ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 7 บทที่ 193 ร้อยเล่ห์เพทุบาย
“ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดเรื่องอะไรบางอย่างเท่านั้น”
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจทำยาถอนพิษขึ้นมา
หากเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไม่ยอมกิน นางจะจับเขากรอกยาเอง
“เรื่องกลุ่มสามสหาย เจ้ากับหยุนจู๋ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว?”
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจถามเรื่องกลุ่มสามสหาย
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเส้นทางหลังจากถอนตัวจากตำแหน่งของนาง
“หยุนจู๋มีวิธีการทำงานที่ยอดเยี่ยม ตอนนี้หาคนเข้ากลุ่มได้มากมาย แต่มีบางส่วนที่ต้องคัดออก”
เมื่อพูดถึงการจัดการ วิธีการของชิงหูยังเทียบไม่ได้กับหยุนจู๋
ทว่าวิทยายุทธ์ของเขาทำให้คนของเจียงหูต้องสั่นสะท้าน
เหตุเพราะใบหน้าที่เปลี่ยนไปของหยุนจู๋ พวกเขาจึงคิดว่านางเป็นเพียงคนแก่คนหนึ่ง
ส่วนเขาทำได้เพียงนั่งอยู่ในห้องอย่างเบื่อหน่าย
“อืม ก็จริง กลุ่มสามสหายรับเฉพาะคนมีความสามารถเท่านั้น”
หลินเมิ้งหยายกแก้วชาขึ้นจิบ
“จริงสิ เจ้าเด็กน้อย เจ้าคงมิได้หาพวกยอดฝีมือมาเลี้ยงไว้เฉยๆ โดยไร้ประโยชน์ใช่หรือไม่ เช่นนั้นพวกเรามาหาธุรกิจทำกันดีกว่า หรือว่า…พวกเรารับจ้างวานฆ่าดีหรือไม่?”
นางถลึงตาใส่ชิงหู นี่เขาคิดจะสร้างเถาฮวาอู๋สาขาสองหรืออย่างไร?
“เบื้องหน้าของกลุ่มสามหสายคือร้านขายยา ฉะนั้นคนที่เบื่อเจียงหูก็ให้ไปหายาสมุนไพรมา ส่วนเบื้องหลังข้าจะใช้กลุ่มสามสหายเป็นหน่วยข่าวกรอง”
หลินเมิ้งหยารู้ดี การกรองข่าวเป็นสิ่งสำคัญ
ไม่ว่าจะแก้แค้น ตอบแทนบุญคุณ สิ่งที่คนของเจียงหูต้องทำให้เคยชินคือการกรองข่าวก่อนเสมอ
นางลองวิเคราะห์ดูแล้ว การคมนาคมของสมัยโบราณยังด้อยพัฒนา
ฉะนั้นขอเพียงนางกุมความลับในการส่งข่าวได้ เช่นนั้นโอกาสของนางจะมาถึงก่อนใครเสมอ
ฟังดูเป็นทางเลือกที่ไม่เลวสำหรับคนของเจียงหู
“ได้ เช่นนั้นเอาแบบนี้ล่ะ”
ชิงหูเห็นด้วยอย่างยิ่ง หลินเมิ้งหยาใช้ร้านขายยาปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดสงสัยอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น วิชาแพทย์พิษของนางล้ำเลิศดั่งนางพญาแพทย์พิษ เชื่อว่าอีกไม่นานชื่อเสียงของนางจะโด่งดังไปทั้งเจียงหู
ถอนพิษอย่างนั้นหรือ จะต้องใช้ตัวยาเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าหากคนของนางออกตามหายาทั่วทั้งประเทศ เช่นนั้นการกรองข่าวก็จะเป็นไปอย่างราบรื่นตามไปด้วย
“อืม”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้ารับ มือข้างที่บาดเจ็บใกล้จะหายดีแล้ว
โชคดีที่เจียงหรูฉินรับหน้าที่ดูแลจวนไปแทน
มิเช่นนั้น นางจะมีเวลารักษาบาดแผลได้อย่างไร
เจียงหรูฉินแสดงความโอหังได้อีกเพียงแค่สามวัน ก่อนจะพาคนมายังตำหนักหลิวซินเพื่อยอมรับความผิด
น่าเสียดาย หลินเมิ้งหยาอ้างว่าร่างกายของนางไม่แข็งแรง ดังนั้นจึงไม่ยอมแม้แต่จะเปิดประตูให้
ยิ่งไปกว่านั้น หลายวันมานี้จวนอวี้เกิดความโกลาหลอย่างใหญ่หลวง
แม้แต่เรื่องอาหารสามมื้อต่อวันยังเป็นปัญหาใหญ่
ตอนนี้นอกจากตำหนักหลิวซินที่ยังคงสงบเงียบดั่งเดิม ตำหนักฉินหวู่และหยาเสวียนใกล้จะขาดเสบียงอาหารเต็มที
คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น พระสนมเต๋อเฟยมองดูอาหารเย็นชืดบนโต๊ะ ดวงตาเผยให้เห็นความโกรธเกรี้ยว
“นี่คือวิธีการดูแลจวนของเจ้าหรือ? เจ้าจะให้เปิ่นกงกินแต่ผักหรืออย่างไร? หรือเจ้าคิดว่าเปิ่นกงเป็นม้า?”
เจียงหรูฉินคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ท่านป้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของหลินเมิ้งหยา หลายวันมานี้จวนอวี้ไม่มีเงินซื้อเนื้อสัตว์ ดังนั้นจึงซื้อได้เพียงฟักทองและหัวไชเท้าเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เจียงหรูฉินรู้สึกหดหู่เหลือเกิน
นางมิรู้ว่าเงินสำหรับซื้อผักและเนื้อสัตว์ในจวนสามารถใช้ได้กี่วัน
คราวก่อน เงินเดือนของพวกคนรับใช้ถูกแจกจ่ายหมดแล้ว
คราวนี้หลินเมิ้งหยาไม่ใจดีอีกต่อไป
“เจ้าบอกว่ากุญแจทุกดอกในจวนอยู่ที่เจ้ามิใช่หรือ? กุญแจคลังเก็บเงินเล่า?”
พระสนมเต๋อเฟยฟาดตะเกียบลงบนโต๊ะ มองดูเด็กสาวตรงหน้า
ตอนแรกคิดว่าการมอบอำนาจในการดูแลจวนให้เด็กคนนี้จะทำให้หลินเมิ้งหยาต้องทุกข์ระทม
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ต้องทนทุกข์จะกลายเป็นตัวเอง
“นางเอ่ยว่าคลังเก็บเงินไม่มีเงินแล้ว แต่ข้าได้ยินมาว่าอันที่จริงนางย้ายเงินจากคลังไปเก็บไว้ในห้องเก็บของเล็กของตนเองทั้งหมด ฉินเอ๋อร์โกรธมาก เคยไปถามไถ่อยู่หลายครั้ง แต่นางกลับบอกว่าของเหล่านั้นคือสินเดิมของนาง ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้อง”
เจียงหรูฉินเอ่ยด้วยท่าทางน่าสงสาร เรื่องพวกนี้หลิวเอ๋อร์เป็นคนแต่งขึ้น
ตอนแรกนางคิดจะไปฟ้องท่านป้าแต่กลับถูกหลิวเอ๋อร์ห้ามเอาไว้
หากทำเช่นนี้ ท่านป้าจะยิ่งโกรธเกรี้ยว
สบตากับหลิวเอ๋อร์เพื่อชื่นชมนาง
ตอนนี้คนที่กำลังจะซวยคือหลินเมิ้งหยา
ท่านป้าหาใช่คนที่หลินเมิ้งหยาจะต่อกรด้วยได้
“เจ้าว่าอะไรนะ? ไร้เหตุผลยิ่งนัก ไปตำหนักหลิวซินกับข้า ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าใครบังอาจสั่งให้นางนำเงินของจวนไปไว้ที่นั่น”
พระสนมเต๋อเฟยผุดลุกขึ้น พาสาวใช้และคนทั้งหมดไปยังตำหนักหลิวซิน
เพียงเดินมาถึง พวกนางทันเห็นสาวใช้กำลังยกอาหารอันโอชะเข้าไปในตำหนักหลิวซิน
ตลอดสามวันที่ผ่านมา พวกนางที่มิได้ลิ้มรสอาหารชั้นเลิศต่างพากันน้ำลายสอ
“ร้ายนักนะนังลูกสะใภ้ตัวดี ปล่อยให้ข้ากินแต่อาหารหมู แต่ตัวเองกินอาหารอร่อย”
เจียงหรูฉินรู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว ในที่สุดสีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยก็ถมึงทึงกว่าเดิมหลายเท่า
“พระสนมเต๋อเฟยเสด็จ…”
เสียงขันทีร้องประกาศ
บางทีอาจเพราะไม่ได้กินอาหารดีๆ มาหลายวัน ดังนั้นเสียงของเขาจึงราวกับคนหมดแรง
“ลูกสะใภ้ขอถวายคำนับหมู่เฟย”
หลินเมิ้งหยากลับไร้ซึ่งท่าทางกระวนกระวาย นางยังคงมีกิริยาท่าทางเหมือนเดิมทุกประการ
มองดูเจียงหรูฉินที่กำลังขบฟันเข้าหากันแน่น
“คุณหนูสกุลหลินตัวดี เปิ่นกงขอถามเจ้าหน่อยว่าเจ้าขนเงินของจวนทั้งหมดมาไว้ที่ห้องเก็บของเล็กของเจ้าใช่หรือไม่”
ไร้ซึ่งเยื่อใย ดูท่าพระสนมเต๋อเฟยคงเกลียดชังนางแล้วจริงๆ จึงเอ่ยถามตามตรงโดยไม่ถนอมน้ำใจกันเช่นนี้
หลินเมิ้งหยาคุกเข่าลงตรงหน้าพระสนมเต๋อเฟยอย่างว่านอนสอนง่าย
“เป็นเช่นนั้นเพคะ ท่านอ๋องเอ่ยว่าคลังเก็บเงินเก่ามากแล้ว ฉะนั้นจึงให้หม่อมฉันนำเงินทั้งหมดมาไว้ที่ห้องเก็บของเล็ก”
เมื่อได้เห็นท่าทางอารมณ์ดีของหลินเมิ้งหยา แม้แต่พระสนมเต๋อเฟยและเจียงหรูฉินก็นึกไม่ถึง
สายตาเย็นชาจับจ้องมองทางหลินเมิ้งหยา พระสนมเต๋อเฟยเอ่ยสำทับ
“หากเจ้ายอมรับก็ดี ตอนนี้จงนำเงินออกมาให้หมด”
พระสนมเต๋อเฟยมองหลินเมิ้งหยาด้วยหางตาพร้อมออกคำสั่งเสียงเย็น
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับแย้มยิ้ม ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธ
“เหนียงเหนียงอาจลืมไป พระองค์เคยรับสั่งว่าแม้แต่พระองค์ก็ไม่อาจนำเงินออกไปได้ หากมิแสดงตราประทับคู่ของพระองค์และท่านอ๋องที่ประทับไว้ด้วยกัน หากพระองค์แสดงตราประทับ เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะหยิบเงินออกมาให้เพคะ ลูกสะใภ้พยายามปกป้องดูแลตามคำสั่งของหมู่เฟย หากหมู่เฟยนำตราประทับมาแสดงต่อหน้าหม่อมฉัน เช่นนั้นหม่อมฉันจะมอบเงินทุกตำลึงให้แก่หมู่เฟยโดยไม่ขาดแม้แต่อีแปะเดียวเพคะ”
คำโต้เถียงของหลินเมิ้งหยาทำให้พระสนมเต๋อเฟยพูดไม่ออก
นางเพิ่งจำได้ว่าตนเองเคยพูดเช่นนั้น
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะนำมันมาใช้ประโยชน์เช่นนี้
“ได้ เช่นนั้นเปิ่นกงจะไปนำตราประทับมาให้เจ้า จิ้งเยว่ จงไปนำตราประทับมา”
ทว่าท่านน้าจิ้งเยว่ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างกลับเอี้ยวตัวเข้าไปกระซิบข้างหูพระสนมเต๋อเฟย
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
คิ้วของพระสนมเต๋อเฟยขมวดเข้าหากัน สายตามองทางจิ้งเยว่
“ทูลเหนียงเหนียง นับตั้งแต่วันที่ออกจากวัง หนู่ปี้ก็ไม่เคยเห็นตราประทับอันนั้นเลยเพคะ”
ครู่ต่อมา อย่าว่าแต่หลินเมิ้งหยา แม้แต่พระสนมเต๋อเฟยยังแทบไม่อยากจะเชื่อ
ไม่มีตราประทับ หากบังคับให้หลินเมิ้งหยาเปิดประตูเพื่อเอาเงิน เช่นนั้นก็มิต่างอะไรจากการที่นางกลืนน้ำลายตัวเอง
ตอนนี้นางเริ่มนึกเสียใจภายหลังเสียแล้วที่พูดเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน
“เจ้า…เจ้าทำได้ดีมาก เจ้าจำคำพูดของเปิ่นกงได้ทุกกระเบียดนิ้ว ฉินเอ๋อร์ จงนำกุญแจและสมุดบัญชีคืนให้แก่พี่สะใภ้ของเจ้า”
เรื่องราวกลับตาลปัตร
ไม่มีใครคาดคิด เจียงหรูฉินที่เพิ่งจะครองอำนาจในจวนได้เพียงสามวัน แต่กลับถูกยึดอำนาจคืนให้แก่พระชายาเสียแล้ว
“ท่านป้า ข้า…”
เรื่องราวเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เมื่อถึงเวลาคืนก็ต้องคืน
ทว่าในสายตาของทุกคน เจียงหรูฉินไม่มีแม้แต่หน้าให้รู้สึกอับอาย
“เปิ่นกงบอกว่าเอาคืนพี่สะใภ้เจ้าไป ไม่ได้ยินหรือ?”
เจียงหรูฉินคิดไม่ถึงเลยว่าท่านป้าจะทำเช่นนี้
นางเบิกตากว้าง จ้องมองหลินเมิ้งหยาด้วยความโกรธแค้น ราวกับต้องการจะจับนางกินอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าค่ะ หลิวเอ๋อร์ จงนำของไปคืนให้พี่สะใภ้”
“พี่สะใภ้ เก็บเอาไว้ให้ดีล่ะ อย่าทำหาย”
ป๋ายซ่าวก้าวขึ้นมาข้างหน้าเพื่อรับ ใครจะรู้ว่าเจียงหรูฉินต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอดสูเช่นนี้
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับยังไม่หยุดเรื่องราวแต่เพียงเท่านี้ กลับกันนางเข้าไปหยิบของในมือของป๋ายซ่าว ก่อนจะเอ่ย
“การดูแลจวนนั้นไม่ง่าย การเป็นผู้ดูแลก็ไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ลูกสะใภ้อายุยังน้อย มิรู้ความเท่าไรนัก ด้วยเหตุนี้เชิญหมู่เฟยรับของเหล่านี้กลับไปเถิดเพคะ”
ไม่ว่าใครต่างก็คิดไม่ถึงว่าหลินเมิ้งหยาจะดันของเหล่านั้นกลับ
มีเพียงพระสนมเต๋อเฟยคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าหลินเมิ้งหยากำลังประท้วง
อำนาจในการดูแลจวน ใช่ว่านางบอกว่าจะคืนก็คืนกลับไปได้
ราวกับว่านางมิเคยปรึกษาหรือนึกถึงหัวใจของหลินเมิ้งหยาเลย
ฉะนั้นเด็กคนนี้จึงมีปฏิกิริยาแข็งขืนเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น นางพิจารณาคนข้างกาย แต่ไม่มีใครจะทำหน้าที่นี้แทนได้
หลินเมิ้งหยาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระสนมเต๋อเฟยกำลังลำบากใจ
“นี่เจ้ากำลังจะทำอะไร?”
แม้จะเกลียดชังหลินเมิ้งหยาจับจิตจับใจ
ทว่าสีหน้าของนางกลับอ่อนโยนลง
ยื่นมือเข้าไปประคองหลินเมิ้งหยา ก่อนจะจ้องมองนางด้วยความรักใคร่
“พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เหตุใดจึงพูดเหมือนเป็นคนอื่นเช่นนั้นเล่า เปิ่นกงเพียงแค่อยากให้ฉินเอ๋อร์เรียนรู้งานบ้านงานเรือนเพื่อที่จะได้ช่วยเจ้าในอนาคต ทว่าฉินเอ๋อร์กลับไม่ได้เรื่อง ยังไม่ทันไรก็ทำงานในจวนวุ่นวายยุ่งเหยิง เจ้าเป็นพี่สะใภ้ของนาง เช่นนั้นช่วยดูแลนางหน่อยเถิด”
ไม่ว่าใครก็มองออก เวลานี้พระสนมเต๋อเฟยทำได้เพียงพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานแต่เพียงเท่านั้น
หลินเมิ้งหยามิใช่ลูกพลับนุ่มนิ่มที่คิดจะหยิกนางก็สามารถทำได้ง่ายๆ
แต่ถ้าหากนางยังดึงดันต่อไป เกรงว่าพระสนมเต๋อเฟยคงหมดความอดทน
หลินเมิ้งหยายกยิ้มเชิงขอโทษ
“หมู่เฟยอย่ารับสั่งเช่นนั้นเลยเพคะ ไม่ว่าอย่างไร คุณหนูเจียงก็เป็นญาติสนิทของพวกเรา หม่อมฉันต้องคอยดูแลนางอยู่แล้ว หมู่เฟยโปรดวางพระทัย”