเทียนอวี้
เขาไม่สังเกตเห็นนางทั้งที่ยืนอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เมตร
แปลกเหลือเกิน หลินขุยเปรียบเสมือนนักรบประจำกายของหลงเทียนอวี้ เกรงว่าเรื่องที่สามารถทำให้เขามีท่าทางเคร่งขรึมเช่นนี้ได้คงไม่พ้นเรื่องคนทรยศ
หลินเมิ้งหยาเดินตามหลังหลินขุยไปยังห้องอ่านหนังสือของหลงเทียนอวี้
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยได้ข่าวมาว่าเจ้าคนทรยศป๋ายหลี่อู๋เฉินหนีไปได้แล้ว อีกทั้งเขายังไปพึ่งบารมีของไท่จื่อ ฐานที่มั่นสำคัญของพวกเราหลายแห่งถูกโจมตี วันนี้สหายของพวกเราตายไปค่อนข้างมากพ่ะย่ะค่ะ”
ตื่นตะลึง หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินจะยังมีชีวิตอยู่
ตอนแรกนางถูกป๋ายหลี่อู๋เฉินจับตัวได้ ดังนั้นจึงใช้ปิ่นปักผมแทงดวงตาของเขาข้างหนึ่ง ตอนแรกคิดว่าเขาคงจะตายที่ข้างถนนแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะโชคดีถึงเพียงนี้
รีบสาวเท้าเข้าไปเปิดประตูห้องหลงเทียนอวี้ ชายทั้งสองหันหน้ามามองนางอย่างพร้อมเพรียงกัน
“พระชายา นี่ท่าน…”
ราวกับหลินขุยไม่อยากให้หลินเมิ้งหยาเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ เหตุเพราะสาเหตุที่ป๋ายหลี่อู๋เฉินทรยศหักหลังส่วนใหญ่มาจากความสัมพันธ์ระหว่างหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้
ทุกคนล้วนรับรู้ถึงความเจ้าเล่ห์เพทุบายของป๋ายหลี่อู๋เฉิน แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะทรยศหลงเทียนอวี้
แม้หลงเทียนอวี้จะเตะป๋ายหลี่อู๋เฉินออกจากตำแหน่งหนึ่งในสี่จตุรเทพแล้ว
แต่เรื่องที่หลินเมิ้งหยาเป็นต้นเหตุของปัญหาถูกแพร่งพรายในกลุ่มสี่จตุรเทพแล้ว
ทุกคนล้วนรู้สึกโกรธเคืองหญิงสาวที่เกือบทำลายกลุ่มสี่จตุรเทพ
ไม่ว่าจะพิจารณาทางใด หลินเมิ้งหยาในเวลานี้ก็ไม่เหมาะสมที่จะเข้าร่วม
“หม่อมฉันรู้ว่าเรื่องของป๋ายหลี่อู๋เฉินเกี่ยวข้องกับหม่อมฉัน ฉะนั้นหม่อมฉันเองก็ควรออกแรงด้วยเช่นเดียวกัน เหตุเพราะตอนนั้นหม่อมฉันทำให้เขามีโอกาสในการหนีออกจากคุกในวันนั้น”
หลินเมิ้งหยากล่าวเชิงขอโทษ หากวันนั้นนางไม่ถูกจับตัวไว้ อย่าว่าแต่หนีเลย ขนาดจะออกจากห้องขังเขาก็คงทำไม่ได้
“เรื่องนี้จะโทษเจ้าก็ไม่ถูก เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด หลินขุย เจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
สายตาของหลงเทียนอวี้สงบนิ่ง ราวกับเขามิได้ใส่ใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
หลินขุยลังเล แต่สุดท้ายก็กลับออกไป
เขาไม่อาจเข้าใจความคิดของเจ้านายได้ แต่เมื่อเจ้านายเอ่ยเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกสบายใจ
“พ่ะย่ะค่ะ”
ภายในห้องอ่านหนังสือจึงเหลือเพียงหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้
ป๋ายหลี่อู๋เฉินเคยเป็นคนสนิทของเขา ฉะนั้นย่อมต้องถือสิ่งสำคัญจำนวนมากเอาไว้ในมือ แม้นางจะรู้ว่าหลงเทียนอวี้เตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว แต่ถ้าหากเรื่องนี้ถูกไท่จื่อนำไปใช้ประโยชน์ เกรงว่าจะกลายเป็นเชื้อเพลิงในการบ่อนทำลายหลงเทียนอวี้
“หลงเทียนอวี้ เช่นนั้น…หม่อมฉันส่งคนเข้าไปในจวนของไท่จื่อแล้วกำจัดเขาดีหรือไม่เพคะ?”
พิศดูสีหน้าขึงขังของหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้กลับส่ายหน้า
“วางใจเถิด ไม่เป็นไรหรอก ก่อนนั้นข้าได้เปลี่ยนทุกอย่างใหม่หมดแล้ว แม้ป๋ายหลี่อู๋เฉินจะกลายเป็นคนของไท่จื่อ แต่เขาไม่มีทางทำร้ายข้าได้อย่างแน่นอน ว่าแต่เจ้าคิดออกหรือยังว่าจะใช้ยาชนิดใดรักษาอาการของเสด็จพ่อ?”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก
หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา บางทีนางอาจกังวลมากจนเกินไป
ไม่มีทางที่หลงเทียนอวี้จะไม่คำนึงถึงเหตุการณ์ในวันนี้
นับตั้งแต่วันที่ป๋ายหลี่อู๋เฉินหนีไป บางทีหลงเทียนอวี้อาจเตรียมการเอาไว้แล้ว อาจเป็นนางที่คิดมากไปเอง
“ยาของฮ่องเต้ หม่อมฉัน…”
ยังไม่ทันจะพูดจบ หลงเทียนอวี้จับจูงมือนางไปนั่งด้วยกันที่เก้าอี้
สายตาอ่อนโยนจ้องมองนาง ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาแดงระเรื่อ
“เจ้าเองก็ควรเรียกว่าเสด็จพ่อได้แล้ว ข้ารู้ว่าเสด็จพ่อยังไม่เคยเจอเจ้า แต่เขาจะต้องชอบเจ้าอย่างแน่นอน”
เสียงอ่อนโยนแผ่วเบาทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกไม่คุ้นชิน
ดึงมือตัวเองกลับ แม้หลงเทียนอวี้จะไม่เคยแสดงความรักอย่างโจ่งแจ้ง ทว่าหลินเมิ้งหยารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางกำลังเปลี่ยนไปทีละน้อย
หลงเทียนอวี้ในสายตาของนางมิได้เย็นชาอีกต่อไป แต่เขากลับแอบทำทุกสิ่งทุกอย่างแทนนาง
ผิดกับหัวใจของนางที่ยังรู้สึกสับสน
หลงเทียนอวี้เป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์ คาดว่าไท่จื่อไม่มีวันได้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างแน่นอน นั่นเท่ากับว่าหลงเทียนอวี้มีโอกาสที่จะขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร
เมื่อถึงเวลานั้น นางจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่แท้จริง
หลงเทียนอวี้ไม่สามารถเป็นของนางเพียงคนเดียวได้ ยิ่งไปกว่านั้น หลงเทียนอวี้จะชอบนางเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ?
นางที่เป็นคนในสมัยปัจจุบันคงมิอาจทำใจแบ่งสามีร่วมกับใครได้
หากวันนั้นมาถึง มันจะเป็นการพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างนางและเขาหรือไม่?
นางไม่รู้และไม่กล้าที่จะเชื่อ
การรักใครเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิตเป็นเรื่องยาก
มองหลินเมิ้งหยาที่อยู่ๆ ก็ก้มหน้าลง เขาไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไร หลงเทียนอวี้คิดเอาเองว่านางกำลังเขินอาย
ไม่ว่าหลินเมิ้งหยาจะเฉลียวฉลาดมากสักเพียงไหน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความรัก นางก็ยังเป็นเพียงหญิงสาวขี้อายคนหนึ่ง
หัวใจพลันรู้สึกชุ่มชื่นขึ้นมา หลงเทียนอวี้ตัดสินใจไม่บีบบังคับความรู้สึกของนาง
ถึงอย่างไรนางก็เป็นชายาของเขา ไม่ช้าก็เร็วนางก็ต้องยอมรับเขา
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย เขาไม่เชื่อหรอกว่าหลินเมิ้งหยาจะไม่รู้สึกอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย
ไม่เป็นไร แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนมีความอดทนอดกลั้นมาตลอด เชื่อว่าสักวันหนึ่งหลินเมิ้งหยาจะละทิ้งความเขินขายและเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างแน่นอน
“ท่านอ๋อง มีคนขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”