ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 2 บทที่ 46 แผนลอบสังหารเร้นลับ
“ว่าอย่างไรนะ? ไม่มีทาง! เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้!”
ตรงข้ามกับหลินเมิ้งหยา ชายคนหนึ่งที่มีลักษณะท่าทางเหมือนแม่ทัพตบโต๊ะเสียงดัง
ชายคนนั้นมีอายุราวสามสิบกว่า เคราหนาเตอะรกรุงรัง เพียงได้เห็นก็รู้ว่าเป็นคนอารมณ์ร้อน
“จูเฉียง เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบตามหารังของเถาฮวาอู๋มาโดยตลอด หากมีปัญหาอันใดจงพูดออกมา”
ร่างสูงโปร่งสง่างามปรากฏขึ้นในแนวสายตาของหลินเมิ้งหยา
ชายถือพัดสวมชุดสีเขียว ใบหน้ารูปไข่อ่อนโยนไร้ซึ่งพิษภัย ลักษณะภายนอกดูเข้ากับคนอื่นได้ง่ายและเปี่ยมไปด้วยความสามารถ
เพียงมองปราดเดียวหลินเมิ้งหยาก็รู้ได้ทันทีว่า ชายคนนี้คือลูกน้องที่ฉลาดหลักแหลมของหลงเทียนอวี้
“เจ้าพวกสารเลวเถาฮวาอู๋เจ้าเล่ห์เพทุบายนัก หากซ่อนตัวอยู่บริเวณรอบๆ เมืองหลวงจริงก็จะต้องมีร่องรอยปรากฏให้เห็น สายลับของพวกเราออกค้นหาทุกซอกทุกมุมในเมืองหลวง แล้วแบบนี้จะมีปลาหลุดจากตาข่ายได้อย่างไร!”
คำพูดของจูเฉียงทำให้มีคนพยักหน้าเห็นด้วยเป็นจำนวนมาก
หลินเมิ้งหยากลับหยักยิ้ม หยิบชาหอมบนโต๊ะขึ้นจิบ
“แม่ทัพจู เคยได้ยินนิทานเรื่องหลอดไฟในความมืดหรือไม่?” คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ชายสวมชุดเขียวไขว้เขว จูเฉียงเป็นแม่ทัพพิทักษ์เขตจิงจี เหตุใดพระชายาจึงล่วงรู้ถึงตัวตนของเขากัน?
“หลอดไฟใต้ความมืด?” จูเฉียงเป็นนักต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยสนใจนิทานหรือเรื่องเล่าใดๆ เขาจึงหันไปมองหลินเมิ้งหยาด้วยความสงสัย
เขาจับจ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับว่าหากนางไม่อธิบายให้เข้าใจ เขาจะไม่มีวันปล่อยนางไปอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าเคยเข้าไปในรังของเถาฮวาอู๋แล้ว หากนั่งรถม้า เวลาในการเดินทางเพียงสองเค่อ1เท่านั้น ต่อให้เป็นม้าของเทพเซียนก็คงมิอาจเดินทางไกลกว่านี้ได้”
รังของเถาฮวาอู๋?
ทุกคนในห้องอ่านหนังสือล้วนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก นี่เป็นความลับของเจียงหู!
“อีกอย่าง เถาฮวาอู๋มิใช่เพียงเรือลำหนึ่ง จากการคาดเดาของข้า มันน่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ที่ถูกสร้างเอาไว้ใต้น้ำ ส่วนเรื่องเล่าที่ว่าอยู่บนท่าเรือนั้นเป็นเพียงการตบตา”
ต่อให้ท่าเรือจะมั่นคงขนาดไหน ทว่าเมื่อถูกคลื่นซัดก็ยังคงสั่นไหวเล็กน้อยอยู่ดี
ประสาททางด้านการรับรู้ของหลินเมิ้งหยาได้รับการฝึกฝนจากอาจารย์ ดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าที่แห่งนั้นมิได้อยู่บนเรืออย่างแน่นอน
ขณะนี้นอกจากหลงเทียนอวี้และชายสวมใส่ชุดสีเขียวแล้ว ทุกคนล้วนสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด
“บนโลกนี้จะมีคนอาศัยอยู่ใต้น้ำได้อย่างไร? แม้จะอาศัยอยู่ได้ แต่ก็ต้องมีรูระบายอากาศด้วย!”
คิ้วขมวดเข้าหากัน ชายสวมชุดเขียวเอ่ยปัญหานี้ออกมา
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้ม
“ข้าเคยได้ยินมาว่าชาวเขาบางพื้นที่ได้ขุดเจาะพื้นดินเพื่อสร้างทางหลบหนีพวกโจร โดยอุโมงค์เหล่านี้มีมากถึงสิบแปดโค้ง แต่ละโค้งยังมีทางเชื่อมอีกด้วย อีกทั้งใต้ผืนดินยังมีรูระบายอากาศอีกมากมาย หรือเจ้าจะบอกว่าคนขุดดินเหล่านั้นจะไม่เคยออกมาเผยความลับเลยแม้แต่น้อย? ดังนั้นข้าจึงคิดว่ารังของเถาฮวาอู๋จะต้องนำแนวคิดเช่นนี้มาปรับใช้อย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยออกมาโดยไร้ซึ่งความตื่นเต้น ในสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อทำให้เหล่านักศึกษาสำนึกรักประเทศชาติ ดังนั้นอาจารย์จึงเปิดหนังสงครามสมัยโบราณให้ดู
เห็นได้ชัดว่าประเทศเรืองอำนาจในสมัยนี้ยังมิมีผู้ใดรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์เมื่อห้าพันปีก่อนเหมือนนาง
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ทุกคนในห้องอ่านหนังสือตกอยู่ในความว่างเปล่า
จะบอกว่านางพูดจาเพ้อเจ้อก็ได้ หรือจะบอกว่านางสติเลอะเลือนก็ดี
ทว่าคำพูดของพระชายากลับทำให้พวกเขาฉุกคิดขึ้นมาได้
“คือว่า…เพราะเหตุนี้เมื่อปีก่อนตอนที่ข้าพาทหารเข้าไล่ล่ามือลอบสังหารของเถาฮวาอู๋จนจนมุม เขาจึงกระโดดลงน้ำไปและไม่กลับขึ้นมาอีกเลย พวกเราส่งทหารหลายร้อยคนลงไปงมหา แต่กลับไม่พบสิ่งใด อีกทั้งยังมีคนเล่าขานกันว่าพวกภูตผีปีศาจมาชิงวิญญาณของมือลอบสังหารเถาฮวาอู๋ไป”
หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเรื่องเล่าขานเช่นนี้
อันที่จริงเรื่องภูตผีปีศาจล้วนเป็นเรื่องที่มนุษย์ปรุงแต่งขึ้น
แม้แต่คนที่ฉลาดเฉลียวอย่างหลงเทียนอวี้ยังอดที่จะสงสัยไม่ได้ในบางครั้ง
“พระชายาละเอียดรอบคอบมิเคยมองข้ามแม้เพียงเศษฝุ่น ป๋ายหลี่อู๋เฉินผู้นี้ขอน้อมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจ”
ชายสวมใส่ชุดสีเขียวโค้งคำนับ พร้อมทั้งจดจำชื่อของหลินเมิ้งหยาให้ขึ้นใจ
ชายคนนี้มีใบหน้าหล่อเหลาชวนมอง หากมองอย่างผิวเผินจะรู้สึกแค่ว่าเขาเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำอางคนหนึ่งเท่านั้น
ทว่าทุกคนภายในห้องล้วนเลื่อมใสในทัศนคติของเขาเป็นอย่างมาก ดูท่า…ชายคนนี้มิใช่คนธรรมดาอย่างที่คิด
“ท่านป๋ายหลี่เอ่ยชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงแต่มีวาสนาดี ดังนั้นจึงได้บังเอิญรู้เรื่องนี้เข้า”
“เพียงแค่กระหม่อมยังไม่เข้าใจ เคยได้ยินมาว่านายน้อยแห่งเถาฮวาอู๋จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต อีกทั้งยังมีฝีมือในการต่อสู้ พระชายาถูกลักพาตัวไปยังรังของเถาฮวาอู๋ แต่เพราะเหตุใดเขาจึงปล่อยพระชายากลับมาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ความเงียบเข้าครอบงำห้องอ่านหนังสือ หลินเมิ้งหยาเหลือบมองชายผู้ซึ่งเอ่ยคำพูดแทงใจออกมา รอยยิ้มยิ่งเย้ายวนและทรงเสน่ห์มากขึ้น
“เหตุเพราะ…ข้าคือคนสอดแนมของเถาฮวาอู๋ ที่กลับมาก็เพื่อทำลายท่านอ๋องของพวกเจ้า”
จ้องตาป๋ายหลี่ผู้นั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน แววตาไร้ซึ่งความกระวนกระวาย
บรรยากาศเริ่มกดดันมากขึ้น ทัศนคติที่มีต่อหลินเมิ้งหยาในเวลานี้ล้วนแฝงไว้ซึ่งความคลางแคลงใจ
ขอเพียงมีคนออกคำสั่ง ร่างของหลินเมิ้งหยาจะท่วมไปด้วยเลือดในทันที
“พระชายาได้โปรดอธิบาย อู๋เฉินสงสัยมากเหลือเกิน”
น้ำเสียงของป๋ายหลี่อู๋เฉินนุ่มนวล ทว่ากลับซ่อนความอำมหิตเอาไว้
แม่ทัพที่ฉลาดหลักแหลมมักจะระมัดระวังทุกเรื่องเกินกว่าเหตุเสมอ อีกทั้งยังไม่วันเชื่อใจใครง่ายๆ
หลินเมิ้งหยาเข้าใจ หากไม่สามารถเอาชนะป๋ายหลี่อู๋เฉินคนนี้ได้ หลงเทียนอวี้ก็คงไม่เชื่อนางเช่นกัน
การขายชีวิตให้กับเจ้านายที่ไม่เชื่อใจตนเองก็มิต่างอะไรกับการเต้นรำบนปลายมีด หากไม่ระวังให้ดีก็จะถูกแทงตายเอาได้
“เพราะว่าข้ากับนายน้อยชิงหูแห่งเถาฮวาอู๋ได้สร้างเงื่อนไขต่อกันเอาไว้ ส่วนเงื่อนไขเป็นเช่นไรนั้น นอกจากท่านอ๋องและป๋ายหลี่อู๋เฉินแล้ว ข้ามิอาจป่าวประกาศออกมาได้!”
ชั่วอึดใจต่อมา นางลากป๋ายหลี่อู๋เฉินและหลงเทียนอวี้ขึ้นมายังจุดสูงสุด ขณะเดียวกันนางได้สร้างความสัมพันธ์อันซับซ้อนให้กับป๋ายหลี่อู๋เฉินกับคนอื่นๆ อย่างแยบยล
นัยน์ตาของป๋ายหลี่อู๋เฉินสั่นไหว ผู้หญิงคนนี้มีทักษะขั้นสูงในการควบคุมหัวใจผู้อื่น
“เหตุใดจึงไม่สามารถบอกพวกเราได้? แม้ข้าจูเฉียงจะเป็นคนหยาบคาย แต่ถึงอย่างนั้นก็จงรักภักดีต่อท่านอ๋องเสมอมา ข้าจูเฉียงเป็นคนแรกที่ไม่อาจรับได้กับสิ่งที่พระชายารับสั่งไปเมื่อครู่”
จูเฉียงส่งเสียงตะโกนออกมา เขามิรู้เลยว่าคำพูดของตนเองกำลังทำให้ป๋ายหลี่อู๋เฉินพ่ายแพ้
หลินเมิ้งหยาทำเพียงหัวเราะ ก่อนจะราดน้ำมันเข้ากองไฟ
“พูดออกมาได้หรือไม่ ขอให้ท่านป๋ายหลี่เป็นผู้ตัดสินใจก็แล้วกัน หากท่านป๋ายหลี่เอ่ยว่าได้ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะพูดออกมาตอนนี้เสียเลย”
แอบวางหลุมพรางให้กับป๋ายหลี่อู๋เฉิน หลินเมิ้งหยากำลังสร้างความยุ่งยากที่ไม่ใหญ่หรือไม่เล็กจนเกินไปขึ้นมา
หากป๋ายหลี่พูดว่าได้ เช่นนั้นความลับก็จะถูกแพร่งพรายออกไป เมื่อถึงเวลานั้นสถานการณ์อาจจะไม่เอื้ออำนวยต่อพวกเขา
หากพูดว่าไม่ได้ เช่นนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเขามิได้เชื่อใจทุกคน
ผู้หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
“ข้าน้อยไร้ความสามารถ ทั้งหมดขอให้ท่านอ๋องเป็นผู้ตัดสินใจ”
ป๋ายหลี่อู๋เฉินอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะขมขื่นในใจ เฮ้อ มิรู้ว่าจะต้องควักกระเป๋าตัวเองจ่ายเงินค่าเหล้ามากมายขนาดไหนจึงจะปลอบใจเหล่าพี่น้องของเขาได้
“กำแพงมีหูประตูมีช่อง”
หลงเทียนอวี้ที่นั่งเงียบตลอดเวลาเอ่ยเพียงเท่านี้ ทว่าทุกคนกลับเงียบกริบมิส่งเสียงคัดค้าน
หลินเมิ้งหยานั่งประจำตำแหน่งของตนเอง จิบชาพลางก้มหน้าสะกดกลั้นความภาคภูมิใจของตนเอง
คิดจะต่อกรกับนาง? รอชาติหน้าก็แล้วกัน!
ทุกคนไม่มีเรื่องอื่นใดปรึกษากันนอกจากเรื่องวัวหายล้อมคอก หลินเมิ้งหยาทำเพียงนั่งฟังเงียบๆ ไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา
ดังนั้นเมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน ทุกคนจึงพากันแยกย้ายกลับไป ภายในห้องอ่านหนังสือเหลือเพียงป๋ายหลี่อู๋เฉิน หลงเทียนอวี้และหลินเมิ้งหยาที่กำลังนั่งด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“พวกเจ้าทั้งสองตามข้ามา” สายตาของหลงเทียนอวี้ตกลงบนร่างของทั้งคู่ ลุกขึ้น เปิดประตูห้องลับในห้องอ่านหนังสือ
หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นเดินตามหลังทั้งสองเข้าไปอย่างเชื่อฟัง
ห้องลับไม่ใหญ่ การตกแต่งมิต่างอะไรจากห้องอ่านหนังสือ ชั้นวางหนังสือไม้สีแดงมีจดหมายวางอยู่เป็นจำนวนมาก
เมื่อเทียบกับห้องอ่านหนังสือที่ถูกตกแต่งเพื่อเป็นการตบตาแล้ว
ที่นี่ดูจะเป็นห้องทำงานที่แท้จริงของหลงเทียนอวี้
“พูดมาซิ เจ้าทำข้อตกลงอันใดกับชิงหู?”
หลงเทียนอวี้เอ่ยเพียงสั้นๆ แต่ได้ใจความ ใช่ว่าเขาจะมองการปะทะกันระหว่างหลินเมิ้งหยาและป๋ายหลี่อู๋เฉินไม่ออก
แม้ภายนอกอู๋เฉินจะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ทว่าในใจกลับหยิ่งผยองและดื้อรั้น
ควรจะมีใครสักคนกำราบเขาเอาไว้
“ร่างกายของชิงหูโดนยาพิษ บังเอิญหม่อมฉันสามารถถอนพิษของเขาได้ ดังนั้นหม่อมฉันจึงทำสัญญาให้เขาปกป้องคุ้มครองชีวิตหม่อมฉันเป็นเวลาสามปีเพื่อแลกกับชื่อยาถอนพิษเหล่านั้น นี่คือเงื่อนไขที่หม่อมฉันได้ทำการตกลงกับเขาเอาไว้ หากพระองค์ไม่เชื่อ หม่อมฉันสามารถตามตัวเขามายืนยันได้”
หลงเทียนอวี้และป๋ายหลี่อู๋เฉินสบตากัน พวกเขาตามล่าเถาฮวาอู๋มานานหลายปี แต่กลับไม่เคยได้ยินข่าวลือนี้มาก่อนเลย
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกท่านไม่มีทางเชื่อ อีกสามเดือนชิงหูจะมาคอยปกป้องข้างกายข้า เมื่อถึงเวลานั้นพวกท่านอย่าตื่นตระหนกก็เพียงพอแล้ว”
มือลอบสังหารอันดับหนึ่งของเจียงหูทำสัญญาปกป้องคุ้มครองหญิงสาวคนหนึ่งเป็นเวลาสามปี นี่มันเป็นเรื่องเหลวไหลเพ้อเจ้อที่สุด!
หลินเมิ้งหยาแอบยิ้ม เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะต้องตกใจจนอ้าปากค้าง
“ท่านอ๋อง หรือว่าเมื่อถึงตอนนั้นพวกเรา…”
นัยน์ตาของป๋ายหลี่อู๋เฉินเผยให้เห็นความพยาบาท เขาอยากอาศัยโอกาสนี้ในการจับกุมตัวชิงหู
ทว่าหลงเทียนอวี้กลับส่ายหน้า เขามีแผนการใหญ่สำหรับชิงหูแล้ว
“ไม่ อู๋เฉิน เจ้าออกไปก่อนเถิด”
ป๋ายหลี่อู๋เฉินยังอยากโน้มน้าวต่อไป แต่เขาเหลือบไปเห็นพระชายาที่เคยเอาชนะเขามาแล้วกำลังยืนอยู่ข้างๆ
เขารีบหมุนตัวแล้วออกจากห้องลับไป
ภายในห้องลับจึงเหลือเพียงหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้
“เจ้าคงทำความเข้าใจในตัวลูกน้องของข้าแล้วใช่หรือไม่?”
“หม่อมฉันได้มองเพียงผิวเผินเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นหม่อมฉันกลับมองออกถึงปัญหาบางอย่าง ท่านอ๋อง แม้ว่ากลุ่มคนของท่านจะแข็งแกร่งและมีความสามารถ แต่กลับมิอาจพึ่งพาได้”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยตามความจริง อีกทั้งยังพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ลองพูดมาสิ” หลงเทียนอวี้กลับไม่โกรธ แต่เขามองหลินเมิ้งหยาด้วยความสนใจและคาดหวังว่านางจะพูดอะไรบางอย่างที่เหมือนกับคนอื่นออกมา
“แม่ทัพของพระองค์แต่ละคนมีทักษะการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา แต่กลับไร้ซึ่งกลยุทธ์ จือเจียง2 ฉลาดหลักแหลม จิตใจดี ทว่าขาดความตรงไปตรงมาและความใจกว้าง อีกทั้งยังเชื่อมั่นในตนเองสูง ใจมิได้กว้างมากพอจะรับฟัง”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงนุ่มนวล แต่กลับพูดสิ่งที่หลงเทียนอวี้เป็นห่วงที่สุดออกมาทั้งหมด
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่คนเราไม่อาจสมบูรณ์เพียบพร้อมไปได้ทั้งหมด อีกทั้งคนเหล่านี้ยังเป็นคนมีพรสวรรค์
หากเขาละทิ้งไปไม่เก็บเอาไว้ใช้งาน มันก็น่าเสียดาย
“ท่านอ๋องมิต้องเป็นกังวล อันที่จริงการทำให้พวกเขาพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นนั้นช่างง่ายดาย ท่านเพียงแค่ต้องสอนพวกเขาตามความถนัดเท่านั้น ให้พวกเขาได้ฝึกฝนในสิ่งที่เหมาะสมกันตนเอง แลอย่าได้เห็นพวกเขาเป็นเพียงแขกของตำหนักเท่านั้น”
สอนตามความถนัด! หลงเทียนอวี้เองก็มีความคิดเช่นนี้ แต่เพราะยังมีเรื่องให้ต้องกังวล ดังนั้นจึงยังไม่ได้ทำการฝึกฝนพวกเขาก็เท่านั้น
วันนี้เมื่อได้รับคำตอบจากปากของหญิงสาวตรงหน้า เขาเองก็รู้เสมือนได้รับความเห็นชอบในวิธีการแก้ไขปัญหา
****************************
1 1 เค่อเท่ากับ 15 นาที
2 จือเจียง เปรียบได้กับมันสมองของกองทัพ