ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 13 บทที่ 390 ค้างแรมที่โรงเตี๊ยม
โรงเตี๊ยมตั้งเรียงรายสองข้างทาง ลักษณะภายนอกเรียบง่าย ด้านหน้าเป็นสวนขนาดใหญ่ ภายในมีเพียงอาหารและเครื่องดื่ม
โชคดีที่ราชสำนักเป็นผู้นำส่งเสบียงให้แก่โรงเตี๊ยมเหล่านี้ อีกทั้งยังไม่เกิดการฉวยโอกาสในการเก็งกำไร ฉะนั้นพ่อค้าส่วนใหญ่จึงเลือกพักแรมค้างคืนที่โรงเตี๊ยม
แม้โรงเตี๊ยมจะดูธรรมดา แต่ถึงกระนั้นก็มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ
เห็นได้ชัดว่าท่านกัวเป็นแขกประจำของที่นี่ คนที่มาต้อนรับจึงมิใช่เสี่ยวเอ้อร์ธรรมดา แต่กลับเป็นชายอายุราวสี่สิบกว่า
เมื่อพวกหลินเมิ้งหยามาถึง ที่นั่งในห้องโถงของโรงเตี๊ยมต่างถูกจับจองหมดแล้ว
โชคดีที่พวกจ้าวเฟยและเหวินสือมีโต๊ะแยกต่างหาก ฉะนั้นเมื่อพวกเขาเห็นหลินเมิ้งหยา ริมฝีปากพลันหยักยิ้มกว้าง ก่อนจะเชิญนางไปนั่งด้วย
แม้เหวินสือจะมิใช่คนชอบสนทนา แต่เขาเป็นคนมีไหวพริบ
ได้ยินชิวอวี้เล่าว่าหากไปยังสถานที่ที่ไม่รู้จัก เช่นนั้นต้องสำรวจพื้นที่โดยรอบให้ดี
จ้าวเฟยชอบสนทนาและเล่าเรื่องตลบขบขัน เขามักจะช่วยท่านกัวตรวจสอบขบวนรถม้าเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งท้าย
รถม้าของหลินเมิ้งหยาถูกจัดให้อยู่กลางขบวน บางทีอาจเพราะต้องการคุ้มครองความปลอดภัยให้นาง
หลินเมิ้งหยารู้จักนิสัยใจคอของคนเหล่านี้ดี ชิวอวี้เป็นสหายเก่าของพวกเขา ดังนั้นจึงมิได้รู้สึกเหมือนกำลังพบเจอคนแปลกหน้า
ป๋ายซ่าวตระเตรียมเนื้อวัว เป็ดตุ๋นอย่างดีเอาไว้นานแล้ว หยวนซานอยู่ด้านข้างคอยช่วยเหลือ เขายิ้มกว้างทั้งอ้าปากหัวเราะเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทาง
“น้องหยวน คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีฝีมือร้ายกาจตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ ตัวข้าจ้าวเฟยเลื่อมใสเจ้ายิ่งนัก”
หลินเมิ้งหยารูปร่างเป็นสตรี ฉะนั้นเมื่อแต่งกายเป็นบุรุษ นางจึงเหมือนทั้งผู้ชายและผู้หญิง
คนในขบวนพ่อค้าส่วนใหญ่เป็นพวกผู้ชายหยาบกร้าน ฉะนั้นพวกเขาจึงมักมองนางด้วยท่าทางเย้ยหยัน
แต่หลังจากได้เห็นฉากนองเลือดของชายหื่นกามคนนั้นแล้ว มุมมองที่มีต่อนางพลันเปลี่ยนไป
คาดว่าคงไม่มีใครกล้าเข้ามาหาเรื่องนางอีก
“พี่จ้าวล้อเล่นแล้ว ตัวข้าเป็นชาย หากข้าเพิกเฉยต่อคนที่เข้ามายุ่มย่ามกับฮูหยินของข้า เช่นนั้นข้าจะต่างอะไรจากพวกผู้ชายเฮงซวยเล่า?”
เมื่อต้องเดินทาง พวกเขาจึงไม่ดื่มเหล้ามากนัก ส่วนใหญ่เพียงจิบเพื่อลิ้มลองรสชาติ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีเพียงกับแกล้มแต่ไร้สุรา ดังนั้นพวกเขาจึงหันมาสนทนาเรื่องขบขันกันแทน
หลินเมิ้งหยาเล่าเรื่องตลก นอกจากเสียงหัวเราะดังลั่นของจ้าวเฟยแล้ว เหวินสือเองก็กระตุกยิ้มที่น้อยครั้งจะได้เห็น
ยิ่งสนทนาบรรยากาศก็ยิ่งคึกคัก โต๊ะของพวกเขาตกเป็นจุดสนใจของคนทั้งห้องโถง
ทว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้หาได้มีเพียงขบวนพ่อค้าของพวกเขาไม่
แม้ท่านกัวจะเป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองหลวง แต่เมื่ออยู่นอกเมือง คนที่มีชื่อเสียงกว่าเขาย่อมมีมากมาย
อีกทั้งมิใช่ว่าทุกขบวนพ่อค้าจะมีหัวหน้าเป็นคนมีคุณธรรมดั่งเช่นท่านกัว
ขณะที่โต๊ะของหลินเมิ้งหยากำลังสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ สายตาคมกริบคู่หนึ่งพลันตวัดมองพวกเขา
สายตาคู่นั้นมาจากชายสามคนซึ่งนั่งอยู่มุมหนึ่ง
สัญชาตญาณของหลินเมิ้งหยาทำงานอย่างว่องไว นางสังเกตเห็นสายตาไม่เป็นมิตรเหล่านั้น ดังนั้นนางจึงส่งสัญญาณผ่านทางสายตาให้กับชิวอวี้เพื่อให้ทุกคนเบาเสียงลง
“พี่จ้าว คนพวกนั้นมาจากที่ใดหรือ?”
เมื่ออยู่นอกบ้าน หลินเมิ้งหยาจึงค่อนข้างระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่เพราะพวกเขาเพิ่งสนทนาพาทีกันอย่างสนุกสนาน ดังนั้นจึงดึงดูดสายตาหลายคู่
แต่มีเพียงสายตาของชายโต๊ะนั้นที่ทำให้นางรู้สึกหวั่นใจ
ไม่ต้องหันหน้ากลับไปดูจ้าวเฟยก็รู้ได้ทันทีว่าเสี่ยวหยวนหมายถึงใคร แม้สายตาจะเจือไว้ซึ่งการดูแคลน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ลดเสียงให้เบาลง
“พวกเขาเป็นพ่อค้าที่กำลังจะเดินทางไปเมืองเลี่ยหยุน ผู้นำขบวนนามว่าอูยา ฮึ ก็แค่พวกกระจอก”
แม้จ้าวเฟยจะมิได้เล่าอะไรมากมายนัก แต่หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
อูยา ดูเหมือนชื่อนี้จะเป็นเพียงสมญานามเท่านั้น
กวาดสายตาไปทางโต๊ะนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกว่าพวกเขาค่อนข้างแปลก
แต่นางไม่รู้ว่าแปลกอย่างไร
ทว่าเมืองหลินเทียนและเมืองเลี่ยหยุนหาได้อยู่ที่เดียวกันไม่ อยู่ๆ สมองพลันปรากฏภาพใบหน้าเรียวเล็กขึ้นมา
ตั้งแต่เสี่ยวอวี้จากไป เขาก็มิเคยส่งข่าวกลับมาอีกเลย แม้นางจะส่งคนออกตามหา แต่กลับมิได้รับเบาะแสใดๆ
หวังว่าเขาจะยุ่งจนลืมแต่เพียงเท่านั้น
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ พ่อค้าส่วนใหญ่ล้วนเข้าพักในโรงเตี๊ยม
ห้องหับมีไม่มาก ซ้ำยังไม่มีการตกแต่งแต่อย่างใด ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของใช้จำเป็น พ่อค้าบางส่วนล้วนเลือกที่จะกางกระโจมเพื่อพักผ่อนและเฝ้าของของตนเอง
มีเพียงห้องของผู้นำขบวนและพ่อค้ามีฐานะเท่านั้นที่มีห้องพักหน้าตาไม่เลว
ส่วนชิวอวี้ผู้อ้างว่าเป็น ‘ญาติผู้พี่’ ของหลินเมิ้งหยาเลือกที่จะเข้าไปอยู่ในห้องเดียวกันกับพวกนาง
คนทั้งสามนั่งอยู่รอบโต๊ะสีดำมันวาวพลางจ้องตากันนิ่ง
หลินเมิ้งหยาจ้องชิวอวี้ตาเขม็ง สายตาไม่เป็นมิตรราวกับต้องการจะฆ่าแกงเขาอย่างไรอย่างนั้น
“คือว่า…พวกเจ้าสองคนนอนในห้องเถิด ข้าจะนอนที่พื้นด้านนอก”
ชิวอวี้ย่อมรู้ดีว่าตนเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ดังนั้นจึงกล่าวเสียงน้อยใจระคนอ้อนวอนอีกฝ่าย
ทว่าหลินเมิ้งหยายังไม่คิดจะปล่อยเขาไปง่ายๆ คนอื่นยังไม่เท่าไร แต่ชิวอวี้รู้ดีว่าตนเองและป๋ายซ่าวเป็นผู้หญิง
ขนาดชายอกสามศอกยังให้ความเกรงใจเมื่อต้องผ่านห้องของหญิงสาว เช่นนั้นจะให้นางวางใจได้อย่างไร!
“เหตุใดเจ้าต้องอยากพักห้องเดียวกันกับพวกข้าด้วย? หรือเจ้ากำลังคิดอะไรไม่ดีอยู่กันแน่?”
ชิวอวี้เกือบจะนอนตายตาเหลือก คิดไม่ดีอย่างนั้นหรือ?
สวรรค์โปรด เขายังอยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นะ
รีบส่งสายตาใสซื่อจริงใจเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
“ข้าเพียงแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเจ้า พวกเจ้าก็เห็นว่าที่นี่ล้วนมีแต่พวกผู้ชายหยาบกร้าน เมื่อครู่เจ้าอูยานั่นก็จ้องพวกเจ้าตาเขม็ง หากปล่อยให้พวกเจ้าอยู่กันเพียงลำพัง เช่นนั้นข้าจะวางใจได้อย่างไร?”
หลินเมิ้งหยามองเขาด้วยสายตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ถึงกระนั้นคำกล่าวอ้างของเขาก็มีเหตุผล
หลังจากจ้องตาเขาอยู่นานและรับรู้ได้ว่าชิวอวี้มีเจตนาบริสุทธิ์ พวกนางจึงเลิกจ้องเขา
หลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าวเลือกที่จะเชื่อคำพูดของเขา
“ดี พวกเราจะเชื่อใจเจ้าไปก่อน เจ้าจะได้อยู่เพียงห้องด้านนอก หากเจ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้าแล้วเข้ามาภายในโดยพละการ ระวัง….”
หลินเมิ้งหยาส่งสัญลักษณ์มือเพื่อข่มขู่ ดวงตาคมกริบจ้องเขาเขม็ง ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องนอนพร้อมกับป๋ายซ่าว
จ้องประตูเก่าทรุดโทรมที่ถูกดึงปิดต่อหน้าตนเอง ใบหน้าที่เคยยิ้มขมขื่นพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
เทชาเย็นชืดลงถ้วย ก่อนจะดื่มกลืนรสขมเฝื่อนลงคอ
แม้จะขม แต่ชิวอวี้ก็ดื่มจนหมด
หลินเมิ้งหยาเดาได้อย่างถูกต้อง เขามาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง
แต่เรื่องนี้หาใช่เรื่องสกปรกอย่างที่นางคิดไม่
เพียงนึกถึงสายตาอำมหิตของนางเมื่อครู่ ชิวอวี้อดที่จะกระตุกยิ้มขมขื่นไม่ได้
เด็กคนนี้เหมือนกับคนคนนั้นไม่มีผิด
กลางดึก โชคดีที่ชิวอวี้คิดเอาไว้อย่างรอบคอบ ฉะนั้นเขาจึงเตรียมน้ำร้อนถังใหญ่เอาไว้ให้พวกนาง
สองนายบ่าวถูหลังให้กันพลางส่งเสียงซุบซิบ
“นายหญิง ข้ารู้สึกว่าท่านหมอชิวมีท่าทางแปลกๆ ท่านเคยเล่าว่าโลกใบนี้ไร้ซึ่งความบังเอิญ หรือว่าเขาจะวางแผนการอะไรบางอย่างอยู่?”
ป๋ายซ่าวเอ่ยถามด้วยความกังวล ตอนแรกนางคิดว่าเรื่องเลวร้ายของการเดินทางในคราวนี้จบลงแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงก้าวขาออกมาอีกข้าง ชีวิตของตนเองจะตกอยู่ในอันตรายอีกครา
ตอนนี้นางเป็นห่วงนายหญิงของตัวเองยิ่งนัก นายหญิงมีชาติกำเนิดสูงส่ง เหตุใดต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ด้วย?
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า น้ำร้อนชะล้างความเมื่อยล้าออกไปจนหมดสิ้น สมองก็ปลอดโปร่งกว่าเดิม
“เขาไม่มีทางทำอะไรพวกเราหรอก ข้าเชื่อว่าเขาไม่มีวันทำร้ายพวกเราอย่างแน่นอน อีกอย่างข้าคิดว่าเขาจะต้องมีส่วนช่วยในการไปขอยาหลงสิงค่อนข้างมาก สิ่งเดียวที่ข้ากังวลใจในตอนนี้คือเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนออกจากเมืองหลวงในวันนี้จะเปิดเผยเบาะแสการหายตัวไปของพวกเราหรือไม่”
นิ้วมือเรียวยาวยกขึ้นนวดขมับ
บางทีการหลบหนีของนางอาจถูกจับได้ แต่เมืองหลวงไม่เหมือนที่อื่น เหตุเพราะมีคนจำนวนมากจดจำนางได้
หากพวกไท่จื่อรู้เรื่องนี้ เช่นนั้นความปลอดภัยของนางคงกลายเป็นศูนย์
ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย หลินเมิ้งหยามองลอดหน้าต่างลงไปทางด้านล่าง พวกพ่อค้าส่วนใหญ่กำลังเฝ้าดูแลสิ่งของของตนเอง
ทุกคนล้วนมีครอบครัวและคนรักกันทั้งสิ้น
นางรู้จักแผนการของพวกไท่จื่อดี หากเขาคิดจะฆ่า เช่นนั้นเขาไม่มีทางปล่อยใครไปอย่างแน่นอน
คนเหล่านี้ล้วนยอมอดทนต่อความเหนื่อยยากเพื่อพาครอบครัวของตนเองไปสู่ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
การนอนกลางดินกินกลางทรายหาใช่เรื่องง่าย
หัวใจของนางเริ่มคิดอยากใช้ชีวิตเพียงลำพังไปตลอดชีวิต
เฮ้อ พอได้มาอยู่ที่นี่นางจึงรู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอันใดจากตัวซวยอย่างโคนัน
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ แม้จะได้เห็นท่าน พวกเขาก็จำท่านไม่ได้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นพอท่านแต่งกายเป็นชายเช่นนี้ ท่านคล้ายกับคุณชายใหญ่แห่งสกุลหลินมากนักเจ้าค่ะ”
ป๋ายซ่าวเอ่ยพลางเช็ดเส้นผม
หัวใจของหลินเมิ้งหยาพลันสั่นไหว นางหันหน้าไปมองป๋ายซ่าว
“เจ้าบอกว่าข้าเหมือนท่านพี่หรือ?”
ป๋ายซ่าวพยักหน้าลงทันที ก่อนจะตอบ
“มิใช่หรือเจ้าคะ? แม้คุณชายใหญ่จะอายุมากกว่านายหญิงหลายปี แต่พวกท่านล้วนมีมารดาคนเดียวกัน ฉะนั้นใบหน้าย่อมเหมือนกันอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
หลินเมิ้งหยารีบสาวเท้าไปยืนหน้ากระจก แม้กระจกเหลืองทองจะหม่นหมอง แต่นางกลับเห็นเงาที่สะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจน
ใบหน้าของหลินหนานเซิงหล่อเหลาโดดเด่น ผลจากการฝึกฝนร่างกายมานานหลายปีทำให้เขามีความเข้มแข็งสมชายชาตินักรบ ยิ่งสวมเกราะเหล็กบนร่าง เขายิ่งดูแข็งแกร่งไร้เทียมทาน