ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 13 บทที่ 366 ไร้ซึ่งเหตุผล
เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าองครักษ์ไม่เชื่อว่าหญิงสาวรูปโฉมงดงามตรงหน้าจะเป็นชายาอวี้ที่มีชื่อเสียงขึ้นชื่อลือชาคนนั้น
โชคดีที่พ่อบ้านเติ้งหยิบตราประจำจวนอวี้ออกมาแสดง ดังนั้นบรรยากาศชวนอึดอัดจึงหายไป แต่ถึงกระนั้นหัวหน้าองครักษ์ยังคงไม่แสดงสีหน้ายินดียินร้ายใดๆ
“แม้ท่านจะเป็นพระชายา แต่ท่านก็ควรรักษาพระองค์อยู่ในจวน เหตุใดจึงมาข้องเกี่ยวกับพวกอันธพาลเช่นนี้ หรือจวนอวี้จะไร้ซึ่งกฎระเบียบกัน! เป็นถึงพระชายาก็ควรจะดูแลตัวเองให้ดีจึงจะถูกต้อง”
คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกคนต่อว่าเช่นนี้
หลินเมิ้งหยาทั้งโกรธทั้งขำ ทั้งที่ชายคนนี้มีรูปลักษณ์ราวกับนักรบ แต่เหตุใดวาจาจึงเหมือนพวกปราชญ์เฒ่าจอมอวดดีกันเล่า
“ไม่ทราบว่าท่านคือใครอย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงของหลินเมิ้งหยาหาได้มีความรำคาญแต่อย่างใด สายตาของเขาทอดมองนางอย่างดูแคลน หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก นางไม่เคยพบเจอเขามาก่อน เหตุใดเขาจึงปฏิบัติต่อนางโดยไร้ซึ่งความเกรงใจเช่นนี้?
“กระหม่อมคือรองขุนนางกลาโหมนามว่าเย่ซวงเฮ่อ ในเมื่อพระองค์คือชายาอวี้ เช่นนั้นเชิญเสด็จกลับเถิด แต่ถ้าหากพวกอันธพาลเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระชายา กระหม่อมหวังว่าพระชายาจะให้ความร่วมมือกับทหารหลวงในการตรวจสอบ”
น้ำเสียงช่างคุ้นหูยิ่งนัก หากมิใช่เพราะสถานที่มิเอื้ออำนวย นางคงคิดว่าตัวเองกำลังถูกตำรวจฝ่ายสืบสวนในหนังฮ่องกงสอบปากคำ
ดูเหมือนเพลงคลาสสิคของฮ่องกงจะไม่เหมาะกับสถานการณ์เช่นนี้
ทว่านางเข้าใจอะไรบางอย่าง การที่พวกเขาหาที่นี่เจอจะต้องเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากใครบางคนอย่างแน่นอน
น่าเสียดาย รององครักษ์ใบหน้านิ่งคนนี้กำลังถูกผู้อื่นหลอกใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาหาได้แสดงความไม่พอใจต่อคำพูดของเย่ซวงเฮ่อ
นั่นทำให้ส่วนลึกในใจของเย่ซวงเฮ่อคิดว่าชายาอวี้คนนี้เป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่ง
ทว่าสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ เพียงสายตาคู่สวยของนางตวัดมาอีกครั้ง น้ำเสียงของนางจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“อันธพาลเหล่านั้นต้องการมาหาเรื่องข้า ทหารหลวงควรทำหน้าที่ปกป้องความสงบสุขของราษฎร ข้าขอถามหน่อยว่าเพราะเหตุใดใต้เท้าผู้เป็นถึงรองขุนนางกลาโหมที่เพิ่งมาถึงจึงไม่เข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ของพวกอันธพาลก่อน แต่กลับมาถามหาเอาความจากผู้เสียหายเช่นข้า เรื่องนี้พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก หากท่านอ๋องของข้ารู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่าเขาก็คงจะสงสัยเช่นเดียวกัน เช่นนั้นให้ท่านอ๋องของข้าไปถามหาเหตุผลจากขุนนางกลาโหมดีหรือไม่?”
ดวงตาของเย่ซวงเฮ่อเป็นประกายวาบ ท่าทางมิได้ขึงขังดังเมื่อครู่
ก่อนจะมาที่นี่ ท่านขุนนางกลาโหมเตือนเอาไว้แล้วว่าชายาอวี้เป็นผู้มีวาจาคมคายนัก ตอนแรกเขาคิดว่าตนเองแสดงเหตุที่มิอาจคัดค้านได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงไม่กี่ประโยคของนางจะทำให้เขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“กระหม่อมเพียงกังวลเรื่องความปลอดภัยของพระชายา เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็ก คงมิต้องรบกวนท่านอ๋องอวี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ เข้ามา คุ้มครองพระชายากลับจวน”
พอเอาชนะไม่ได้ก็คิดจะไล่กระนั้นหรือ?
ชายคนนี้น่าสนใจยิ่งนัก
ทว่าหลินเมิ้งหยายังไม่คิดจะไปตอนนี้ บัดนี้ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
คนเหล่านั้นคืออันธพาลที่สองแม่ลูกซ่างกวนชิงและหลินเมิ้งหวู่ส่งมาอย่างแน่นอน
ส่วนพวกทหารจะต้องเป็นคนของไท่จื่อ
หากนางไปตอนนี้ เช่นนั้นหลักฐานจะมิถูกทำลายหรือ?
“ช้าก่อน แม้ข้าได้รับความตื่นตระหนกจากเหตุการณ์ในคราวนี้ค่อนข้างมาก แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้เสียหายและถูกทำร้าย ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็มีฐานะเป็นหมอคนหนึ่ง ใต้เท้า เมื่อครู่ข้าลองสำรวจอาการของพวกเขาดูแล้ว แม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่หาได้อันตรายถึงชีวิต ข้าหวังว่าท่านจะรีบหาคำตอบให้แก่ข้า ฉะนั้นจะปล่อยให้พวกเขาตายก่อนสืบสวนไม่ได้ หากทหารหลวงไม่มีหมอที่สามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ เช่นนั้นจงส่งพวกเขามาให้ข้ารักษาเถิด หากพวกเขาตายไปตอนอยู่ในคุกจะทำเช่นไร?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยวาจาฉะฉานมิยอมหลีกทางแต่โดยดี หัวใจของเย่ซวงเฮ่อพลันร้องเตือน
อันที่จริงเขามาเพื่อกำจัดคนเหล่านี้ให้สิ้นซากและจับตัวหลินเมิ้งหยาไป
เหตุเพราะเขาทำงานไม่เลว ฉะนั้นจึงได้รับหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้
หากเขาปล่อยเจ้าพวกคนไร้ประโยชน์เหล่านี้ไป คาดว่าเวลาเพียงไม่นาน พวกเขาจะต้องปล่อยข่าวลือของหลินเมิ้งหยาในทางเสียๆ หายๆ อย่างแน่นอน
พวกองค์ชายและขุนนางไม่มีวันยอมปล่อยให้พระชายาทำเรื่องบัดสี
ขณะที่คิดได้ดังนี้ หลินเมิ้งหยากลับกล่าวขัดขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าได้ยินมาว่าเหตุที่ทหารหลวงยังคงแข็งแกร่งดังเช่นทุกวันนี้ได้ก็เพราะความเข้มงวดของท่านขุนนางกลาโหม ข้าคิดว่าหากเรื่องนี้ยังตรวจสอบไม่ชัดเจนและมีใครปากยื่นปากยาวแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ท่านอ๋องของข้าจะต้องไปไต่สวนเรื่องนี้ด้วยตนเองอย่างแน่นอน”
ข่มขู่สำทับอีกครั้ง ราวกับหลินเมิ้งหยาล่วงรู้ความคิดของพวกเขา
ตอนนี้หลินเมิ้งหยาเปรียบเสมือนกระจกสะท้อนความคิดอย่างไรอย่างนั้น
เสียงซุบซิบนินทาน่ากลัวที่สุด หากเรื่องในวันนี้แพร่งพรายออกไป นางไม่อยากจะนึกถึงผลที่ตามมา
แม้จะมีคำกล่าวที่ว่าเท้าเหยียดตรงมิหวั่นต่อรองเท้าเอียง แต่ตอนนี้มีคนจำนวนมากเริ่มเคลื่อนไหวเพราะอาการประชวรของฮ่องเต้
ฉะนั้นนางจึงไม่อยากสร้างปัญหาให้หลงเทียนอวี้
เพียงไม่กี่ประโยคแต่กลับขัดแผนการของพวกเขาทั้งหมดได้ แม้สีหน้าของเย่ซวงเฮ่อจะเคร่งขรึมดังเดิม ทว่าหัวใจกลับตื่นตระหนก
เขาประมาทผู้หญิงตรงหน้ามากเกินไป ทุกครั้งนางมักจะนำชื่อของอ๋องอวี้มากดดันเขา
แต่ถึงกระนั้นเย่ซวงเฮ่อก็รู้ดีว่าอำนาจของสกุลหลินมิใช่ว่าใครจะลบหลู่ได้
“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ถ้าหากพระชายาปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องและเหมาะสม เช่นนั้นพระองค์จะสามารถสยบข่าวลือเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน ตอนนี้ดึกมากแล้ว น้อมส่งพระชายากลับจวนเดี๋ยวนี้”
หลินเมิ้งหยามิเอ่ยอันใด ปรายตามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะสั่งให้ป๋ายจื่อและพ่อบ้านเติ้งพาเถียนมามาและเถียนหนิงไปด้วย
ตอนนี้เถียนหนิงถูกประคองออกมาแล้ว
ใบหน้าของเขาซีดเผือด ป๋ายจื่อและเถียนมามาช่วยกันประคองออกมาจากภายในห้องด้วยความยากลำบาก
ขณะที่คิดจะออกจากเรือน เย่ซวงเฮ่อกลับเข้ามาขวางทาง
“ช้าก่อน พระชายาเสด็จได้ แต่พวกเขาต้องไปกับพวกกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ เข้ามา เอาตัวสองแม่ลูกไปที่ที่ทำการทหารหลวง”
ทั้งที่เรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว หลินเมิ้งหยาไม่อยากจะเชื่อว่าเย่ซวงเฮ่อจะยังไม่ยอมตัดใจ
เพียงรู้ว่าเถียนมามาคือจุดอ่อนของนาง เขาก็คิดจะขว้างหนูกระทบสิ่งของกระนั้นหรือ?
เถียนหนิงจะต้องรู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องนี้อย่างแน่นอน หากเขาไปที่นั่น บางทีอาจเป็นการเดินเข้าสู่หนทางแห่งความตาย
“พวกเขาจะต้องไปกับข้า จวนอวี้ของข้าเปิดเผยอย่างบริสุทธิ์และยึดมั่นในความยุติธรรมหากพวกเจ้ามีคำถามก็สามารถไปที่จวนของข้าได้ทุกเมื่อ เหตุเพราะแม่นมและพี่ชายของข้ามีร่างกายอ่อนแอ ฉะนั้นจึงมิอาจเข้าไปในสถานที่คุมขังของพวกเจ้าได้”
หลินเมิ้งหยารีบออกมายืนบังร่างสองแม่ลูกเอาไว้ราวกับแม่ไก่ปกป้องลูก
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเผยสายตาเย็นชาให้กับชายตรงหน้า
หลังจากเย่ซวงเฮ่อได้เห็นสองแม่ลูกคู่นั้น เขาจำคำสั่งของเบื้องบนได้ทันทีว่าจะต้องพาทั้งคู่กลับไป ถึงอย่างไรเวลานี้ชายาอวี้ก็เหลือเพียงพ่อบ้านที่ไม่ได้เรื่องเพียงคนเดียว
ขอเพียงพวกเขาตกอยู่ในกำมือ เช่นนั้นต่อให้ชายาอวี้จะยิ่งใหญ่คับฟ้า แต่สุดท้ายก็ต้องถูกทำลายอยู่ดี
“ชายาอวี้ ท่านกำลังแทรกแซงการสืบสวน! ต้าจิ้นมีกฎระเบียบห้ามมิให้ผู้หญิงเข้ามายุ่งวุ่นวายกับงานราชการ แม้ท่านจะเป็นพระชายา แต่ถึงอย่างไรก็คงมิอาจรับผิดชอบต่อความผิดเช่นนี้ได้!”
เย่ซวงเฮ่อไม่รักษามารยาทอีกต่อไป เหตุเพราะที่นี่ล้วนมีแต่คนของเขา ต่อให้เขาต้องใช้กำลัง เขาก็จะพาสองแม่ลูกคู่นี้ไปให้ได้
หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็น พอเอาชนะนางไม่ได้ก็เลยคิดจะข่มขู่อย่างนั้นหรือ?
สมแล้วที่เป็นคนของไท่จื่อ ไร้สมองมิต่างกันเท่าไร
“นางคือแม่นมของข้า ลูกชายของนางก็เปรียบเสมือนพี่ชายของข้า แม้ข้าจะเป็นพยานให้พวกเขา แต่ใต้เท้าก็ยังไม่เชื่อหรือ? หรือเพราะฐานะของจวนอวี้มีไม่มากพอ เช่นนั้นหากใช้นามสกุลหลินด้วยเล่า ใต้เท้าคิดว่าเพียงพอหรือไม่?”
บางครั้งหลินเมิ้งหยาก็ต้องจำใจใช้ฐานะของตนมาข่มขู่
โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าขุนนางในคราบโจร บางครั้งลำดับชนชั้นก็ใช้งานได้ดีมากกว่าการใช้กำลัง
แม้พวกเขาจะเป็นคนของไท่จื่อ แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจมองข้ามฐานะของนาง
วันนี้ต่อให้ต้องทำเรื่องไร้ยางอาย แต่นางก็จะปกป้องครอบครัวเถียนสองแม่ลูกให้ได้!
“เจ้า….เลิกกล่าวอ้างอำนาจของสกุลหลินและท่านอ๋องได้แล้ว! ทหารหลวงไม่มีวันยอมก้มหัวให้ใคร หากพระชายายังคงดึงดันเช่นนี้ กระหม่อมก็จะไม่เกรงใจ!”
แม้เย่ซวงเฮ่อจะรู้สึกร้อนใจ แต่เขากลับไม่กล้าทำอะไรหลินเมิ้งหยา
ไม่ว่าชีวิตแม่นมหรือพวกอันธพาล แม้จะตายไปก็เห็นจะเป็นไร
แต่หลินเมิ้งหยากลับมิยอมให้พวกเขาแตะต้อง หากเขาทำอะไรเกินเลยลงไป เช่นนั้นทหารหลวงทั้งหมดคงมิอาจแบกรับความโกรธเกรี้ยวของผู้อยู่เบื้องหลังนางได้
ฝ่ายหนึ่งดึงดันจะพาคนของตัวเองไป ส่วนอีกฝ่ายดึงดันที่จะจับกุมคนเหล่านั้น
ตอนนี้สถานการณ์ชวนอึดอัดจนพวกเขาไม่ได้ยินกระทั่งเสียงโอดครวญเพราะความเจ็บปวดของอันธพาลเหล่านั้น
แม้เย่ซวงเฮ่อจะมิอาจทำอะไรชายาอวี้ได้ แต่เขาสามารถจัดการคนชั่วเหล่านั้นได้
ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนหน้านั้นถูกพวกทหารหลวงใช้วิธีการบางอย่างทำให้พวกเขายิ่งบาดเจ็บหนักขึ้น
ขณะที่ทั้งสองกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่นั้น เสียงการเคลื่อนไหวทางด้านนอกพลันดังขึ้น
หลินเมิ้งหยาไม่มีเวลาสนใจเรื่องภายนอก แต่เย่ซวงเฮ่อกลับกระวนกระวาย ไม่ว่าผู้มาใหม่จะเป็นใคร แต่ก็ไม่ส่งผลดีต่อเขาทั้งสิ้น
“นี่มัน…เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เสียงทุ้มต่ำอันเป็นเอกลักษณ์ดังขึ้น
หลินเมิ้งหยาตกตะลึง นางรีบหันไปมองทางต้นเสียง ก่อนเห็นเป็นร่างสูงโปร่งในชุดสีฟ้าแกมเทา ใบหน้าของนางเผยให้เห็นความดีใจระคนตกตะลึง
“ท่านพี่ ท่านมาได้อย่างไร!”
ผู้มาใหม่คือหลินหนานเซิงผู้สวมชุดสีฟ้าแกมเทา บางทีอาจเพราะม้าของเขาวิ่งมาตลอดทางมิได้หยุด ฉะนั้นเขาที่เพิ่งกลับมายังไม่ทันจะเข้าประตูจวนก็มาหยุดอยู่ที่นี่เสียก่อน
ใบหน้าหล่อเหลาเผยให้เห็นแววอ่อนล้า แต่ถึงกระนั้นดวงตาคมกริบคู่นั้นยังคงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและเคร่งขรึม
เขาแตกต่างจากพวกทหารหลวงที่นี่อย่างสิ้นเชิง
หลินหนานเซิงออกรบกับบิดาตั้งแต่อายุสิบกว่าปี
ทั้งบุกน้ำลุยไฟเดินผ่านทะเลเลือด เพียงเขาใช้สายตาคู่นั้นกวาดมองพวกทหารหลวง พวกเขาต่างพากันขยับเท้าถอยหลัง