ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 8 บทที่ 211 หนานเซิงตกอยู่ในอันตร
“ข้าขอไปดูหน่อย อีกเดี๋ยวจะกลับมา”
หลงเทียนอวี้ครุ่นคิด เขาตัดสินใจไปถามหาความจากหลงชิงหานให้ชัดเจน
“ไปเถิดเพคะ”
หลินเมิ้งหยาที่กินจนอิ่มแปล้แล้วมิได้สนใจอะไรมากนัก
ส่วนสาวใช้ที่รับเงินรางวัลมา ตอนนี้พวกนางพากันไปเล่นไพ่เรียบร้อยแล้ว
นางรู้สึกเสียใจเล็กๆ ที่สอนการพนันเหล่านี้ให้คนในตำหนักของตนเอง
“ท่านอ๋อง ท้องฟ้ายิ่งมืดเมื่อหิมะตก เช่นนั้นนำโคมไฟติดมือไปด้วยเถิดเพคะ”
หลินเมิ้งหยาส่งโคมไฟของตนเองให้กับหลงเทียนอวี้ ท่าทางของนางดูเป็นธรรมชาติ ไร้ซึ่งความเคอะเขิน
ราวกับเป็นเรื่องที่นางพึงกระทำ
“อืม ข้าไปเดี๋ยวเดียวแล้วจะกลับมา”
หลงเทียนอวี้มองดูบรรยากาศคึกครื้นสนุกสนานในตำหนัก เขาอดคิดไม่ได้ว่านี่ต่างหากคือบ้านที่แท้จริง
ถือโคมไฟออกจากตำหนักหลิวซิน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงคำว่าไม่อยากแยกจาก
“ท่านอ๋อง องค์ชายเจ็ดนำรายงานลับของทหารมาส่งมอบให้ เป็น…เป็นรายงานที่เกี่ยวข้องกับพี่ชายของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านเติ้งที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายรีบเดินเข้ามาหา ก่อนจะกระซิบเสียงเบา
“อะไรนะ?”
คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดแน่น เรื่องนี้เกี่ยวกับหลินหนานเซิง?
“ส่วนใจความสำคัญ ข้าน้อยคิดว่าพระองค์ถามจากองค์ชายเจ็ดเองเถิดพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายกำลังรออยู่ที่ห้องอ่านหนังสือพ่ะย่ะค่ะ”
หลงเทียนอวี้รีบมุ่งหน้าไปยังห้องอ่านหนังสือ คนที่รอเขาอยู่ในห้องนั้นคือองค์ชายเจ็ดหรือหลงชิงหานที่ไม่ได้เจอกันมานาน
“เกิดเรื่องที่ค่ายทหาร หลินหนานเซิงถูกลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ!”
อะไรนะ?
หลงเทียนอวี้มองหลงชิงหานด้วยความสงสัย
หลินหนานเซิงเป็นถึงแม่ทัพ เขากลับมาถึงเขตชนบทของเมืองหลวงได้ห้าวันแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนโจมตีสกุลหลิน หรือว่า…
“คนของเจ้าได้ข่าวอะไรมาบ้าง?”
หลงชิงหานนิ่งไป ก่อนจะส่ายหน้า
“คนของข้าเองก็ได้รับบาดเจ็บ พวกเขารีบมาส่งข่าว โชคดีที่กองทัพของหลินหนานเซิงค่อนข้างแข็งแกร่งและเข้มงวดจึงไม่เกิดความวุ่นวาย”
เทศกาลเหมายันมาถึงแล้ว หลินหนานเซิงนำชัยชนะกลับมา เหล่าขุนนางต่างจับตามองเขา
“จะบอก…หลินเมิ้งหยาหรือไม่?”
แม้แต่หลงชิงหานเองก็รู้สึกได้ว่าหลินเมิ้งหยาสำคัญกับพี่สามมากขึ้นทุกที
พี่สามไม่เคยสนใจหญิงใดมาก่อน ทว่าผู้หญิงที่มีจิตใจโหดเหี้ยมคนนี้กลับหว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ในใจของพี่สามได้
แต่เขารู้ดีว่าพี่สามไม่มีวันหลงรักผู้หญิงคนไหน
“เรื่องนี้คงมิอาจปิดบังนางได้ หากต้องให้นางรู้จากปากผู้อื่น สู้ให้ข้าเป็นคนบอกนางเองเสียยังดีกว่า”
หลงเทียนอวี้ไม่ลังเลเลยที่จะหมุนตัวกลับแล้วมุ่งหน้าไปยังตำหนักหลิวซิน
ทว่าหลงชิงหานกลับขวางเขาเอาไว้
“หากพวกเราบอกนาง ดูจากความฉลาดของนางแล้ว นางจะต้องรู้อย่างแน่นอนว่ามีคนสอดแนมอยู่ในกองทัพ ท่านไม่กลัวนางจะบอกหลินหนานเซิงหรือ?”
หลงเทียนอวี้ลังเล พวกเขาเป็นคนเลือกคนสอดแนมที่มีความสามารถเอง อีกทั้งคนผู้นั้นยังได้รับความเชื่อใจจากพ่อลูกสกุลหลิน
หากเขาเผยความลับนี้ออกมา สิ่งที่เพียรพยายามทำมานานหลายปีคงสูญเปล่า
“ข้าไม่อาจปิดบังนางได้ หลินหนานเซิงสำคัญมากสำหรับนาง”
เมื่อพูดจบหลงเทียนอวี้ก็สาวเท้ายาวๆ ไปทางตำหนักหลิวซิน
หลงชิงหานส่ายหน้า สีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ที่พี่สามให้ความสำคัญกับหลินเมิ้งหยาเช่นนี้
ภายในตำหนักหลิวซิน ทุกคนกำลังล้อมวงพูดคุยและดื่มด่ำกับอาหารเลิศรส
“ท่านอ๋องกลับมาแล้ว!”
ผอจื่อที่ทำหน้าที่เฝ้ายามตอนกลางคืนร้องบอก แหวกผ้าม่านออกเพื่อให้หลงเทียนอวี้เข้าไปด้านใน
สีหน้าของหลงเทียนอวี้จริงจังและเคร่งขรึมกว่าเดิมมาก
มองทางหลินเมิ้งหยาด้วยสายตาลังเล
“มีอะไรหรือเพคะ?”
น้อยครั้งนักที่หลินเมิ้งหยาจะได้เห็นสีหน้าแววตาเช่นนี้ของเขา
เขาเดินเข้าไปหาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล
“พี่…พี่ชายของเจ้าตกอยู่ในอันตราย”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบ หลินเมิ้งหยาคว้าข้อมือของเขาแน่น ดวงตาเบิกกว้าง รีบร้อนเอ่ยถาม
“ท่านพี่ เกิดเรื่องอะไรกับท่านพี่เพคะ?”
“เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน สิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือพี่ชายของเจ้ายังไม่ได้รับบาดเจ็บจนถึงชีวิต”
หลงเทียนอวี้ดึงร่างบางเข้ามาสวมกอดเพื่อให้นางใจเย็นลง
“พี่ชาย…ท่านพี่อยู่ในค่ายมิใช่หรือ? ค่ายทหารมีการคุ้มกันเข้มงวด เหตุใดท่านพี่จึงได้รับบาดเจ็บ?”
หลินเมิ้งหยาร้อนใจอยากได้คำตอบ แม้ว่านางจะไม่เคยพบกับหลินหนานเซิงมาก่อน
แต่ยิ่งนางอยู่ในร่างนี้นานเท่าไร หัวใจของนางก็ยิ่งผูกพันกับสกุลหลิน
หลินหนานเซิงเป็นพี่ชายเพียงคนเดียวของนาง ฉะนั้นเขาจึงสำคัญต่อนางมาก
เมื่อได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเขา หัวใจของนางราวกับถูกบีบรัด
“มีคนวางแผนเอาไว้ เจ้าสงบใจลงก่อน ไม่เป็นไรหรอก พี่ชายของเจ้ายังไม่ตาย”
หลงเทียนอวี้โอบกอดร่างบางแน่น ปกตินางเป็นคนเข้มแข็ง ราวกับว่าไร้ซึ่งความอ่อนแอ
ที่แท้นางก็บอบบางถึงเพียงนี้
“หม่อมฉันจะไปหาเขา!”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะไปหาพี่ชายให้ได้
ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ต้องเห็นกับตาเท่านั้นจึงจะสบายใจ
“เกรงว่าไม่ได้หรอก แม้ค่ายทหารจะอยู่แถบชานเมือง แต่กฎของฝ่ายในกำหนดไว้ชัดเจน ห้ามมิให้พบปะกันด้วยเรื่องส่วนตัวเป็นอันขาด”
หลงชิงหานแหวกผ้าม่านเข้ามา
หลินเมิ้งหยาเงยหน้าขึ้นสบตาหลงเทียนอวี้
“หม่อมฉันจะไปหาเขา จะต้องไป!”
สายตาไร้ซึ่งความลังเล หลงเทียนอวี้รู้ดีว่าตนเองไม่อาจเปลี่ยนความคิดของนางได้อย่างแน่นอน
เขาพยักหน้า ใช้เสื้อคลุมของตนคลุมร่างของหลินเมิ้งหยาเอาไว้
“พี่สาม ท่านไปไม่ได้”
บ้าไปแล้ว! พี่สามกับหลินเมิ้งหยาเสียสติไปแล้ว!
หลงชิงหานไม่ลังเลเลยที่จะขวางทางหลงเทียนอวี้และหลินเมิ้งหยา ใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้มยียวนดั่งเคย
“หลบไป”
เอ่ยเพียงสั้นๆ แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่น
หลงเทียนอวี้รู้ดีว่าตนเองไม่สมควรปรากฏตัวที่ค่ายทหาร
แต่ในเมื่อหลินเมิ้งหยาดึงดันที่จะไป ต่อให้เขาไม่ยินยอม นางก็จะหาทางไปให้ได้
ฉะนั้นสู้เขาพานางไปยังจะดีเสียกว่า
“ไม่ได้! ข้าปล่อยท่านไปไม่ได้! หากท่านทำเช่นนี้ ท่านจะทำให้ไท่จื่อกริ้วหนัก หรือท่านลืมเรื่องของหลินหลางแล้วกระนั้นหรือ?”
หลินหลาง! หัวใจของหลินเมิ้งหยาเหมือนถูกกระแทก นางลอบเงยหน้าขึ้นมองหลงเทียนอวี้
ผลปรากฏว่า ฝีเท้าของเขาชะงักลง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“วันนี้ไม่เหมือนกับอดีต ข้าไม่มีทางปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”
ความเจ็บปวดแผ่ซ่าน แต่ไม่สามารถหยุดฝีเท้าของหลงเทียนอวี้ได้อีก
เขาเดินอ้อมหลงชิงหาน อุ้มหญิงสาวในอ้อมกอดออกจากตำหนักหลิวซิน
“การกระทำของท่านเช่นนี้อาจทำให้สิ่งที่พวกเราพยายามอย่างหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมาสูญเปล่า ท่านไม่สนใจเลยอย่างนั้นหรือ?”
หลงชิงหานพุ่งตัวเข้ามาขวางหน้าหลงเทียนอวี้ด้วยความโกรธเกรี้ยว ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวด
“ช่างเถิด ข้าพาเจ้าเด็กน้อยไปเอง อ๋องอวี้ เจ้ายังมีเรื่องให้ต้องไตร่ตรองอีกมากมาย”
แขนอีกคู่ยื่นเข้ามาเตรียมรับร่างของหลินเมิ้งหยาไป
ทว่าหลงเทียนอวี้กลับเบี่ยงตัวหลบแขนของชิงหู มองเขาด้วยสายตาเย็นชา
“นางเป็นชายาของข้า ข้าต้องไปกับนาง”
นิ้วทั้งสองเสมือนไฟฟ้า ขณะที่หลงชิงหานไม่ทันตั้งตัว หลงเทียนอวี้ยื่นนิ้วเข้าไปสกัดจุดของเขา
“ชิงหาน ข้าบอกแล้วว่าเหตุการณ์จะไม่มีวันซ้ำรอย”
ร่องรอยของความรู้สึกผิดปรากฏขึ้นในดวงตา เขาเป็นน้องชายที่ดีที่สุดคนหนึ่ง หลงชิงหานทำเพื่อเขามามากมาย
เกล็ดหิมะโปรายปรายลงมาไม่ขาดสาย
ทุกคนพากันออกไปกับหลงเทียนอวี้และหลินเมิ้งหยา
มีเพียงหลงชิงหานคนเดียวที่ยืนนิ่งราวท่อนไม้
หลงชิงหานร้องไห้โดยไร้น้ำตา อย่างน้อยต้องใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงกว่าจุดจะคลายออก
ฮือ ฮือ ชีวิตของเขาช่างน่าเศร้าเหลือเกิน
ด้านหลังจวน ม้าหลายตัวมุ่งหน้าโจนทะยาน
หลงเทียนอวี้และหลินเมิ้งหยาขี่ม้าตัวเดียวกัน เขากระชับร่างบางในอ้อมกอดให้อยู่ภายใต้เสื้อคลุมก่อนจะอาศัยความมืดหายลับไปจากจวน
ความมืดมิดยามหิมะตกทำให้มีคนจับตามองจวนอวี้น้อยลง
ยิ่งไปกว่านั้นเขาขี่ม้าไปทางตรอกซอกซอยเล็กๆ จึงมิได้ดึงดูดสายตาผู้อื่น
“ตอนนี้ประตูเมืองไม่ปิดแล้วหรือเพคะ?”
หลินเมิ้งหยาเป็นกังวล นางเองรู้ดีว่าตนเองบุ่มบ่ามเกินไป
ทว่าหลงเทียนอวี้กดศีรษะนางเอาไว้ ก่อนจะส่งสายตาให้นางวางใจ
พิงแผงอกของหลงเทียนอวี้ ไม่รู้ว่าทำไมหลินเมิ้งหยาจึงเลือกที่จะเชื่อใจเขา
ขี่ม้าเข้าใกล้ประตูเมืองทางทิศตะวันตก น่าแปลกที่ไม่มีใครห้ามพวกเขาเอาไว้
องครักษ์รักษาประตูเมืองรีบเปิดประตูออก ม้าหลายตัวจึงรีบออกจากเมืองอย่างเร็วที่สุด
หลินเมิ้งหยามองลอดช่องว่าง แต่นางกลับได้เห็นรองเท้าบู๊ตสีเทาคู่หนึ่ง
นางเคยเห็นรองเท้าบู๊ตเช่นนั้นมาก่อน ตอนนั้นหลงเทียนอวี้ซื้อชองใช้สำหรับพวกทหาร
ผู้ชายคนนี้เป็นศัตรูกับไท่จื่อมานาน ตกลงว่าเขามีคนของตัวเองแฝงตัวอยู่กี่คนกันแน่?
เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยาพบว่าผู้ชายที่มักสงวนวาจาคนนี้เก่งกาจยิ่งนัก
คราวซวยมาตกที่นางแล้ว นางเอาแต่คิดหาวิธีหาเงินจากเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
หิมะตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ พื้นดินนอกเมืองเริ่มแข็งและหนามากขึ้น
ความเร็วเริ่มลดลง หลินเมิ้งหยารู้ว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
ทว่าหัวใจของนางร้อนรนเสมือนถูกไฟแผดเผา สมองคอยคำนวณตลอดเวลาว่าระยะทางตอนนี้ห่างจากค่ายทหารของพี่ชายอีกไกลขนาดไหน
สายลมพัดกระทบร่าง จมูกขาวนวลพลันแดงก่ำ
คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากันแน่น มือหนาจับศรีษะของนางให้หันเข้ามาซุกด้านใน ภายใต้ความมืด ฝีเท้าของม้าควบเร็วขึ้นกว่าเดิม
ม้าสีขาวรูปร่างสง่างามของทั้งคู่เริ่มทิ้งระยะห่างจากกลุ่มคนด้านหลัง
แม้หลินเมิ้งหยาจะนั่งอยู่บนม้าและควบฝ่าหิมะอันเหน็บหนาว ทว่าหัวใจของนางกลับรู้สึกสงบเมื่อได้ยินเสียงหัวใจของหลงเทียนอวี้
ความปวดร้าวในวันที่แม่ของตนเองจากไปแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ
ท่านพี่ รอข้าก่อน ข้ากำลังไป
ท่านจะต้อง…ต้องไม่เป็นไร!