ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 13 บทที่ 379 ตามหายาต่างเมือง
บางทีเรื่องนี้อาจถูกกำหนดเอาไว้ก่อนแล้ว มิเช่นนั้นเหตุใดต้นจิ้งซินเหลียนจึงบังเอิญอยู่กับตำราชิงเจิงผู่ได้
นำปิ่นปักผมวางลงในหีบเครื่องประดับด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะนำหีบใบนั้นวางในตำแหน่งที่เป็นความลับ
สัญชาตญาณกำลังบอกนางว่าปิ่นปักผมอันนั้นมิใช่ของธรรมดาสามัญ
การที่ปิ่นถูกเก็บรักษาไว้กับตำราชิงเจิงผู่ นั่นหมายความว่ามันเป็นของรักของหวงของท่านแม่หรือไม่ก็เป็นสิ่งของที่มีความสำคัญมาก ฉะนั้นนางจึงต้องเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้นหากมองจากสถานะของนางในเวลานี้ การที่นางเก็บปิ่นเอาไว้ใกล้ตัวก็หาใช่เรื่องไม่เหมาะสม
หลังจากเก็บของทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงนำห่อผ้ามาห่อต้นจิ้งซินเหลียนอีกครั้ง ใบหน้ามีรอยยิ้มผ่อนคลาย คราวนี้นางจะโจมตีไท่จื่อและฮองเฮาจนรับมือไม่ทันเลยทีเดียว
ภายในห้องปรุงยา ชิวอวี้กำลังทดสอบยาอยู่เพียงลำพังด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
บางทีอาจเพราะหลินเมิ้งหยาไม่อยู่ที่นี่ ฉะนั้นเขาจึงไม่มีแม้แต่คนที่จะปรึกษาเรื่องยาด้วย ดังนั้นคุณชายผู้มักจะมีท่วงท่าสง่างามอยู่เสมอบัดนี้จึงปล่อยให้หนวดเครารุงรังราวกับนักเลงหัวไม้
เส้นผมที่ถูกมัดรวบเอาไว้ด้วยกันยุ่งเหยิง เสื้อผ้าที่เคยสะอาดสะอ้านกลับกลายเป็นสีกาแฟ
เส้นเลือดฝอยแดงก่ำแตกระแหงในนัยน์ตาขาว คางของเขาเต็มไปด้วยหนวดสีเข้ม มีเพียงมือทั้งสองข้างเท่านั้นที่ยังคงสะอาดสะอ้าน
บางทีอาจเพราะเขากลัวว่าความสกปรกบนมืออาจจะส่งผลต่อฤทธิ์ยา ฉะนั้นจึงทำให้มือสะอาดอยู่เสมอ
คนคนนี้ช่างบ้างานยิ่งนัก
นิ้วมือเรียวยาวเคาะโต๊ะไม้เบาๆ หลินเมิ้งหยาพยายามไม่ทำให้เขาตื่นตระหนก มิเช่นนั้นชายที่กำลังจ้องยาสมุนไพรตรงหน้าตาไม่กระพริบอาจจะหันขวับมากัดนางก็เป็นได้
“ใคร!”
หันกลับมาจ้องคนที่ยืนอยู่ด้านหลังตาเขม็ง ก่อนที่เขาจะผงะไปเมื่อได้เห็นใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม
“ขออภัย ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากลับมาแล้ว”
จ้องดวงตาสีแดงราวกระต่ายของเขา หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า หากมิใช่เพราะมีชิวอวี้คอยอยู่ช่วยเหลือ นางก็คงมิอาจกลับบ้านไปได้ง่ายๆ
“ไม่ได้! ยังไม่ได้! ข้ายังไม่มีวิธีนำต้นจิ้งซินเหลียนผสมกับยาชนิดอื่น บางที…บางทีคนในครอบครัวข้าอาจจะรู้ แต่ตอนนี้ไม่ทันการณ์แล้ว!”
หลังจากล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ชิวอวี้จึงตกอยู่ในอาการกระวนกระวาย
เหตุการณ์ในวังหลวงเลวร้ายมากขึ้นทุกขณะ เขาที่เคยเข้าไปถวายการตรวจพระอาการของฮ่องเต้โดยไม่จำกัดเวลากลับกลายเป็นเข้าได้เพียงเวลาเดียวคือเช้าหรือเย็น
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่เข้าไปถวายการรักษา คนของฮองเฮาและไท่จื่อจะคอยจับตาดูอยู่ข้างกายไม่ห่าง
ไม่ว่าเขาอยากจะทำอะไร ตอนนี้ก็ล้วนไม่มีโอกาส
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ยินพวกคนในสำนักหมอหลวงกล่าวว่าเหตุเพราะพระอาการของฮ่องเต้ยังไม่ดีขึ้น ฉะนั้นพวกหัวหน้าในสำนักหมอหลวงจึงต้องการจะเปลี่ยนคนเข้าไปแทนเขา
หาก…หากยังไม่มียาไปรักษาฮ่องเต้ เกรงว่าเขาจะเสียโอกาสสุดท้ายไป
“ดูนี่สิ ข้าเอาอะไรมาด้วย”
หลินเมิ้งหยากลับมีท่าทีผ่อนคลาย นางนำห่อผ้าออกมาวางไว้ตรงหน้าชิวอวี้
อยู่ๆ ดวงตาของชิวอวี้ก็เบิกโพลงเหมือนคนกำลังตื่นตระหนก เขาจ้องสิ่งของในมือหลินเมิ้งหยาราวกับคนโง่งม
“ข้าตรวจสอบมาแล้ว อายุการใช้งานของสมุนไพรตัวนี้กำลังพอเหมาะ ฉะนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล พวกเราจะต้องปรุงยาออกมาได้อย่างแน่นอน”
ชิวอวี้ค่อยๆ เอื้อมมือเข้าไปหยิบยาในมือของหลินเมิ้งหยาด้วยความระมัดระวังราวกับเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น
เขามองด้วยความหลงใหลระคนยินดี
“แปลก….แปลกจริงๆ ของชิ้นนี้ถูกเก็บเอาไว้อย่างดี พระชายา เจ้าได้มันมาจากที่ใด?”
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะตอบว่าหาเจอจากสิ่งของที่มารดาทิ้งเอาไว้
เหตุเพราะตำราชิงเจิงผู่และปิ่นทองหาใช่สิ่งของของคนธรรมดาทั่วไป ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาจึงคิดว่าชิวอวี้ไม่รู้จะเป็นการดีที่สุด
“บังเอิญเช่นนี้เชียวหรือ สวรรค์จะต้องเป็นผู้ดลบันดาลอย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรามาปรุงยาแล้วรีบนำไปถวายฮ่องเต้กันเถิด”
ชิวอวี้รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ท่าทางของเขากลับมาสงบนิ่งดังเดิม แม้แต่คำพูดก็ไม่เร่งรีบเหมือนเมื่อครู่
หลินเมิ้งหยากลับส่ายหน้า คิ้วคู่สวยขมวดเข้าหากัน
“นี่เป็นเพียงความสำเร็จอย่างแรก ตอนนี้ราชสำนักเป็นเช่นไร แม้ข้าจะไม่พูดแต่เจ้าก็คงรู้ดี ตอนนี้ไม่มีเวลารักษาพระอาการของฮ่องเต้อย่างใจเย็นอีกแล้ว แม้พิษในร่างจะถูกถอนออก แต่ฮ่องเต้ก็ยังมิอาจลุกไปที่ใดได้ บางทีอาจต้องใช้เวลารักษานานราวสามถึงห้าเดือน หรืออาจจะนานถึงห้าปีกว่าจะหายดี แต่ถ้าหากสถานการณ์ในเวลานี้เปลี่ยนไป เช่นนั้นความพยายามของพวกเราก็จะสูญเปล่ามิใช่หรือ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเมิ้งหยา ชิวอวี้จึงใจเย็นลง
ก้มลงมองต้นจิ้งซินเหลียนในมือ ก่อนจะเผยรอยยิ้มขมขื่น
ตอนนี้ขุนนางในราชสำนักแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน ทั้งไท่จื่อ องค์ชายสืบเชื้อสายตรงคนอื่น หรือแม้กระทั่งพวกท่านอ๋องทั้งหมดต่างสู้รบปรบมือกันอย่างเปิดเผย อีกทั้งอ๋องอวี้ยังถูกไท่จื่อส่งไปสำรวจพื้นที่เพาะปลูกห่างไกล
หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนนี้ เกรงว่าจะมิอาจแก้ไขได้ทันเหตุการณ์
“เช่นนั้นข้าใช้โสมพันปีและสมุนไพรชั้นเลิศเพื่อฟื้นฟูอาการของฮ่องเต้ดีหรือไม่?”
ชิวอวี้รู้สึกอับจนหนทาง ฉะนั้นเขาจึงคิดแผนตื้นๆ ออกมา
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าวิธีนี้มิต่างอันใดจากการฆ่าช้างเอางา
“เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ดีว่าร่างกายของฮ่องเต้มิอาจรับยาเข้าไปฟื้นฟูได้อีกแล้ว ไม่ว่าโสมพันปีหรือยาผีบอกใดๆ ก็มิต่างอันใดจากยาพิษ หากรับยามากจนเกินขนาด คาดว่าไม่เกินสามถึงห้าปี ฮ่องเต้จะต้องสิ้นพระชนม์อย่างแน่นอน”
ชิวอวี้ตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ระทม เมื่อครู่เพิ่งจะหาต้นจิ้งซินเหลียนหายากพบ แต่ตอนนี้กลับเจออุปสรรคใหม่เข้าเสียแล้ว
แม้ภายนอกหลินเมิ้งหยาจะแสดงท่าทางเหมือนคนคิดไม่ตก แต่ความจริงแล้วนางกำลังพยายามหาตำรับยาในตำราชิงเจิงผู่
บทที่ว่าด้วยยาสมุนไพรเป็นเนื้อหาเพียงบทเดียวที่นางพอจะอ่านเข้าใจในเวลานี้ แม้ยาสมุนไพรในตำราจะเป็นเพียงยาสมุนไพรธรรมดา แต่ทว่ากลับมีความสำคัญมาก
หลังจากหาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็พบยาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่หากฮ่องเต้ได้เสวย เช่นนั้นพิษในร่างของพระองค์จะถูกถอนออกโดยใช้เวลาเพียงครึ่งเดือน ยิ่งไปกว่านั้นหากใช้ยาตัวนี้ผสมกับโสมก็จะช่วยลดทอนฤทธิ์ที่แรงเกินไปของโสมได้
ที่สำคัญคือยังช่วยฟื้นฟูร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยืดระยะเวลาการฟื้นฟูให้นานขึ้น หากเป็นเช่นนั้น นอกจากพระอาการของฮ่องเต้จะหายดีแล้ว ร่างกายของพระองค์จะยังแข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย
“หญ้าหลงสิง!”
ทั้งสองกล่าวออกมาพร้อมกัน ดวงตาของทั้งคู่เปล่งประกาย
ครู่ต่อมาชิวอวี้ถึงกับผงะ เขาหันไปมองหลินเมิ้งหยาราวกับจะถามว่านางรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
“เจ้ารู้จักหญ้าหลงสิงด้วยหรือ? ที่ต้าจิ้นมีการซื้อขายหรืออย่างไร?”
ชิวอวี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย เหตุเพราะหญ้าหลงสิงเปรียบเสมือนอัญมณีแห่งเมืองหลินเทียน ดังนั้นจึงมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรู้ได้
หรือว่า…
สายตาของชิวอวี้สั่นไหว แต่ถึงกระนั้นเขาก็เก็บงำเอาไว้อย่างดี ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงมองไม่เห็น
“ข้า…ข้าเห็นในตำราของท่านแม่อย่างไรเล่า แม้ของสิ่งนี้จะล้ำค่า แต่ก็หาใช่สมุนไพรที่ไม่มีใครพบเห็นมาก่อน เมื่อมันเคยถูกใช้งานก็ย่อมมีการบันทึกเอาไว้ มิเช่นนั้นคนรุ่นหลังคงไม่รู้ว่าสมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณเช่นไร”
หลินเมิ้งหยารีบหาข้ออ้าง ในขณะที่ทั้งสองกำลังหาข้ออ้างให้ตัวเอง พวกเขาก็ไม่พบความผิดปกติของฝ่ายตรงข้าม
“ก็ใช่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะออกเดินทางดูสักครั้ง เหตุเพราะใช่ว่าคนธรรมดาจะเก็บต้นสมุนไพรชนิดนี้ได้”
ในที่สุดความกังวลบนใบหน้าของชิวอวี้ก็หายไป เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไปนำหญ้าหลงสิงกลับมา
หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงหยักยิ้มขมขื่น ก่อนจะเอ่ยห้ามเขาไว้
“หญ้าหลงสิงเปรียบเสมือนอัญมณีแห่งเมืองหลินเทียน เจ้าเป็นเพียงหมอหลวงธรรมดา ข้าจะแปลกใจยิ่งนักหากพวกเขาไม่ขับไล่เจ้าออกมาทันทีที่เอ่ยปากร้องขอ ในตำราของท่านแม่เขียนเอาไว้ว่าหญ้าหลงสิงแบ่งเป็นตัวเมียและตัวผู้ ทุกปีจะกำเนิดยอดใหม่เพียงสองหน่อ ฉะนั้นพวกคนในราชวงศ์แห่งเมืองหลินเทียนจึงนำไปเป็นสัญลักษณ์ประจำสกุล จวบจนวันนี้หญ้าหลงสิงมีเพียงไม่กี่ร้อยต้นเท่านั้น เช่นนั้นสู้ข้าไปด้วยตัวเองจะดีเสียกว่า โชคดีที่ข้ามีตำแหน่งพระชายาแห่งต้าจิ้น หากท่านอ๋องเขียนฎีกาด้วยตนเอง บางทีพวกเขาอาจจะยอมมอบให้สักต้นสองต้น ช่วงนี้เจ้าเองก็ลำบากไม่น้อย ฉะนั้นอยู่พักผ่อนในวังจะดีกว่า พอข้ากลับมาเจ้าจะไม่มีเวลาว่างอีกแล้ว”
หลินเมิ้งหยาคิดอย่างละเอียดรอบคอบ แม้เมืองหลินเทียนจะเป็นพันธมิตรกับต้าจิ้น แต่หญ้าหลงสิงเองก็เปรียบเสมือนของมีค่าควรเมืองของพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้นในตำราของท่านแม่ยังเคยเอ่ยชื่นชมภูมิทัศน์ในเมืองหลวงแห่งเมืองหลินเทียนว่าสภาพอากาศค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นจึงสามารถตามหาพืชพรรณหายากจากที่นั่นได้
ฉะนั้นนางเองก็อยากจะรู้ว่าตนจะสามารถหายาสมุนไพรที่ต้องการจากที่นั่นได้หรือไม่
หากคิดจะไปขอยาล้ำค่าจากต่างบ้านต่างเมือง เช่นนั้นตนเองก็ควรจะมีฐานะพิเศษในระดับหนึ่ง
อันที่จริงคนที่เหมาะสมที่สุดในการเดินทางไปเยือนคือหลงเทียนอวี้ แต่เพราะเขายังมีภารกิจต้องทำ ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงคิดวิธีนี้ขึ้นมาได้
“พวกเขาจะต้องมอบให้เจ้าอย่างแน่นอน แม้หญ้าหลงสิงจะล้ำค่า แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดคือหน่อตัวผู้และตัวเมีย ขอเพียงมีของทั้งคู่ เท่านี้ไม่ว่าจะต้องการอีกสักเท่าไรก็สามารถทำให้พวกมันเติบโตขึ้นมาได้”
ใบหน้าของชิวอวี้ค่อนข้างผ่อนคลาย เขาไม่เห็นเรื่องนี้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“ข้ายังต้องปรึกษากับท่านอ๋องเรื่องนี้ จริงสิ ข้านำต้นจิ้งซินเหลียนมาแล้ว ตำรับยาเองก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นข้าคิดว่าเจ้าควรเร่งเข้าวังเพื่อถวายโอสถแก่ฮ่องเต้ เท่านี้เมื่อข้ากลับมาถึง พิษในกายของฮ่องเต้ก็จะถูกถอนออกไปเกินครึ่ง เมื่อได้หญ้าหลงสิงมาก็จะสามารถฟื้นฟูร่างกายของพระองค์ได้”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาค่อนข้างมีเหตุผล
ชิวอวี้รีบนำยากลับไปที่วังหลวง
กวาดสายตามองดูยาราคาแพงหลากหลายชนิด หลินเมิ้งหยาเข้าไปจัดการยาเหล่านั้นด้วยตนเอง
นางไม่คิดจะรื้อเรือนหลังนี้ทิ้งอีกต่อไป
นับตั้งแต่วันที่ย้อนเวลากลับมา นางพบว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ของตนเองมักสร้างความประหลาดใจที่นางไม่เคยคาดคิดเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางได้เจอตำราชิงเจิงผู่ บางทีนางอาจจะกลายเป็นปรมาจารย์ทางด้านการแพทย์ในอนาคตก็เป็นได้
เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกภาคภูมิใจไม่น้อย
กว่านางจะจัดเก็บยาเหล่านั้นเสร็จ สีของท้องฟ้าก็กลายเป็นสีดำสนิทแล้ว