ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 13 บทที่ 381 ไม่อนุญาตให้จากไป
หลินเมิ้งหยาจนคำพูด มือเล็กออกแรงหยิกคนที่ลอบหัวเราะอย่างหลงเทียนอวี้
หลังจากบรรยากาศรอบตัวทั้งคู่แปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่น บุรุษที่มีเพียงใบหน้าเย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็งเองก็หายไป
ซ้ำยังรู้จักวิธีแกล้งคนเสียด้วย
ยิ่งได้เห็นมุมปากที่ยกขึ้นเพราะหุบยิ้มไม่ทันของเขา หลินเมิ้งหยายิ่งรู้สึกขุ่นเคือง ริมฝีปากบางอ้าออกก่อนจะกัดแขนเขาเต็มแรง
แต่เพราะกล้ามเนื้อแขนของหลงเทียนอวี้แข็งแรงเกินไป นางจึงรู้สึกไม่ต่างจากการกัดหิน
เมื่อครู่นางกัดเสียเต็มแรง ความเจ็บปวดจึงทำให้ขอบตาของนางร้อนผ่าว
“อุบ...”
ปิดปากของตนเอง หยดน้ำตาพร่างพราว สายตาจ้องหลงเทียนอวี้ด้วยความโมโห
“เจ้า…เป็นอะไรหรือไม่?”
ก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมกอดด้วยความสงสาร เขาฝึกวิทยายุทธ์มานานหลายปี แม้ผิวหนังจะไม่ได้กลายเป็นเหล็ก แต่ถึงกระนั้นกล้ามเนื้อก็อัดกันเป็นก้อน
ไม่รู้ว่าป่านนี้ฟันของนางเป็นเช่นไรบ้าง
“อ๊ดไอ๊อันอ่อมอั๊นอาเอยอ๊ะ! (ชดใช้ฟันหม่อมฉันมาเลยนะ!) ”
หลินเมิ้งหยายกมือขึ้นปิดปากพลางก่นด่าในใจ
ร่างกายของหลงเทียนอวี้ไร้ไขมัน ไม่ว่านางจะหยิกหรือกัดก็ไม่เป็นผล ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงถลึงตาจ้องอีกฝ่ายที่พยายามกลั้นขำเอาไว้
“ฮึ อยากหัวเราะก็เชิญเลยเพคะ หม่อมฉันหาใช่คนขี้น้อยใจไม่”
ในเมื่อลงมือไม่ได้ หลินเมิ้งหยาจึงใช้สายตาพิฆาตจ้องเขาแทน
ทว่าหลงเทียนอวี้กลับไม่หัวเราะเยาะนาง อีกทั้งยังไม่ต่อว่า อยู่ๆ เขาก็ยื่นริมฝีปากไปจุมพิตหน้าผากของนาง
“คราวหน้าอย่าใช้ฟันกัดข้า มันจะหักเอาได้”
จุมพิตนุ่มนวลอ่อนหวานทำให้หลินเมิ้งหยาชะงักงัน
แม้เขาจะใช้น้ำเสียงยั่วเย้ากับนาง แต่นางก็มิได้ตอบโต้เขากลับ
“ข้าไปก่อนล่ะ เจ้ารีบเข้านอนเถิด”
ลูบไล้เส้นผมสีดำขลับ แม้จะไม่อยากจาก แต่เขายังมีสิ่งให้ต้องทำ
“ช้าก่อน หม่อมฉันยังมีเรื่องอยากปรึกษาเพคะ”
ดึงสติกลับมา หลินเมิ้งหยาเพิ่งนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
รีบร้องเรียกเพื่อหยุดเขาเอาไว้ ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่วเล่าเรื่องต้นหลงสิงให้เขาฟัง
“เจ้าหมายความว่าหากต้องการทำให้ร่างกายของเสด็จพ่อฟื้นฟูได้โดยเร็ว เช่นนั้นจะต้องไปขอของล้ำค่าจากเมืองหลินเทียนอย่างต้นหลงสิง? เช่นนั้นข้าเขียนฎีกาแล้วส่งทหารไปขอก็ได้แล้วมิใช่หรือ?”
เพียงได้ยินหลินเมิ้งหยาขอร้องเพื่อเดินทางไปยังเมืองหลินเทียน หลงเทียนอวี้รีบปฏิเสธทันที
เมืองหลินเทียนมีสัมพันธไมตรีอันดีกับต้าจิ้น ทั้งสองเมืองมักไปมาหาสู่เพื่อทำการค้ากันอยู่เสมอ
แต่หลินเมิ้งหยาเป็นเพียงหญิงสาวบอบบางคนหนึ่ง หากไม่มีเขาคอยปกป้อง เช่นนั้นนางจะไปถึงเมืองหลินเทียนอย่างปลอดภัยได้อย่างไร?
“พระองค์ยังไม่รู้ว่าต้นหลงสิงมีความสำคัญกับเมืองหลินเทียนเช่นไร หากส่งเพียงขบวนเสด็จไป เกรงว่าอีกฝ่ายจะมองว่าทางเรามิให้ความเคารพต่อพวกเขา เช่นนั้นสู้หม่อมฉันไปเองจะดีเสียกว่า หนึ่งเพื่อไปท่องเที่ยวให้จิตใจเบิกบาน สองก็เพราะฐานะของหม่อมฉันค่อนข้างพิเศษ ฉะนั้นหม่อมฉันจึงคิดว่าควรเดินทางไปด้วยตนเองเพคะ”
หลงเทียนอวี้ยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ความปลอดภัยของหลินเมิ้งหยาคือสิ่งที่เขาให้ความสำคัญ
ยิ่งไปกว่านั้น ในหน้าประวัติศาสตร์ล้วนบันทึกว่ามีเพียงองค์หญิงที่ถูกส่งออกไปแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ต่างเมืองเท่านั้น มีชายาที่ไหนได้ออกไปต่างบ้านต่างเมืองตัวคนเดียวบ้างเล่า?
“ไม่ได้ ไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยของเจ้าได้ การที่ข้าต้องออกไปสำรวจพื้นที่เพาะปลูกก็เพราะไท่จื่อต้องการล่อเสือออกจากถ้ำ หากเจ้าอยู่ในจวน อย่างน้อยก็มีพี่ชายของเจ้าและทหารองครักษ์คอยคุ้มกัน แต่ถ้าหากเจ้าเดินทางไปเพียงลำพังแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เช่นนั้นข้าจะอธิบายกับบิดาของเจ้าว่าอย่างไร?”
คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากันแน่น แววตาเผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย
ทว่าหลินเมิ้งหยาตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่านางจะโน้มน้าวเขาให้สำเร็จจนได้
“หม่อมฉันเป็นหนามยอกอกของฮองเฮาและไท่จื่ออยู่แล้ว ปกติมีแต่คนคอยปกป้อง แต่หากพระองค์ไม่อยู่เมืองหลวง เช่นนั้นพวกเขาก็สามารถลงมือทำร้ายหม่อมฉันได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าหากหม่อมฉันแอบหนีไป พวกเขาไม่มีทางรู้ เช่นนั้นหม่อมฉันจะมิปลอดภัยกว่าหรือ? ผืนแผ่นดินในใต้หล้ากว้างขวางยิ่งนัก พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าหม่อมฉันไปที่ไหน?”
หลงเทียนอวี้มิได้ใส่ใจคำพูดก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่ประโยคหลังของนางทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว
เขายังจำได้ว่าครั้งเมื่อนางเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในจวน นางเฝ้าพร่ำเพ้อหาวิธีหนีออกไปจากที่นี่
ตอนนี้ไม่รู้ว่านางละทิ้งความคิดนี้ไปแล้วหรือไม่?
หากวันหนึ่งนางหนีไปจากเขาจริง ก็เหมือนคำพูดของนางที่ว่า ผืนแผ่นดินในใต้หล้ากว้างขวางยิ่งนัก เช่นนั้นเขาจะหานางเจอได้อย่างไร?
เมื่อคิดได้ดังนี้ หัวใจของเขาพลันกระวนกระวายไม่อาจสงบนิ่ง
ความรู้สึกว้าวุ่นถาโถมไปทั่วทั้งใจ
หากนางไปยังเมืองหลินเทียนแล้วไม่กลับมาเล่า?
แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เขาได้ยินเสียงกู่ร้องในใจอย่างชัดเจน
“พระองค์วางพระทัยเถิด ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็เป็นบุตรสาวสกุลหลิน พวกเราสกุลหลินพร้อมบุกน้ำลุยไฟเสมอ แค่ไปเมืองหนิงเทียนเพื่อนำยากลับมาเท่านั้น หาใช่เรื่องใหญ่อันใดไม่ พระองค์ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันไปเถอะนะเพคะ”
เมื่อใช้เหตุผลไม่ได้ผล หลินเมิ้งหยาจึงเปลี่ยนมาใช้ลูกอ้อน
ทว่าสีหน้าของหลงเทียนอวี้กลับถมึงทึงยิ่งกว่าเดิม แววตาสับสนวุ่นวาย
“ไม่ได้! ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าไปที่ไหนทั้งนั้น! เจ้าเป็นชายาของข้า เจ้าจะต้องอยู่ที่จวนอวี้แห่งนี้! เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ปรึกษาอีก!”
อยู่ๆ ท่าทางของหลงเทียนอวี้พลันแข็งกร้าว
หลินเมิ้งหยายังอยากโน้มน้าวอีกสองสามประโยค แต่เขากลับเดินอ้อมตัวนางออกไป
“นี่! หลงเทียนอวี้ เจ้ามีเหตุผลหน่อยได้หรือไม่!”
หลินเมิ้งหยาคิดอยากตามไปให้ทัน แต่นางพบว่าฝีเท้าของเขาเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก สุดท้าย ‘ปัง’ เสียงดังขึ้น ประตูตำหนักหลิวซินถูกลงกลอนจากทางด้านนอก
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากมิได้รับคำสั่งจากข้า ห้ามมิให้ใครปล่อยพระชายาออกมา พระชายาสามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้ แต่ห้ามก้าวเท้าออกจากตำหนักนี้เป็นอันขาด!”
หลินเมิ้งหยาฟังเสียงด้านนอกด้วยอาการตกตะลึง
อะไรคือไม่อนุญาตให้นางออกไป? เขาจะขังนางเอาไว้ที่นี่อย่างนั้นหรือ?
ออกแรงผลักประตู แต่กลับพบว่าไม่อาจเปิดได้ หลินเมิ้งหยารู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ได้พูดเล่น
“หลงเทียนอวี้ ปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้!”
กำปั้นเล็กๆ ทุบประตู ทว่ากลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
หลินเมิ้งหยาโกรธจนตัวสั่น มือเล็กเริ่มแดง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงร้องตะโกน
“ทำไมต้องขังข้าเอาไว้ด้วย! ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ พวกเราทุกคนล้วนมีอิสระเป็นของตัวเอง เจ้ากำลังทำลายอิสระของผู้อื่น ข้าจะแจ้งตำรวจมาจับเจ้า!”
ทันทีที่พูดจบ หลินเมิ้งหยาเพิ่งจำได้ว่าตนเองมิได้มีกฎหมายคุ้มครองเหมือนในชาติก่อน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นหญิงสาวยุคโบราณ
ยอมแพ้ต่อความอยุติธรรม หลินเมิ้งหยาจ้องประตูเขม็ง
คุมขังร่างกายของนางเอาไว้ได้ แต่เขาไม่อาจคุมขังจิตใจของนางได้
เด็กสาวที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าย่อมเคยปีนกำแพงหนีออกไปหาของกินเล่น คิดหรือว่าตำหนักหลิวซินจะขังนางเอาไว้ได้!
หลงเทียนอวี้ ในเมื่อกล้าใช้วิธีหยาบช้าเช่นนี้เพื่อขัดขวางหนทางสู่อิสรภาพของนาง เช่นนั้นเราจะได้เห็นดีกัน!
คอยดูเถอะ!
ณ หน้าประตูจวนอวี้
ยังไม่ทันที่ท้องฟ้าจะเปลี่ยนสี ม้าหลายตัวและรถม้าหนึ่งคันจอดคอยท่าอยู่นานแล้ว
เขาเลื่อนวันออกตรวจพื้นที่เพาะปลูกเข้ามาให้เร็วขึ้น เหตุเพราะหากไม่ทำเช่นนี้ เกรงว่าไท่จื่ออาจหาข้ออ้างเพื่อสร้างความยุ่งยากให้แก่เขา
หลงเทียนอวี้ในชุดสีชาแต่งตัวเหมือนคุณชายพ่อค้า ศีรษะประดับมงกุฎหยก เส้นผมสีดำขลับปล่อยสยายไว้ด้านหลัง ขาสวมใส่รองเท้าหนังสำหรับขี่ม้าโดยเฉพาะ
พลิกตัวขึ้นหลังม้าด้วยท่วงท่าคล่องแคล่วไร้ที่ติ
ทว่าใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มกลับเผยความกังวล
บรรยากาศอึมครึมเช่นเดียวกับสีของท้องฟ้า
เมื่อวานเขาบันดาลโทสะจนขังหลินเมิ้งหยาเอาไว้
เขาไม่คิดว่าตนเองทำผิด แต่นางที่ต้องอยู่ในตำหนักหลิวซินจะต้องรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมากแน่นอน
“พ่อบ้านเติ้ง หลังจากข้าไปแล้ว พระชายา…ห้ามพระชายาออกจากจวนเด็ดขาด นางสามารถไปได้ทุกที่ในจวน แต่อย่าทำให้นางโศกเศร้า หากนางต้องการสิ่งใดจงพยายามทำให้นางพอใจ”
พ่อบ้านเติ้งรับคำสั่ง หลงเทียนอวี้มองประตูจวน ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
เขาสั่งให้คนลงกลอนประตูตำหนักหลิวซินเอาไว้ แต่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวของนาง เมื่อคืนนางจึงลงกลอนประตูหน้าต่างทุกบานและขังตัวเองอยู่ในนั้น
เขาที่คิดอยากไปมองหน้านางอีกสักครั้งถูกกลอนประตูขวางเอาไว้
อันที่จริงกลอนประตูหาใช่อุปสรรคของเขาไม่ แต่เขามิอาจหาญทำให้นางตื่นตกใจ
สุดท้ายทำได้เพียงถอนหายใจและเดินจากตำหนักของนางมา
“ท่านอ๋องโปรดวางพระทัย ข้าน้อยจะปกป้องพระชายาเป็นอย่างดี ท่านได้โปรดระวังตัวด้วย”
หากท่านอ๋องมีธุระออกไปนอกจวน เช่นนั้นหลินขุยจะเป็นผู้ติดตามไป
เขาที่เป็นพ่อบ้านมีหน้าที่ดูแลจวนให้อยู่อย่างสงบสุข
แต่ตอนนี้นอกจากจะมีพระชายาผู้มากวิธีการ ยังมีพระสนมเต๋อเฟยที่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนด้วย
เฮ้อ ไม่รู้ว่าพอท่านอ๋องไปแล้วจะเกิดเรื่องอันใดที่จวนแห่งนี้บ้าง
ตำแหน่งพ่อบ้านช่างยากเย็นนัก!
ทันทีที่ฟ้าสว่าง หลินเมิ้งหยารีบลุกจากที่นอน
หลังจากบิดขี้เกียจแล้ว น้ำอุ่นพลันถูกยื่นเข้ามาที่ด้านหน้าของนาง
ด้านหลังถ้วยน้ำคือเถียนมามาที่กำลังแย้มยิ้มอ่อนโยน
“อรุณสวัสดิ์มามา”
รับถ้วยไป หลินเมิ้งหยายิ้มหวานให้เถียนมามา
เมื่อคืนนางโกรธจัดจนอุ้มหมอนกอดผ้าห่มมานอนกับเถียนมามา
กลิ่นอายที่ทำให้หัวใจสงบของคนเป็นมารดาทำให้หัวใจของนางสงบนิ่งลง
“ตอนนี้ยังเช้า ท่านนอนต่ออีกสักหน่อยเถิด”
เถียนมามามองหลินเมิ้งหยาด้วยความรัก นางได้ยินเรื่องเมื่อคืนหมดแล้ว
เด็กคนนี้ยังเหมือนแต่ก่อนไม่มีผิด เพียงถูกทำให้ขุ่นเคืองก็มักจะเข้ามาพึ่งพิงนางไม่ยอมไปไหน
เมื่อก่อนนางยังสามารถเป็นเกราะกำบังให้กับคุณชายใหญ่และคุณหนูได้ แต่ตอนนี้ทุกคนในจวนล้วนเชื่อฟังพระชายาคนนี้ของนาง ดังนั้นนางจึงเหมือนเด็กที่เมื่อจิตใจว้าวุ่นก็จะเข้ามาหาตนเองเพื่อหาความสงบ