ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 358 เรื่องเล่าในอดีต
ฮูหยินหลินของเจิ้นหนานโหวเคยมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ได้ยินมาว่านางมิเพียงมีรูปโฉมงดงามดั่งนางฟ้า แต่ยังมีความสามารถด้านการแพทย์ที่หาตัวจับยาก ยิ่งไปกว่านั้นนางมีจิตใจดีมีคุณธรรม
แม้จะถูกสกุลหลินคัดค้าน แต่เมื่อถึงวันงานแต่ง พวกเขาก็จัดงานแต่งอย่างใหญ่โตให้แก่ทั้งคู่
หลังจากกลับจากการทำศึกได้เพียงครึ่งปี แม่ทัพหลินก็แต่งงานกับฮูหยินหลิน
แต่เพราะสกุลหลินมีชื่อเสียงและฐานะสูงศักดิ์ ทว่าฮูหยินหลินกลับไม่มีหัวนอนปลายเท้า ฉะนั้นนางจึงถูกพวกคุณหนูตระกูลใหญ่โตดูแคลน
ปีนั้นเพิ่งจะผ่านสงครามมาได้ไม่นาน เหล่าราษฎรจำนวนมากได้รับบาดเจ็บเพราะโรคระบาด แต่หมอในเมืองหลวงกลับไม่มีหนทางรักษา
ตอนนั้นฮ่องเต้ยังเป็นเพียงองค์ชาย แต่เมื่อแม่ทัพหลินเสนอว่าตนเองสามารถรักษาโรคระบาดได้ ฮ่องเต้จึงรีบสนับสนุนทันที
เหตุเพราะได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้ สูตรยาของแม่ทัพหลินจึงได้รับการยอมรับและอนุญาตให้ใช้รักษาราษฎร ดังนั้นโรคระบาดจึงถูกควบคุมได้ในที่สุด
ทุกคนล้วนคิดว่าแม่ทัพหลินต้องทำงานอย่างหนัก แต่แม่ทัพหลินกลับบอกทุกคนว่าสูตรยานี้หาใช่เขาเป็นผู้คิดค้น แต่กลับเป็นฮูหยินของเขา
ตอนนั้นฮ่องเต้ที่ยังเป็นเพียงองค์ชายลุกขึ้นมาไขความกระจ่างด้วยตนเอง ต่อมาฮูหยินหลินจึงกลายเป็นผู้มีพระคุณของคนทั้งต้าจิ้น
เหตุเพราะได้รับการช่วยเหลือของแม่ทัพหลิน ฉะนั้นฮ่องเต้จึงได้ขึ้นครองบัลลังก์
ฮูหยินหลินเองก็คลอดบุตรชายคนแรก ตอนนั้นนางกลายเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพที่น่าอิจฉาที่สุด
เหตุเพราะความงามของฮูหยินหลิน แม้นางจะแต่งงานกับแม่ทัพหลินแล้ว แต่ก็ยังมีคนแอบมาเลียบๆ เคียงๆ อยู่บ้าง ทว่านางออกจากจวนน้อยมาก ทุกครั้งที่ออกไป นางมักจะคลุมใบหน้าของตนเองเอาไว้มิยอมให้ใครได้เห็น
นางเป็นคนจิตใจดี หากมีคนเจ็บมาหาที่หน้าประตูจวน นางจะช่วยรักษาและจ่ายยาด้วยตนเองโดยไม่คิดรังเกียจ
ตอนนั้นไม่มีใครในเมืองหลวงไม่รู้จักฮูหยินหลินและไม่มีใครเกลียดชังหมอหญิงเทวดาผู้นี้เลย
หลินเมิ้งหยาราวกับตกอยู่ในภวังค์ขณะสดับรับฟังเรื่องเล่าของหลงเทียนอวี้
หลับตาพลางนึกภาพตาม
ผู้หญิงที่ให้กำเนิดหลินเมิ้งหยาเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตาและจิตใจงดงาม อีกทั้งยังฉลาดเฉลียว
ราวกับนางสามารถจินตนาการภาพหญิงสาวร่างบางอ้อนแอ้นอรชรตามคำพูดของหลงเทียนอวี้ได้ แม้จะมองไม่เห็นหน้า แต่นางรู้ได้ว่ามารดาของนางจะต้องเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยนอย่างแน่นอน
นางมักต้องยับยั้งความหวังของตนเองตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าหลินเมิ้งหยาแห่งต้าจิ้นหรือแม้กระทั่งซูชิงเกอในชาติที่แล้ว
พวกนางมิเคยเห็นแม่ของตัวเอง ไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ซ้ำยังต้องเผชิญหน้ากับโลกอันแสนโหดร้ายเย็นชาด้วยกำลังที่มีอันน้อยนิดเพียงลำพัง
หยดน้ำตาสีใสรินไหลลงอาบแก้ม
หลินเมิ้งหยาไม่รู้สึกตัวเลยว่าตนเองกำลังร้องไห้
“หม่อมฉันเห็นแล้วเพคะ นางงดงามยิ่งนัก งดงามยิ่งกว่าผู้ใดในโลกใบนี้ นางเป็นแม่ที่อบอุ่นอ่อนโยน หม่อมฉัน…คิดถึงนาง”
ขอบตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา
ทว่ามิต่างอันใดจากยาครอบจักรวาลที่เข้ามาลบล้างความพร่ามัวออกไป
น้ำตาเสมือนไข่มุกไร้สี ริมฝีปากสีแดงระเรื่อเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนไร้เดียงสาของหญิงสาวตรงหน้า ลมหายใจของหลงเทียนอวี้แทบหยุดลง
ราวกับบุปผาบานสะพรั่งก็มิปาน ทำให้เขาตื่นตะลึง
ทุกคนที่เคยเห็นใบหน้าของฮูหยินหลินล้วนเอ่ยว่าหลินเมิ้งหยามีใบหน้าเหมือนนางไม่มีผิด
แต่เมื่อเทียบกันแล้วกลับมีบางสิ่งที่แตกต่างกัน
ตอนนี้หลงเทียนอวี้เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่แตกต่างกันนั้นคืออะไร
นั่นก็คืออารมณ์ที่แท้จริงซึ่งหลินเมิ้งหยาได้พยายามเก็บซ่อนเอาไว้
แต่ตอนนี้นางเปิดเผยอารมณ์ของตัวเองออกมาทั้งหมด เขาจึงรู้สึกราวกับว่าหมอหญิงเทวดาเลื่องชื่อของเมืองหลวงได้กลับมาจุติอีกครั้ง
ยื่นมือเข้าไปเช็ดหยาดน้ำตาให้นางโดยไม่รู้ตัว
ในที่สุดหลงเทียนอวี้ก็เข้าใจความรู้สึกหลงใหลมิเสื่อมคลายของแม่ทัพหลินที่มีต่อฮูหยินหลินแล้ว
ราวกับคนที่มีชีวิตอยู่ในโคลนตมและรอความช่วยเหลือเพียงหนึ่งเดียว
ไม่ว่าหลินเมิ้งหยาหรือว่าฮูหยินหลิน พวกนางล้วนเป็นความหวังในการอยู่รอดเพียงหนึ่งเดียว
โชคดีที่เทพเจ้าไม่ใจร้ายกับเขานัก มิเช่นนั้นหลินเมิ้งหยาคงมิได้เป็นชายาของเขาในโลกอันแสนบิดเบี้ยวเช่นนี้
“ขอ...ขออภัยเพคะ…หม่อม…หม่อมฉันหยุดตัวเองไม่ได้”
เหตุเพราะความรู้สึกที่ท่วมท้น หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
ก้มหน้า ขอบตากลายเป็นสีแดงระเรื่อ นางไม่เหมือนหลินเมิ้งหยาผู้เข้มแข็งและโหดเหี้ยมอำมหิตคนก่อน
แต่กลับเหมือนหญิงสาวที่กำลังเขินอาย หลงเทียนอวี้จึงรู้สึกประหลาดใจ
“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ เจ้าจะต้องคิดถึงแม่ของเจ้ามากอย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า แม้นางจะได้เข้ามาอยู่ในจวนของหลงเทียนอวี้หลังจากข้ามภพมาอยู่บนโลกใบนี้จึงทำให้เจอญาติมิตรฝั่งสกุลหลินน้อยมาก แต่เพราะเมื่อปีที่แล้วตนได้เจอบิดาและพี่ชาย ฉะนั้นความรู้สึกในหัวใจจึงเปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อน
นางรู้สึกเสมือนว่าตนเองคือลูกสาวและน้องสาวที่กำลังห่วงหาอาทรท่านพ่อและพี่ชาย
อันที่จริงความรู้สึกเป็นกังวลเช่นนี้เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ของนาง
บางทีนางอาจดำดิ่งสู่ห้วงอารมณ์ของหลินเมิ้งหยาคนก่อนโดยไม่รู้สึกตัว
“ตอนนี้ดึกแล้ว เจ้ากลับไปเตรียมตัวเถิด หากพรุ่งนี้ฮูหยินหลินและน้องสาวรังแกเจ้า เช่นนั้นเจ้ามิจำเป็นต้องไว้หน้าพวกนาง”
นางพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินจากไปด้วยท่าทางเขินอาย
ดวงตาของหลงเทียนอวี้เจือไว้ซึ่งความลังเล
เขาที่เคยวางแผนกลยุทธ์ด้วยความเด็ดขาดมิเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
แต่เมื่อลองทบทวนให้ดีแล้ว เขาคิดว่าหลินเมิ้งหยาอย่ารู้เรื่องนี้เลยจะดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น หลินเมิ้งหยาในเวลานี้จะต้องเข้าใจเขาอย่างแน่นอน
“เย่ ข้าไม่ควรพูดเรื่องเหล่านั้นใช่หรือไม่?”
เพียงชั่วเวลาลมพัด ร่างของเย่พลันปรากฏในห้องอ่านหนังสือของหลงเทียนอวี้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เย่มิใช่เพียงองครักษ์เงาของหลงเทียนอวี้ แต่ยังเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันที่สุด
แม้พวกเขาจะไม่ค่อยคุยกันมากนัก ทว่าหัวใจของพวกเขากลับสามารถสื่อถึงกันได้
“ท่านอ๋อง….ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
นอกจากหลงเทียนอวี้ น้อยครั้งนักที่เย่จะพูดคุยกับผู้อื่น
นับตั้งแต่วันที่ชิงหูจากไปก็ไม่มีใครปรากฏตัวต่อหน้าและลากเขาไปดื่มเหล้าหรือฝึกฝนวิทยายุทธอีก
คืนวันกลับมาสงบสุขอีกครั้ง เขาคอยปกป้องดูแลหลงเทียนอวี้อยู่ในเงามืด ดังนั้นเขาย่อมเห็นความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงคู่นี้ดี
“ข้าหาได้มีความรู้สึกส่วนตัวไม่ แต่ว่า….”
น้อยครั้งนักที่เย่จะเอ่ยขัดหลงเทียนอวี้
“โปรดคำนึงถึงการใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
เพียงประโยคสั้นๆ แต่กลับทำให้หัวใจของหลงเทียนอวี้รู้สึกหนักอึ้ง
ความรู้สึกขมขื่นพลันถาโถมเข้ามา ตั้งแต่สมัยที่เขายังอายุน้อย เขาจำต้องรักษาภาพลักษณ์เย็นชาเสมือนคนไร้ความรู้สึกและปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดเพื่อคำว่าการใหญ่
การใหญ่…มิรู้ว่าเมื่อไหร่การใหญ่จะปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ เมื่อไหร่เขาจะได้ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ
“เฮ้อ…”
ทอดถอนหายใจเบาๆ
“นายหญิงจะกลับบ้านจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
ภายในตำหนักหลิวซิน เพียงป๋ายจื่อได้ยินว่าหลินเมิ้งหยาจะกลับบ้านสกุลหลิน ใบหน้าของนางพลันง้ำลง
แม้นางและคุณหนูจะเติบโตมาด้วยกันที่นั่น แต่สถานที่แห่งนั้นก็เต็มไปด้วยเลือดและหยาดน้ำตาของพวกนางสองนายบ่าว
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ทำให้นางไม่อยากกลับไปเหยียบที่นั่นก็คือฮูหยินหลินและคุณหนูรอง
“แค่กลับไปเพียงวันเดียวเท่านั้น หากเจ้าไม่อยากไป เช่นนั้นข้าจะให้ป๋ายซ่าวไปเป็นเพื่อน ดูเจ้าเถิด หน้าหงิกงอเสียจนไม่น่ามองแล้ว”
หลินเมิ้งหยาหัวเราะเย้าแหย่ มือบางยื่นเข้าไปหยิบถ้วยชาขึ้นจิบ
“แต่ตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนนะเจ้าคะ นายหญิงอาจไม่ทันสังเกตเห็นว่าแต่ก่อนเด็กคนนี้มักมีท่าทางเงอะงะ แต่ตอนนี้นางกลับด่าว่าสั่งสอนสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกด้วยคำพูดคมกริบประหนึ่งใบมีด อีกอย่าง ตอนนี้ใครๆ ต่างก็เรียกนางว่าพี่ป๋ายจื่อ ดูเถิด ทั้งที่เพิ่งจะอายุไม่เท่าไร แต่ได้เป็นพี่แล้ว”
ป๋ายซ่าวเคาะหน้าผากของป๋ายจื่อหนึ่งที ตอนนี้แม้แต่ป๋ายซ่าวเองก็เก่งขึ้นมาก
ดวงตาคมกริบดุดันแต่กลับมีเสน่ห์ ทำงานคล่องแคล่วฉับไว นางเหมือนกับตัวละครหวังซีเฟิ่งในบทประพันธ์เรื่องความฝันในหอแดงไม่มีผิด
ตอนนี้ไม่ว่าคลังเก็บของหรือคลังทรัพย์สินของจวนก็ล้วนมีนางเป็นผู้ดูแล
ทว่านางยังคงเคารพหลินเมิ้งหยาเหมือนเดิม
พวกนางหาได้เหมือนนายบ่าวทั่วไป แต่กลับเหมือนพี่น้องกันเสียมากกว่า
“พี่ป๋ายจี นางรังแกข้า”
เมื่อเทียบฝีปากกันแล้ว ป๋ายจื่อยังมิอาจเอาชนะป๋ายซ่าวได้ ขยับปากทรงกระจับกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแล้ววิ่งเข้าไปกอดเอวของป๋ายจี
หลังจากป๋ายจีถลึงตาใส่ป๋ายซ่าวแล้ว อีกฝ่ายจึงเงียบเสียงลง
หลินเมิ้งหยาหันไปมองทางป๋ายจีพลางหยักยิ้ม สุดท้ายป๋ายจีก็เป็นพี่ใหญ่ของที่นี่สินะ
“นายหญิง พรุ่งนี้ให้พวกเราทั้งสามตามท่านกลับไปเถิดเจ้าค่ะ ฮูหยินและคุณหนูรองเป็นพวกรับมือยาก หากท่านกลับไปคนเดียว เกรงว่าจะเสียเปรียบเอาได้”
บางทีอาจเพราะฮูหยินหลินและหลินเมิ้งหวู่ในความทรงจำของป๋ายจื่อค่อนข้างน่ากลัว
ท่าทางโหดเหี้ยมอำมหิตของพวกนางทำให้ป๋ายจีรู้สึกไม่วางใจที่จะปล่อยให้หลินเมิ้งหยาและป๋ายจื่อกลับกันไปเพียงสองคน
“ไม่เป็นไร ข้าเพียงแค่กลับไปเอาของเท่านั้น อีกอย่าง ท่านอ๋องส่งพ่อบ้านเติ้งไปกับข้า ไม่มีทางเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรอก ก่อนเวลาอาหารเย็นข้าคงกลับมาถึง ช่วงนี้พวกชาวนาอาจเข้าออกจวนของเราเพื่อเบิกเงินและเมล็ดพันธุ์ แม้ป๋ายซ่าวจะมากความสามารถ แต่ก็ยังต้องการผู้ช่วยอยู่ดี”
หลินเมิ้งหยากลับรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่ากังวล
นางหาใช่หลินเมิ้งหยาคนก่อน รับรองว่าคนอับโชคมิใช่นางอย่างแน่นอน!