ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 352 สถานการณ์ในวังหลวง
บรรยากาศเคร่งขรึมจนชิวอวี้มิอาจทนได้อีกต่อไป
ดวงตาวาดรอยยิ้มเผยอารมณ์ขบขัน แต่ถึงกระนั้นสีหน้าท่าทางยังคงจริงจัง
“ท่านอ๋องเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
มองสีหน้าเคร่งขรึมของหลงเทียนอวี้ ชิวอวี้แอบหัวเราะในใจ
ดวงตาคมกริบตวัดมองชิวอวี้อย่างดูแคลน น้ำเสียงที่ส่งออกมาไร้ซึ่งความเป็นมิตร
“ข้าเข้าใจอะไรผิดหรือ?”
คนซื่อบื้อหลินเมิ้งหยามองไม่ออก แต่ชิวอวี้มองเห็นอย่างชัดเจน
นั่นคือการแสดงออกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของต่อผู้หญิงที่ตนเองหวั่นไหวด้วย
ทว่าหลินเมิ้งหยาหาใช่ผู้หญิงปกติทั่วไปไม่ หากท่านอ๋องคนนี้แสดงออกมากเกินไป บางทีหลินเมิ้งหยาอาจประหม่าเอาได้
เมื่อถึงเวลานั้น เขาเองก็บอกไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
หรือเขาควรจะเตือนสติคนทั้งคู่?
ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ชิวอวี้จ้องหลงเทียนอวี้ ก่อนจะกล่าวเสียงจริงจังหนักแน่น
“อันที่จริง….กระหม่อมและพระชายาหาได้มีอะไรเกินเลยต่อกัน ท่านอ๋องควรเชื่อพระทัยพระชายานะพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเป็นคนเก่งกาจและมีสายเลือดมังกร พระชายาและพระองค์เปรียบเสมือนคู่สร้างคู่สมที่หาได้ยากในรอบร้อยปี ฉะนั้นท่านอ๋องได้โปรดวางพระทัย กระหม่อมและพระชายาเป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น”
ชิวอวี้เพียงแค่หวังดี เขาคิดว่าตนเองจะได้รับความชื่นชมจากหลงเทียนอวี้ แม้อีกฝ่ายจะไม่ตอบว่าเขาเพียงล้อเล่น แต่อย่างน้อยความโกรธในใจของเขาก็ควรจะทุเลาลง
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลงเทียนอวี้จะทำเพียงสบถเสียงเย็น ก่อนจะสะบัดหน้าหนี
ผู้ชายคนนี้….
ชิวอวี้เริ่มรู้สึกว่าผู้ชายสกุลหลงชักจะไม่น่ารักเสียแล้ว
เมื่อเทียบกันแล้ว พวกพ้องของเขาล้วนใส่ใจกับการฝึกฝนร่างกายเพื่อสั่งสมอำนาจ โดยเฉพาะพี่ใหญ่ที่มีความฉลาดหลักแหลมคนนั้น
“ใต้เท้าชิว รถม้าเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว สาวใช้ของข้าจะนำทางท่านไปที่ประตูหลัง”
เสียงของหลินเมิ้งหยาพลันดังขึ้นพอดี
ชายทั้งสองจึงสงบศึกชั่วคราว ชิวอวี้เหลือบมองหลงเทียนอวี้ ก่อนจะหันไปมองหลินเมิ้งหยา จากนั้นเขาส่งยิ้มให้กับนางแล้วถวายคำนับพร้อมทั้งเดินจากไป
หลงเทียนอวี้เป็นผู้ชายเก่งกาจหายากบนโลกใบนี้ แต่หลินเมิ้งหยาเองก็เป็นหญิงสาวมหัศจรรย์คนหนึ่งเช่นเดียวกัน
หากหลงเทียนอวี้ยังไม่เข้าใจจิตใจของนาง เกรงว่าทั้งสองอาจมีวันแตกหักกันได้
ครุ่นคิด ชิวอวี้พบว่าเขากำลังก้าวก่ายเรื่องนี้มากเกินไป
นี่เป็นเรื่องของพวกเขา หากแม้กระทั่งพวกเขาเองยังมองไม่ออก เช่นนั้นเขาจะพูดไปเพื่ออะไร?
ภายในห้องอ่านหนังสือ นับตั้งแต่ตอนที่ชิวอวี้เดินจากไป หลงเทียนอวี้ยังคงอยู่ในอาการแข็งทื่อ
ไม่ส่งเสียงใดๆ และนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้
บรรยากาศภายในห้องอึดอัดเล็กน้อย ดวงตากลมโตของหลินเมิ้งหยากลอกไปมา นางมิรู้ว่าควรเอ่ยอะไร
“ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ต้นไม้ใบหญ้าด้านนอกเริ่มเขียวขจี พระองค์เห็นหรือไม่เพคะ?”
ทันทีที่พูดจบ หลินเมิ้งหยาพบว่าตัวเองไม่มีเรื่องอันใดให้สนทนาอีก
หัวข้อสนทนาเช่นนี้มิต่างอันใดจากเด็กเล่นขายของ
น้อยครั้งนักที่พวกเขาจะตกอยู่ในบรรยากาศเงียบงันเช่นนี้
“อืม ข้าเห็นแล้ว ต้นหญ้าด้านนอกหน้าต่างเริ่มงอกใหม่แล้ว”
หลงเทียนอวี้ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่ท่าทางของเขากลับจริงจัง
นางมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านั้น
“นั่นสิเพคะ เริ่มงอกใหม่แล้ว ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกครา หม่อมฉันชอบฤดูใบไม้ผลิยิ่งนัก เหตุเพราะมันนำมาซึ่งสิ่งใหม่ๆ เฉกเช่นเดียวกับชีวิตมนุษย์ที่ได้เริ่มต้นใหม่ด้วยพลังเต็มเปี่ยม”
หลินเมิ้งหยาผลักหน้าต่างเปิดออก สายลมยังคงมีไอเย็นอยู่เล็กน้อย แต่เหตุเพราะนี่เป็นฤดูใบไม้ผลิ ฉะนั้นความเย็นจึงเจือไว้ซึ่งความอบอุ่น
มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างห้องอ่านหนังสือของหลงเทียนอวี้
เชื่อว่าอีกไม่นานจวนอ๋องจะต้องเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสันอย่างแน่นอน
ครึ่งปีแล้วที่นางได้สละเลือดเนื้อแล้วกลายเป็นคนใหม่
นางหาใช้นักศึกษาแพทย์ที่สนใจเพียงงานวิจัยหรือบุตรสาวสกุลหลินผู้โง่เขลาสติฟั่นเฟือนอีกต่อไป
ตอนนี้นางคือหลินเมิ้งหยาคนใหม่
สายตาของหลงเทียนอวี้ถูกใบหน้าด้านข้างของนางดึงดูด
สงบนิ่งแต่งดงาม ทุกส่วนบนใบหน้านวลล้วนสะท้อนความงามของนางให้ฉายชัด ประกายแดดสีทองในฤดูใบไม้ผลิตกกระทบลงบนร่างบางขับเน้นให้หญิงสาวตรงหน้ายิ่งงดงามและอ่อนโยน
ตั้งแต่เกิดมาในราชวงศ์ เขาได้พบเจอหญิงสาวรูปร่างหน้าตางดงามมากมาย แต่มีเพียงหญิงสาวตรงหน้าที่แตกต่างออกไป
อยู่ๆ สมองพลันนึกถึงคำพูดของชิวอวี้ขึ้นมา
หลงเทียนอวี้กลับเหยียดยิ้มเยาะเย้ย สิ่งใดที่เขาต้องการ เขาจะกำมันไว้ในมือเอง
หลินเมิ้งหยาจะเป็นผู้หญิงของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ลมในฤดูใบไม้ผลิยังคงเย็นอยู่ อย่ายืนตากลมให้ตัวเย็น ร่างกายของเจ้าไม่แข็งแรง จำเป็นต้องพักผ่อนและดูแลตัวเองให้ดี”
หลงเทียนอวี้ถอดเสื้อคลุมของตนเองออกแล้วสวมลงบนร่างบางของหลินเมิ้งหยา
แม้หลินเมิ้งหยาจะได้ชื่อว่าเป็นหมอ แต่ไม่มีหมอคนใดสามารถรักษาอาการของตนเองได้ คราวก่อนนางได้รับบาดเจ็บที่หัวใจ อีกทั้งยังมีเรื่องหนักใจมากมายเกิดขึ้น ฉะนั้นเขาจึงกลัวว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลงเทียนอวี้ หลินเมิ้งหยาพลันชะงัก
ตอนนี้ร่างกายของนางตกอยู่ในสถานการณ์ซับซ้อน
ตอนแรกร่างกายของนางได้รับยาพิษที่รุนแรงพอจะคร่าชีวิตนางได้
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด อยู่ๆ นางก็ข้ามภพมาอยู่ในร่างนี้ หลังจากกินยาถอนพิษเล็กน้อยแล้ว ยาพิษเหล่านั้นมิอาจเอาชีวิตของนางไปได้ แต่ก็เสมือนว่ายาเหล่านั้นฝังอยู่ในร่าง ไม่ว่าจะล้างอย่างไรก็ล้างไม่ออก
ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ไม่ว่าหลงเทียนอวี้หรือพวกเสี่ยวอวี้ก็ล้วนหายาเทวดาครอบจักรวาลมาให้ คุณสมบัติของยาเหล่านั้นมากเพียงพอที่จะทำให้คนป่วยอาการสาหัสกลับมาแข็งแรงได้
ทว่ายาพิษเหล่านั้นต่อต้านยาชนิดอื่น ฉะนั้นจึงใช้กับนางไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นแม้ตอนนี้อวัยวะภายในของนางจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าหากยาพิษในร่างถูกกระตุ้นขึ้นมา เกรงว่านางคงไม่อาจมีชีวิตรอดอย่างแน่นอน
จะว่าไปก็น่าขัน สมองของนางมีระบบเซินหนง อีกทั้งยังมีท่านอาจารย์ที่คอยสอนวิชาแพทย์พิษให้ แต่ดูเหมือนสิ่งเหล่านี้จะไม่มีผลต่อนางเลยแม้แต่น้อย
บางทีแม้แต่วิทยาการทางการแพทย์ของอนาคตเองก็มิอาจรักษาได้
ช่างเถิด ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการถอนพิษให้แก่ฮ่องเต้ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น พวกเราจึงจะไม่ถูกโจมตี ไม่ทราบว่าพระองค์ได้รับเบาะแสเรื่องที่ว่าใครเป็นผู้วางยาและวางยาฮ่องเต้ได้อย่างไรแล้วหรือไม่?”
ช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดผ่านไปแล้ว ตอนนี้หลินเมิ้งหยากลายเป็นชายาอวี้ผู้เฉลียวฉลาดและมีไหวพริบ
หลงเทียนอวี้ครุ่นคิด ก่อนจะผงกศีรษะลง
“ข้อมูลมีเพียงเล็กน้อย ตอนนี้ข้าเพียงแค่สงสัย แต่มีหนึ่งสิ่งที่ข้ามั่นใจ เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับฮองเฮาและไท่จื่ออย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลงเห็นด้วย คนที่ได้รับประโยชน์จากพระอาการประชวรของฮ่องเต้คือฮองเฮาและไท่จื่อ
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจปักใจได้เสียทีเดียว
“หม่อมฉันคิดว่าไท่จื่อและฮองเฮาอาจเป็นเพียงผู้จุดเชื้อไฟเท่านั้น พระองค์ลองตรองดูเถิด แม้แต่ก่อนไท่จื่อจะทำเรื่องผิดพลาดไปบ้าง แต่ก็มิได้ใหญ่หลวงนัก ฮ่องเต้ไม่เคยลงอาญาเขาเลยสักครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นฮองเฮายังดูแลวังหลังอย่างเป็นธรรมและเข้มงวด เมื่อลองคิดดูแล้ว หากวันใดฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ เช่นนั้นความเป็นไปได้ที่ไท่จื่อจะได้ขึ้นครองราชย์ก็มีค่อนข้างมาก แล้วเหตุใดพวกเขาจึงต้องเสี่ยงวางยาพิษฮ่องเต้ด้วยเล่า?”
หลินเมิ้งหยาวิเคราะห์ นี่คือความคิดในมุมมองของคนนอก
อันที่จริงหลงเทียนอวี้เองก็เคยคิดเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่เขารู้ดีว่าฮองเฮาและไท่จื่อหาใช่คนธรรมดาอย่างที่พวกเขาแสดงออกไม่
“เจ้าวิเคราะห์ถูกต้องแล้ว แต่ข้ามักรู้สึกเสมอว่าฮองเฮาและไท่จื่อมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก หากดูจากพระพลานามัยของเสด็จพ่อก่อนจะประชวร พระองค์อาจครองราชย์ต่อไปได้อีกราวยี่สิบสามสิบปี เมื่อถึงเวลานั้นไท่จื่อก็จะมีรากฐานมั่นคง แม้ฮองเฮาจะอายุมากตามกาลเวลาก็ตาม ฉะนั้นข้าจึงคิดว่าพวกเขาจะต้องมีแผนการอะไรบางอย่างและมีเพียงบัลลังก์ของต้าจิ้นเท่านั้นที่จะสามารถทำให้เป้าหมายของพวกเขาบรรลุได้”
เป้าหมายที่ใหญ่กว่า? ตำแหน่งฮ่องเต้แห่งต้าจิ้นยังไม่ยิ่งใหญ่เพียงพออีกหรือ?
หรือพวกเขาคิดจะเป็นใหญ่ในใต้หล้า?
อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็นึกเรื่องขบขันขึ้นมาได้
ในสมัยโบราณมีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดอยากยึดครองยุทธภพ คนเหล่านั้นเก่งกาจมีความสามารถ แต่เมื่อเกิดการต่อสู้ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องถอนความคิดกลับไป
นับประสาอะไรกับคนไร้ความสามารถอย่างไท่จื่อเล่า? ฝันไปเถิด!
“คงเป็นได้เพียงฝันกลางวันเท่านั้นเพคะ อีกทั้งยังเป็นเพียงความทะเยอทะยานไร้สาระ ตอนนี้นอกจากต้าจิ้นแล้ว แคว้นอื่นล้วนหาได้เจริญรุ่งเรืองไม่ ราษฎรได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขไม่ดีหรือ? เหตุใดจึงต้องหาเรื่องคิดอยากยึดครองทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้เล่า? หรือเขาอยากจะเป็นเจ้าของโลกทั้งใบอย่างนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยาคิดว่าเรื่องนี้น่าขำเหลือเกิน
ทว่าเมื่อลองมองสถานการณ์ในเวลานี้ บางทีนี่ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งเช่นเดียวกัน
มิเช่นนั้นจะมีสิ่งใดเย้ายวนใจยิ่งกว่าการได้เป็นประมุขของอาณาจักรด้วยหรือ?
“ไท่จื่อเป็นคนประเภทชอบไล่ตามสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริง การที่เขามีความคิดเช่นนี้หาใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่ข้าอยากรู้ก็คือเหตุใดฮองเฮาก็คิดเห็นเช่นเดียวกับเขา หรือฮองเฮาเองก็คิดว่าลูกชายของตนเองจะสามารถปกครองใต้หล้านี่ได้?”
นี่มัน…..
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะเล่าข้อสันนิษฐานง่ายๆ ของตนเองออกมา
“พระองค์รับสั่งถูกแล้วเพคะ ดูเหมือนเรื่องในวังหลวงจะซับซ้อนกว่าที่หม่อมฉันคิด หม่อมฉันคงมิอาจช่วยเหลือพระองค์ได้ สิ่งที่พอจะช่วยได้คงเป็นการปรุงยาแต่เพียงเท่านั้น”
หลินเมิ้งหยายักไหล่
“เรื่องนั้นเองก็ต้องลำบากเจ้าแล้ว แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะดูแลตัวเองให้ดี อีกไม่กี่วันข้าต้องออกเดินทาง บางที…อาจใช้เวลาราวครึ่งเดือนกว่าจะกลับมา”
จะออกเดินทาง? หลินเมิ้งหยาสงสัยเล็กน้อย อันที่จริงนับตั้งแต่วันที่แต่งงานกับหลงเทียนอวี้ นางก็พอจะมองออกว่าท่านอ๋องของนางมักจะยุ่งอยู่เสมอ