ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 6 บทที่ 168 กลอุบายในกลอุบาย
ท่ามกลางการคุกเข่าของทุกคน ฮองเฮาที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์อันแสนสง่างามนำพาเอาชัยชนะออกจากตำหนักหลิวซินไป
คนนอกล้วนตามหลังฮองเฮาออกไปจากที่แห่งนี้
งานเลี้ยงที่เคยคึกครื้นพลันเย็นยะเยือก
“เอาล่ะลุกขึ้นเถิด อวี้เอ๋อร์ หยาเอ๋อร์มากับข้า จิ่นเยว่ดูแลหรูฉินให้ดี ห้ามมิให้นางออกไปที่ใด”
พระสนมเต๋อเฟยผู้ฉลาดเฉลียวพอจะเดาเหตุการณ์ทั้งหมดออกแล้ว
ปรายตามองหลานสาวของตนเองด้วยความผิดหวัง สะท้อนใจเล็กน้อย
นางเห็นธนบัตรแผ่นนั้นอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงรู้ได้ทันทีเลยว่านั่นคือเงินที่นางมอบให้กับหรูฉินเพราะความเอ็นดู เพื่อให้นางเก็บเอาไว้ใช้เป็นเงินส่วนตัว
แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะนำสิ่งที่ตนเองมอบให้มาทำร้ายเมิ้งหยา
ยิ่งไปกว่านั้น ด็กคนนี้ยังทำเรื่องโง่เขลา ต่อจากนี้ไปบ้านสกุลเจียงจะต้องชดใช้แทนเจียงหรูฉิน
เดินตามหลังพระสนมเต๋อเฟยเข้าไปยังห้องหลักในตำหนักหลิวซิน
ป๋ายจื่อที่กำลังตื่นตระหนกรีบเดินตามหลังหลินเมิ้งหยาไป
นางมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกทั้งหมด
เมื่อรู้ว่าคุณหนูของตนเองเกือบเอาตัวไม่รอด นางทำได้เพียงมองหลินเมิ้งหยาทั้งน้ำตา
“เจ้าออกไปหาพวกป๋ายจีก่อน พวกเราค่อยคุยกันทีหลัง”
นางปลอบโยนเด็กสาวที่กำลังหวาดผวา ป๋ายจื่อก้มๆ เงยๆ มองหลินเมิ้งหยา สุดท้ายก็เดินออกไปแต่โดยดี
พระสนมเต๋อเฟยนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน มองดูหลงเทียนอวี้สลับกับหลินเมิ้งหยา
เนิ่นนานกว่านางจะถอนหายใจออกมา “ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรพาหรูฉินเข้ามาที่จวน”
เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าเจียงหรูฉินมีความคิดเช่นไร
หรูฉินมีใจให้กับอวี้เอ๋อร์ตั้งแต่เด็ก
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หรูฉินเป็นเพียงลูกของภรรยาอนุ นางไม่เหมาะที่จะเป็นชายาเอกของอวี้เอ๋อร์
เมื่อก่อนนางคิดมาเสมอว่าทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน อนาคตอาจได้เป็นชายารองหรือตำแหน่งอื่นๆ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น
“หมู่เฟยอย่าโทษตัวเองไปเลยเพคะ บางทีหรูฉินอาจถูกผู้อื่นยุแยงก็เป็นได้”
แม้เรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ไปแล้วแต่หลินเมิ้งหยายังแก้ตัวแทนเจียงหรูฉิน
พระสนมเต๋อเฟยรู้สึกว่าลูกสะใภ้คนนี้อ่อนโยนและใจกว้างมากขึ้นทุกวัน
“เจ้านี่นะ เหตุใดจึงใจดีเช่นนี้ ระวังจะถูกคนอื่นเล่นงานเอาได้”
ใจดี? หลินเมิ้งหยากับหลงเทียนอวี้สบตากัน ก่อนจะเงียบไป
หากพระสนมเต๋อเฟยล่วงรู้ว่านางได้ทำสิ่งใดลับหลังไปบ้าง เกรงว่าสองคำนี้จะไม่ออกมาจากปากของนางเลย
“อวี้เอ๋อร์ ไท่จื่อก่อเหตุอันใดที่ตำหนักของเจ้าหรือไม่?”
แปลกที่วันนี้ไท่จื่อมิได้ระเบิดอารมณ์หรือแสดงอาการใดๆ ออกมาเลย
แม้แต่หลินเมิ้งหยายังแปลกใจ
หรือไท่จื่อจะเปลี่ยนไปแล้ว?
“ไท่จื่อทำเพียงดื่มเหล้า พูดคุยและเล่นทายปริศนาพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งยังมิได้ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย”
คำพูดของหลงเทียนอวี้ทำให้พระสนมเต๋อเฟยฉุกคิดขึ้นมา
“เกรงว่าไท่จื่อน่าจะรู้ความมากขึ้น หรือไม่…ฮองเฮาก็น่าจะสั่งให้ไท่จื่อไม่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าคราวนี้พวกเราจะแพ้แล้ว”
ฟาดฟันกับฮองเฮามานานหลายปี ย่อมมีแพ้มีชนะ
แต่หากครั้งนี้พระสนมเต๋อเฟยคิดจะปกป้องตัวเอง นั่นเท่ากับว่านางต้องเสียสละญาติมิตรของตนเอง
ยกยิ้มขมขื่นพลางส่ายหน้า นางผิดเอง หากมิใช่เพราะนางเอ็นดูเจียงหรูฉินมาก
นางก็คงไม่เปลี่ยนไปเช่นนี้ เรื่องนี้คงมิอาจโทษคนอื่นได้
“ไม่เพคะ พวกเรายังไม่แพ้”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยออกมา พระสนมเต๋อเฟยกับหลงเทียนอวี้จึงหันไปมองนาง
“ซิ่งเอ๋อร์คนนั้นจะต้องตายก่อนไปถึงคุกอย่างแน่นอน นางจะตายในขณะที่อยู่ในการดูแลของฮองเฮา ฉะนั้น เรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา พอถึงเวลานั้น เรื่องเหล่านี้ก็จะจบสิ้น”
อันที่จริงหลินเมิ้งหยาแสดงละครมาโดยตลอด
ทั้งท่าทางหวาดผวา พ่ายแพ้ ลังเลและสงบนิ่ง ทั้งหมดล้วนเป็นการแสดงของนางที่ต้องการทำให้ฮองเฮาและไท่จื่อดูทั้งสิ้น
จนกระทั่งตอนนี้ นางจึงกลับมาเป็นเหมือนเดิม
นางยิ้มบางๆ
หัวใจของหลงเทียนอวี้สั่นไหวแผ่วเบา
เหตุใดนางจึงมักทำให้ใครต่อใครประหลาดใจกันนะ
“หยาเอ๋อร์ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ เจ้ามั่นใจอย่างนั้นหรือ?”
ใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟยกลับไม่สนุกตามไปด้วย นางรู้ดีที่สุดว่าฮองเฮาเป็นคนอย่างไร
อุตส่าห์จับคนมาได้แล้ว นางไม่มีวันปล่อยไปง่ายๆ
“หมู่เฟยโปรดวางพระทัย อีกไม่นานซิ่งเอ๋อร์จะต้องหมดลมหายใจอย่างแน่นอน หมู่เฟยเพียงแต่ต้องแสดงละครอีกสักสองสามวันเท่านั้นเพคะ อย่ากังวลพระทัยไปเลย”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยอย่างมั่นใจ
“หมู่เฟย เมิ้งหยาเป็นคนจัดการด้วยตนเอง เชื่อใจนางสักครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ไม่มีเหตุผล แต่เพราะเป็นคำพูดของหลินเมิ้งหยา ดังนั้นหลงเทียนอวี้จึงเชื่อมั่นในคำพูดของนาง
“ได้ ข้าจะเชื่อพวกเจ้าก่อนแล้วกัน เฮ้อ ข้าแก่แล้ว ควรจะสละตำแหน่งให้คนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าเสียที”
เห็นลูกชายเชื่อใจลูกสะใภ้มากถึงเพียงนี้ พระสนมเต๋อเฟยอดที่จะรู้สึกหวงนิดๆ ไม่ได้
แต่เพราะนางเอ็นดูหลินเมิ้งหยาเปรียบเสมือนลูกสาวคนหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นหลินเมิ้งหยายังเป็นเด็กดี ดังนั้นความหึงหวงจึงจางหายไป
“หากไม่มีหมู่เฟยคอยชี้แนะ พวกเราที่เป็นเพียงเด็กน้อยจะเก่งกาจเช่นนี้ได้อย่างไรเล่าเพคะ”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยปลอบโยนด้วยวาจาอ่อนหวาน อันที่จริงหากเทียบกับพระสนมเต๋อเฟยแล้ว นางยังต่างชั้นกับพระสนมเต๋อเฟยอยู่มาก
ขนาดเพิ่งจะปะทะกับฮองเฮาเพียงไม่กี่ครั้ง นางยังอดที่จะรู้สึกตื่นตระหนกไม่ได้
การที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังมาอย่างเนิ่นนานโดยไม่ถูกโค่นล้มลง แสดงให้เห็นว่าฝีมือของพระสนมเต๋อเฟยไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
“เด็กคนนี้ปากหวานเสียจริง หากเจ้าคิดเช่นนั้นจริงก็รีบคลอดลูกชายหรือไม่ก็ลูกสาวให้ข้าได้แล้ว”
นี่เป็นครั้งแรกที่พระสนมเต๋อเฟยเร่งเร้าให้หลินเมิ้งหยากับหลงเทียนอวี้มีลูก
นางอึดอัดใจเล็กน้อย…มีลูกอย่างนั้นหรือ? นางไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุ จู่ๆ ใบหน้าของนางก็ค่อยๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อ
หลงเทียนอวี้เริ่มครุ่นคิดในใจ
หลินเมิ้งหยาคือผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขาอยากจะมีลูกด้วย
แต่เพราะเหตุการณ์ในตอนนี้ยังไม่สะดวกนัก หากคลอดลูกออกมาก็รังแต่จะทำให้ลูกต้องตกอยู่ในอันตราย
“หมู่เฟย ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่เหมาะในการมีลูก ฮองเฮายังคงจับตามองอยู่ตลอดเวลา หากมีทายาทในเวลานี้ เกรงว่าจะตกเป็นเป้าของพวกเขาเอาได้พ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของหลงเทียนอวี้ทำให้หัวใจของหลินเมิ้งหยาสั่นสะท้าน
นางผินหน้ามองชายหนุ่มรูปงาม
ที่แท้เขาก็ไม่เคยคิดอยากให้นางเป็นชายาอวี้อย่างแท้จริง
อันที่จริงนางเองก็ไม่อยากมีลูกให้กับหลงเทียนอวี้
แต่เมื่อประโยคนี้หลุดออกจากปากเขา นางก็อดที่จะรู้สึกใจหายไม่ได้
ใช่แล้ว เขายังมีท่านหญิงหลินหลาง
แล้วนางคืออะไรสำหรับเขา?
“ข้าก็เพียงแค่พูดลอยๆ เท่านั้น เจ้าอย่าได้จริงจังไปเลย เจ้ากับหยาเอ๋อร์ยังเด็ก เรื่องนี้ยังไม่ต้องรีบหรอก”
พระสนมเต๋อเฟยรู้ถึงสถานการณ์ในเวลานี้ดี ดังนั้นจึงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
หากร่างกายของฮ่องเต้ยังแข็งแรง พวกนางสองแม่ลูกคงไม่ต้องระมัดระวังทุกย่างก้าวเช่นนี้
“ข้ากลับไปรอข่าวจากพวกเจ้าที่ตำหนักหยาเสวียนก่อนดีกว่า ส่วนหรูฉิน…เจ้าสั่งใหท่านอาคนโตรับกลับไปเถิด ต่อจากนี้ไปห้ามนางออกไปไหนอีก”
พระสนมเต๋อเฟยไม่มีความรักและเอ็นดูให้กับเจียงหรูฉินอีกแล้ว
การถูกส่งตัวกลับนับว่าเป็นการประนีประนอมที่สุดแล้ว
จากนี้ไปเจียงหรูฉินต้องถูกกักบริเวณแต่ในเรือนของนาง เว้นเสียแต่ว่าจะแต่งงานออกเรือนไป
อันที่จริงหลินเมิ้งหยามิได้คิดจะกำจัดเจียงหรูฉินทิ้ง เหตุเพราะนางทำเพื่อสกุลเจียง ทำเพื่อพระสนมเต๋อเฟยและหลงเทียนอวี้ ดังนั้นนางจึงต้องดูแลความปลอดภัยของเจียงหรูฉินด้วย
เฉกเช่นเดียวกับหลินเมิ้งหวู่ ไม่ว่าจะเกลียดชังกันมากขนาดไหน แต่นางก็ต้องรักษาชื่อเสียงของสกุลหลิน
เกิดมาเป็นลูกสาวนอกจากต้องสร้างเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลแล้ว ยังต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง
พระสนมเต๋อเฟยพาเจียงหรูฉินออกจากสวนของตำหนักหลิวซิน ภายในห้องจึงเหลือเพียงหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้
บรรยากาศกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ทั้งสองจมอยู่กับความคิดของตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ยังไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไร
“เจ้า…”
“ข้า…”
เปิดปากจะเอ่ยแล้วชะงักไปเกิดเป็นความเงียบ ทั้งสองจึงตกอยู่ในบรรยากาศชวนอึดอัดอีกครั้ง
สุดท้ายหลินเมิ้งหยาข่มความเศร้าไว้ในใจ
ราวกับเรื่องนี้มิเคยเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น นางเงยหน้ามองหลงเทียนอวี้
“ท่านอ๋องรู้หรือไม่ว่ารองหัวหน้าของทหารองครักษ์คือใคร?”
คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากัน สมองพลันนึกถึงใบหน้าถมึงทึง
“แต่ก่อนเขาคือทหารองครักษ์แห่งสิงกงที่มิได้โดดเด่นอันใด แต่เพราะได้ความดีความชอบดังนั้นเขาจึงได้รับตำแหน่งนี้ แต่ข้ายังได้ยินมาอีกว่าเขาเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมเหมือนไท่จื่อ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้หากมิใช่เพราะจูอ้ายจือเข้าไปห้ามซิ่งเอ๋อร์เอาไว้ เกรงว่านางคงกลายเป็นศพไปแล้ว
อันที่จริงพวกเขาไม่ต้องเสียแรงเปล่าก็ได้
“ที่แท้เขาก็เป็นคนเช่นนี้หรือเพคะ? ดูเหมือนหม่อมฉันจะประมาทเขาเกินไปแล้ว”
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มเล็กน้อย ท่าทางเสมือนคนวิเคราะห์บางอย่างไม่ดีพอ
หลงเทียนอวี้จ้องมองมุมปากของนาง ท่าทางลึกลับมีเลศนัยของนางมักนำความประหลาดใจมาให้เขานับครั้งไม่ถ้วน
“เจ้ารู้จักเขาอย่างนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยาผงะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตัดสินใจปกปิดความลับเอาไว้
“ตอนที่อยู่สิงกง พวกเราได้ทำความรู้จักกันเล็กน้อยเท่านั้นเพคะ ท่านอ๋องไม่ทราบว่าพระองค์คิดจะทำอะไรต่อไปหรือเพคะ?”
ที่ด้านนอก ป๋ายจีกับพ่อบ้านเติ้งกำลังพาผอจื่อและเหล่าเสี่ยวซีมาทำความสะอาดสวน
เศษกระดาษบนพื้นมิต่างอะไรกับใบไม้ที่ร่วงโรย
“ข้าสั่งให้คนไปฆ่าซิ่งเอ๋อร์แล้ว หากนางตายฮองเฮาก็จะไม่มีเหตุผลที่จะฆ่าพวกเรา”
วิธีการโหดเหี้ยมอำมหิตไม่ต่างอะไรจากที่หลินเมิ้งหยาคิดเอาไว้
“จริงสิเพคะ เหตุใดหวังฮั่นหลินจึงไม่ปรากฏตัวออกมา?”
เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับฮูหยินของตนเองเขาควรจะปรากฏตัวนานแล้วมิใช่หรือ
ทว่าแม้กระทั่งตอนนี้ หลินเมิ้งหยายังไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา
“เขาถูกข้าเชิญไปที่ห้องอ่านหนังสือ หลินขุยกำลังเฝ้าเขาอยู่ เขาเป็นคนของไท่จื่อ หากมาก่อความวุ่นวายที่นี่รังแต่จะทำให้เรื่องยุ่งยากเสียเปล่าๆ”
เพราะเหตุนี้นับตั้งแต่ตอนที่พบผ้ายันต์ห่อชาดสีแดงจนกระทั่งเรื่องราวทุกอย่างจบลงจึงไร้ซึ่งเสียงเอะอะโวยวายจากคนนอก
ที่แท้หลงเทียนอวี้ก็คำนวณทุกอย่างไว้หมดแล้ว