ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 4 บทที่ 105 เสือ
ภายในกระโจมงานเลี้ยง หลงเทียนอวี้รู้สึกไม่สบายใจ
เหตุเพราะอยู่ด้านนอก ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องแยกห้องนอนกับหลินเมิ้งหยา ฉะนั้นเย่จึงถูกสั่งให้เฝ้าจวน
หาข้ออ้าง หลงเทียนอวี้กลับมายังกระโจมที่พักชั่วคราว ทว่าที่นั่นกลับมีเพียงสาวใช้สี่คน
“นายหญิงของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน?”
คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น กวาดสายตาทั่วทั้งกระโจม สาวใช้ทั้งสี่ตกตะลึง สัญญาณไม่ดีแล่นพล่านในหัวใจของหลงเทียนอวี้
“นายหญิงออกไปข้างนอกคนเดียวเจ้าค่ะ”
ป๋ายจีที่มีท่าทีสงบนิ่งที่สุดรู้สึกได้ว่าเหตุการณ์ผิดปกติ รวบรวมความกล้าเอ่ยตอบหลงเทียนอวี้
“ออกไปตั้งแต่เมื่อไร? ไปกับใคร?”
มันผิดปกติไป ที่นี่ไม่ใช่จวน หลินเมิ้งหยาไม่มีทางออกไปเดินเล่นโดยไม่พาสาวใช้ไปแม้แต่คนเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังอยู่กลางป่า ด้านนอกคือป่าหนาทึบ นางจะหายไปที่ไหนได้
“พวกเจ้ารีบออกไปตามหาพระชายาเดี๋ยวนี้ จะต้องหานางให้เจอ!”
หลงเทียนอวี้รู้สึกว่าเรื่องนี้มีความผิดปกติ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งไท่จื่อและหูลู่หนานกลับหายหัวไปจากงานเลี้ยง โดยไม่บอกไม่กล่าว
หากพวกเขาทั้งคู่เจอหลินเมิ้งหยาเข้าและทำมิดีมิร้ายนางขึ้นมาจะทำอย่างไร?
“พวกเจ้าจะรีบร้อนไปไหนกัน?”
หลงเทียนอวี้เองก็คิดจะออกไปตามหา แต่เสียงหวานใสกลับดังขึ้นขัดความคิดของเขา
หลินเมิ้งหยาแหวกผ้าม่านออก ก่อนจะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
“พระชายา! พระชายา! ท่านหายไปไหนมา พวกเราเป็นห่วงท่านมากเลย”
สาวใช้ทั้งสี่กรูกันเข้าไปกอดนาง น้ำเสียงอ่อนหวานสั่นเครือ
“ข้า? ข้าแค่ออกไปเดินเล่น ชิงหูไปเป็นเพื่อนข้า ไม่มีอะไรหรอก”
เมื่อออกจากกระโจมเล็ก หลินเมิ้งหยารีบกลับมายังกระโจมของตนเองทันที
ทั้งสามคนถูกนางทำให้ตื่นตระหนกได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องได้สติอย่างแน่นอน แม้คนของนางจะเก่งกาจมากสักเพียงไหน แต่ก็คงไม่อาจรับมือกับคนของพวกเขาทั้งหมดได้
ดังนั้น นางจึงรีบถอนตัวออกมา
“เจ้าไปไหนมา?”
นับตั้งแต่ที่นางเข้ามาภายใน หัวใจของหลงเทียนอวี้จึงสงบลง
เขาหยุดยืนตรงหน้า มองดูนางที่กำลังปลอบโยนทุกคน เขาเป็นเพียงคนเดียวที่นางมองข้าม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ ความขุ่นเคืองเล็กน้อยพลันปรากฏขึ้นในหัวใจ
“หม่อมฉันเพียงแค่ออกไปเดินเล่นเท่านั้นเพคะ ชิงหูเป็นพยานให้หม่อมฉันได้ ท่านอ๋อง เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ งานเลี้ยงจบแล้วหรือเพคะ?”
ตกใจเล็กน้อย เหตุใดนางจึงได้เจอหลงเทียนอวี้ที่นี่ ความจริงงานเลี้ยงน่าจะยังไม่จบ
“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้หลงเทียนอวี้ไม่สบอารมณ์
ทั้งที่เขาเป็นห่วงนาง จึงละทิ้งทุกอย่างแล้วรีบกลับมาที่กระโจมหลังนี้
แต่ดูเหมือนเขาจะกังวลโดยไร้ประโยชน์เสียแล้ว
ความขุ่นเคืองพลันพวยพุ่งขึ้นในใจของเขา หมุนตัวแล้วเดินออกจากกระโจมไป
ทิ้งหลินเมิ้งหยาที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาไว้ภายใน
“นายหญิงก็จริงๆ เลย ท่านไม่รู้หรอกว่าท่านอ๋องร้อนใจขนาดไหนที่หาท่านไม่เจอ เหตุใดจึงแสดงท่าทีเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”
ป๋ายจื่อร้องทวงความยุติธรรมแทนหลงเทียนอวี้ จ้องหน้านายหญิงที่ทำอะไรไม่ถูก
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร เขา…ช่างเถิด อีกเดี๋ยวข้าค่อยไปขอโทษเขาแล้วกัน พวกเจ้าสี่คนอยู่ที่นี่ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นใช่หรือไม่?”
ตอนที่ถูกจับตัวไป สิ่งเดียวที่นางกังวลคือกลัวว่าสาวใช้ทั้งสี่จะถูกรังแก
แต่โชคดีที่บริเวณรอบๆ มีองครักษ์อยู่มากมาย อีกทั้งยังได้รับการปกป้องจากยอดฝีมืออย่างป๋ายซู
หลังจากได้เห็นว่าทุกคนล้วนสบายดี หลินเมิ้งหยาจึงวางใจ
“นายหญิงวางใจเถิดเจ้าค่ะ หากป๋ายซูยังอยู่ จะไม่มีใครหน้าไหนทำร้ายพวกเราได้”
หลังจากได้รู้จักกัน แม้เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ป๋ายซูกลับมองความคิดของหลินเมิ้งหยาออก
แม้นางจะเป็นพระชายา แต่นางกลับให้ความสำคัญพวกนางเสมือนมิตรสหาย
ดังนั้นเพื่อพระชายาแล้ว ป๋ายซูยินยอมพลีกายถวายชีวิตเพื่อปกป้องคนเหล่านี้
“ดี เช่นนั้นข้าก็วางใจ ป๋ายซ่าวและป๋ายจื่อจงตามข้ากลับไปในงานเลี้ยง”
เกรงว่าการหายตัวออกจากงานของนางจะทำให้ผู้อื่นสงสัย
ดังนั้นไท่จื่อและหูลู่หนานเองก็กลับเข้าไปในงานแล้วเช่นเดียวกัน แล้วนางจะพลาดโอกาสเห็นอะไรสนุกๆ ได้อย่างไร
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป ผลปรากฏว่าทุกคนล้วนกลับมาแล้ว เมื่อหลินเมิ้งหยากลับเข้าไปในงานอีกครั้ง สายตาหลายคู่จับจ้องมาทางนาง
“ท่านอ๋อง ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเพคะ”
หลินเมิ้งหยานั่งลงข้างหลงเทียนอวี้ กระซิบเสียงแผ่ว
เพียงประโยคเดียว ใบหน้าที่เคยเย็นชาพลันอ่อนโยนลง
หลังจากเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง อยู่ๆ เขาเอ่ยตอบ
“ไม่เป็นไร”
หัวใจอบอุ่น ทว่าหลินเมิ้งหยากลับทำเพียงยกแก้วเหล้าขึ้นมาเพื่อปิดบังรอยยิ้มบนใบหน้าของตนเองเอาไว้
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป สายตาของไท่จื่อและหูลู่หนานจ้องมองทางหลินเมิ้งหยา ราวกับต้องการจะฉีกร่างของนางออกเป็นชิ้น ๆ
“ไท่จื่ออย่าทรงกริ้วเลยเพคะ หม่อมฉันผิดเองที่ทำงานไม่รอบคอบ ไท่จื่อได้โปรดลงโทษหม่อมฉันด้วย”
ผู้คนที่อยู่ด้านข้างล้วนเป็นคนสนิทของตนเอง ดังนั้นทั้งสองจึงพูดคุยกันได้โดยมิต้องกังวล
ชายารองตู๋กูคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะเปลี่ยนไปเช่นนี้
นางรู้จักอารมณ์ของไท่จื่อดี คราวนี้ไท่จื่อไม่เพียงไม่ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ แต่ยังถูกหลินเมิ้งหยาพลิกเหตุการณ์ แล้วแบบนี้เขาจะไม่โมโหได้อย่างไร
“เรื่องนี้คงมิอาจโทษเจ้าได้ แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะฉลาดมากถึงเพียงนี้”
ไท่จื่อบีบแก้วเหล้าจนเกือบแตก
คิดไม่ถึงเลยว่าจะตกเป็นลูกไก่ในกำมือของสตรีหนึ่ง อัปยศอดสูยิ่งนัก!
ยิ่งไปกว่านั้น สตรีคนนั้นยังเป็นคนของเจ้าสารเลวหลงเทียนอวี้
เขาจะล้างแค้นในครั้งนี้ให้จงได้
“เพคะ ขอบพระทัยไท่จื่อที่ให้อภัย แต่ว่าองครักษ์ที่เขาหลิงจูแห่งนี้มิได้เข้มงวดเหมือนอย่างเมืองหลวง ไท่จื่อได้โปรดวางพระทัย ต่อไปนี้หม่อมฉันจะระวังมากขึ้นเป็นสองเท่า จะไม่มีวันปล่อยให้นางหนีไปได้อีก”
อันที่จริงชายารองตู๋กูมิได้มีความแค้นส่วนตัวกับหลินเมิ้งหยา
ทว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้ ความรักที่ไท่จื่อมีให้กับนางกลับเปลี่ยนไป
ที่จวนมีสนมมากมาย หากนางต้องการเป็นที่รัก เกรงว่าจะต้องออกแรงสักเล็กน้อย
ดังนั้น หลินเมิ้งหยาจึงกลายเป็นผู้ถูกเกลียดชัง
“ไท่จื่อ ที่ซีฟานของพวกเรา วีรบุรุษที่แท้จริงจะต้องจับเสือและยิงหมาป่าให้ได้ มิรู้ว่าบนเขาหลิงจูมีเสือและหมาป่าหรือไม่?”
ฮ่องเต้หมิงกลับมีท่าทางอารมณ์ดีอย่างมาก ชายที่สามารถขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งซีฟานได้ ไม่เพียงต้องมีความสามารถ แต่ยังต้องมีความกล้าหาญอีกด้วย
เคยได้ยินมาว่าสมัยเขายังหนุ่ม เขาสามารถจับหมาป่าด้วยมือเปล่าได้
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองฮ่องเต้หมิง บุรุษผู้นี้อันตรายยิ่งนัก
“เรื่องนั้น…เขาหลิงจูอยู่ในเขตการปกครองของราชวงศ์ หากเลี้ยงสัตว์ร้ายเอาไว้ เกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อราษฎร์”
สัตว์ส่วนมากที่มีในเขตการปกครองของราชวงศ์คือเก้ง กวาง
สารภาพตามตรงว่าเหตุเพราะเกรงว่าองค์ชายจะได้รับบาดเจ็บตอนออกล่าสัตว์
ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีสัตว์ร้าย
ฮ่องเต้หมิงที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้นจึงส่งเสียงหัวเราะดังลั่น
“ช่วยไม่ได้ คนหนุ่มสาวต้องรู้จักความลำบากเสียบ้างจึงจะเติบโต เอาเช่นนี้แล้วกัน เปิ่นหวังนำเสือตัวหนึ่งมาจากซีฟาน เช่นนั้นนำมันมาเป็นสีสันในการออกล่าสัตว์ในครั้งนี้เถิด”
ฮ่องเต้หมิงโบกมือ ชายร่างกำยำสี่คนเข้าไปยกกรงเหล็กขนาดใหญ่เข้ามา
หลินเมิ้งหยาจ้องเขม็ง เสือตัวนั้นแข็งแรงมาก ทั้งที่อยู่ในกรง แต่กลับส่งเสียงคำรามน่าเกรงขามออกมา
เสือตัวนี้ใหญ่กว่าชายร่างกำยำทั้งสี่ แม้จะถูกขังไว้ในกรง แต่มันยังคงหยิ่งทะนงมิยอมสยบต่อผู้ใด
ขนของมันเป็นสีขาวทั้งตัว มิมีสีอื่นใดปะปน
เป็นเสือที่สวยมาก หลินเมิ้งหยานึกเสียดายในใจ
ดังคำที่เอ่ยว่าพอเสือออกจากป่าก็ถูกสุนัขรังแก เหมาะกับสถานการณ์ในเวลานี้อย่างยิ่ง
“คือ…คือว่า มันคงไม่ดีเท่าไร”
ไท่จื่อจ้องมองเสือตัวนั้นด้วยท่าทางลังเล
ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเอาชนะเสือตัวนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เสือแห่งซีฟานมิต่างอะไรจากเจ้าแห่งป่า มันมิเคยจำนนต่อสิ่งใด
“ไม่เป็นไรหรอก แม้เสือตัวนี้จะร้ายกาจ แต่ในสายตาของวีรบุรุษแห่งซีฟาน มันเป็นเพียงแค่สัตว์ร้ายตัวหนึ่งเท่านั้น”
คำพูดของฮ่องเต้หมิงเจือไว้ซึ่งการยั่วยุ สุดท้ายไท่จื่อต้องยอมจำนวน ฝืนใจพยักหน้าลง
สายตาของหลินเมิ้งหยายังคงหยุดอยู่ที่เสือตนนั้น หลงเทียนอวี้รู้สึกประหลาดใจ
นางคงมิได้คิดว่าจะจับเสือได้ง่ายๆ หรอกกระมัง
“ท่านอ๋อง หากต้องเผชิญหน้ากับมัน ท่านจะปล่อยมันไปได้หรือไม่?”
เหนือความคาดหมาย ประโยคแรกที่หลินเมิ้งหยาเอื้อนเอ่ยคือการบอกให้เขาปล่อยเสือขาวตัวนี้ไป
“แต่คนที่คิดจะฆ่ามันมิได้มีเพียงข้าคนเดียว”
หลงเทียนอวี้ไม่คิดอยากเข้าร่วมการล่าอยู่แล้ว เขาเพียงแต่ทำไปตามน้ำเท่านั้น
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับหันหน้ามา ดวงตาคู่สวยจ้องเขาเขม็ง
“เสือตัวนี้กำลังท้อง ถ้าหากมันตาย อีกหนึ่งชีวิตในท้องมันก็จะตายไปด้วย”
หลินเมิ้งหยาสังเกตอยู่นาน แม้รูปร่างของเสือตัวนี้จะสง่าผ่าเผย ทว่าท้องของมันกลับมิได้มีสัดส่วนอย่างที่ควรจะเป็น
ไม่ว่ามันจะคำรามเสียงดังขนาดไหน แต่มันมักจะระวังส่วนท้องของตนเอง
หลินเมิ้งหยาเดา เสือตัวนี้จะต้องท้องอย่างแน่นอน
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
หลงเทียนอวี้หันไปมอง เขารู้สึกเพียงว่าเสือตัวนี้เพียงแค่ตัวใหญ่มากเท่านั้น
ดูเหมือนคำพูดของหลินเมิ้งหยาจะเป็นความจริง
“หม่อมฉันรู้ ถ้าหากหม่อมฉันบอกให้ฮ่องเต้หมิงปล่อยมันไปในตอนนี้ มันคงไม่สมเหตุสมผลเท่าไร แต่หม่อมฉันหวังเหลือเกินว่ามันจะสามารถอยู่รอดปลอดภัยจนให้กำเนิดลูกน้อยของมันได้”
หลินเมิ้งหยารู้ ถ้าหากเสือตัวนี้อยู่ต่อหน้าราษฎร์หรือแม้กระทั่งคนฆ่าสัตว์ พวกเขาจะไม่ทำร้ายสัตว์ที่กำลังตั้งท้องอย่างแน่นอน
นี่คือกฎการอยู่ร่วมกันที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดไหน หากมันต้องการขยายเผ่าพันธุ์ พวกเราจำเป็นต้องเคารพมันด้วยเช่นกัน
หลินเมิ้งหยามิใช่กระต่ายน้อยใสซื่อ แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกสงสารเสือท้องแก่ตัวนี้
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะพยายาม”